ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 104 ถั่วเซียงซี (2)
ตอนที่104 ถั่วเซียงซี (2)
“จำได้หรือไม่องค์หญิง? องค์ชายน้อยต้องถูกสังหารทิ้งอย่างทรมานแสนสาหัสในวัยเพียงสามขวบ! ร่างน้อยๆ ของเขาถูกคมดาบสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ท่านไม่อยากแก้แค้นให้เขาเลยหรอกรึ?”
เห็นฉีหมิงเยว่ไม่พยักหน้าตอบสนอง ใบหน้าที่เหี่ยวย่นของย่าดเฟิงก็พลันแปรเปลี่ยนดูน่ากลัวราวกับผีท่ามกลางแสงจันทร์และผืนป่าแสนรกร้าง มือทั้งสองของหญิงชรากุมจับไปยังไหล่บางของฉีหมิงเยว่เอาไว้แน่นหนา กล่าวย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์โศกฎากรรมในตอนนั้นให้แก่อีกฝ่ายฟัง
ทุกถ้อยประโยค ล้วนปลุกกระตุ้นความทรงจำที่ฉีหมิงเยว่พยายามลบเลือนให้ลืมออกไป
ทุกถ้อยคำ กลับนำพาฉีหมิงเยว่ให้ย้อนกลับมาสู่ฝันร้ายสีเลือดอีกครั้ง
แข้งขาอ่อนแรงยวบยาบ ฉีหมิงเยว่ทรุดตัวลงกับพื้นทั้งที่ยังกำถั่วเซียงซีในกำมือไว้แน่น ชิ้นส่วนความทรงจำเหล่านี้ค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากส่วนลึกภายในหัวใจ ทันใดนั้นเองเสมือนบาดแผลเก่าของนางถูกฉีกจนเปิดออกอีกครั้ง นางระเบิดเสียงกรีดร้องลั่น พยายามหยุดยั้งมิให้ภาพฉากความทรงจำในตอนนั้ถาโถมเข้าใส่ในห้วงความคิด กระแสความเจ็บปวดรวดร้าวขุมใหญ่แผ่ซ่านไปทั่วศีรษะ นางรู้สึกปวดร้าวบริเวณหัวแทบระเบิด เจียนหมดสติทั้งเป็น
“องค์หญิง เราต้องแก้แค้น และเราต้องกอบกู้จักรวรรดิหรูหรานกลับคืนมา ตราบใดที่พวกเราสองคนไม่สามารถล้างแค้นแทนฝ่าบาทและฮ่องเฮาผู้ล่วงลับไปได้ การเสียสละของทั้งสองคนจะไร้ความหมายไปโดยทันที ท่านต้องทำให้องค์รัชทายาทของตงหลี่รุ่นหลงในตัวท่าน และใช้อำนาจที่มีภายในมือฟื้นฟูจักรวรรดิของเราให้กลับมาผงาดขึ้นอีกครั้ง หากไม่ยอมริเริ่มเสียที เกรงว่าเราสองคนไม่มีบ้านให้กลับไปแล้ว”
ย่าเฟิงคุกเข่าลงกับพื้นและเข้าสวมกอดสาวน้อยภายในอ้อมแขนอย่างรักใคร่ ใบหน้าอัปลักษณ์ที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นและน่ารังเกียจของหญิงชราเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา และลึกลงไปในแววตาคู่นั้น ล้วนเผยแววความอาฆาตพยาบาทอัดแน่นจนล้นปรี่ออกมา
ในเมื่อสรวงสวรรค์ยังมีตา ทรงเมตตาให้นางกับองค์หญิงรอดชีวิตออกจากสรมภูมินองเลือดนั้นมาได้ ดังนั้นแล้ว ภารกิจสุดท้ายในชั่วชีวิตอันแก่ชราของนางคือการปกป้องชีวิตขององค์หญิงด้วยชีวิต และหาทางกอบกู้จักรวรรดิหรูหรานกลับมาอีกครั้ง
“องค์หญิง บ่าวคนนี้ตระหนักดีถึงความคับข้องใจของตัวท่าน บ่าวขอสัญญาด้วยชีวิต หลังจากที่ท่านกอบกู้จักรวรรดิหรูหรานกลับมาได้สำเร็จ บ่าวจะพยายามเสาะหาหนทางเพื่อลอบสังหารองค์รัชทยาทของตงหลี่องค์นั้นลงให้จงได้ และคืนความบริสุทธิ์และชื่อเสียงอันใสสะอาดของท่านกลับคืนมา ส่วนชายหนุ่มที่ชื่อ เซี่ยหลู่เฟิง บ่าวทราบว่า องค์หญิงชอบพอในตัวเขา ดังนั้นหลังจากที่แผนการทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ถึงตอนนั้นองค์หญิงค่อยอภิเษกสมรสกับเขาใหม่ก็ยังได้ ที่บ่าวกล่าวไปท่านคิดว่าจริงหรือไม่องค์หญิง?”
คุกเข่านั่งปลอบใจกันอยู่สักครู่ใหญ่ สุ้มเสียงของย่าเฟิงในเวลานี้เปี่ยมล้นไปด้วยความแค้นอาฆาตและเกลียดชังสารพัด ทั้งหมดล้วนดังก้องอยู่ภายในหูของฉีหมิงเยว่ ในท้ายที่สุด ประดุจค่ำคืนที่หมองหม่น ดาราพราวประกายแสงดวงนี้กลับโดนรัตติกาลสีทมิฬมืดปกคลุม น่านฟ้าที่เจิดจรัสเปล่งระยับกลับกลายมาเป็นห้าวนภาถมหมึกดำขลับ
เสียงกรีดร้องของฉีหมิงเยว่หยุดลงในทันใด ดวงตาคู่นั้นมองเข้าไปมีเพียงความหมองหม่น นางพยักหน้าเล็กน้อย
“ย่าเฟิง ข้าจะทำตามแผนการที่ท่านบอก”
ฉีหมิงเยว่ยกมือไม้ขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตา ลุกขึ้นยืนผงาดพร้อมสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก ก่อนจะหันไปส่งยิ้มสีจางอ่อนแก่ย่าเฟิง
ท้องนภายามรุ่งสาง แสงตะวันแรกแย้มเข้าแทนที่ค่ำราตรีทีละน้อย ฉีหมิงเยว่ลอบเข้าไปหอพักภายในสถานศึกษาเซิงหลิง หลบเลี่ยงมิให้เซี่ยหลู่เฟิงผู้อารักขาอีกฝ่ายพบเข้า จากนั้นก็ร่อนจดหมายเปิดผนึกหนึ่งฉบับผ่านหน้าต่างห้องพักของไป๋หลี่เย่
“ชาน่าจะได้ที่แล้วกระมัง?”
ทันใดนั้น สุ้มเสียงของไป๋หลี่เย่ก็โพล่งดังขึ้นจากเคียงข้าง ฉีหมิงเยว่สั่นสะดุ้งเล็กน้อย ทำเอาถ้วยชาในมือเกือบร่วง
“องค์รัชทยาทโปรดรอสักครู่ สิ่งนี้จำเป็นต้องใช้เวลา”
ฉีหมิงเยว่กระชับจับถ้วยชาขึ้นในมือ หันกลับกลับเข้ามาและเดินก้มศีรษะไปทางไป๋หลี่เย่
“ไฉนคราวนี้ถึงช้านัก? หากจำมิผิด ตอนที่เจ้าชงชาดอกไม้ในสถานศึกษาครั้นนั้น ดูเหมือนว่าจะเร็วกว่านี้มาก?”
ไป๋หลี่เย่พินิจมองความงดงามของหญิงสาวที่ก้มหน้าก้มตาเหนี่ยมอายอยู่เบื้องหน้า ดูทีท่ารักนวลสงวนตัวของนางสิ แค่เห็นก็ทำให้เขาใจสั่นเกินต้านทานได้ไหวแล้ว
“คราวนี้สำหรับองค์รัชทายาท จำเป็นต้องบรรจงสรรค์สร้างทุกขั้นตอนเพื่อใหได้ชาดอกไม้ที่ดีที่สุด จึงเป็นเหตุผลให้ใช้เวลานานกว่าปกติ”
ฉีหมิงกล่าวตอบอย่างมีไหวพริบ ทว่ายังคงก้มหน้าก้มตาดังเดิม ไม่กระทั่งเงยแหงนขึ้นมองใดๆ ราวกับกลัวว่า หากเงยหน้าขึ้นมอง จะทำให้อีกฝ่ายขวัญผวาดจนวิ่งเตลิดหนีไปก็มิปาน
“ไฉนจเจาถึงก้มหน้าก้มตาเช่นนี้ด้วย? หรือเป็นไปได้ไหมว่า เจ้าไม่อยากมองหน้าเราองค์รัชทายาทคนนี้แล้ว?”
น้ำเสียงที่เปล่งดังฟังดูเย้าหยอกปนความขี้เล่น ทันทีที่กล่าวจบ ฉีหมิงเยว่ก็ถูกมืออีกของฝ่ายพุ่งเข้ามาเชยคางและเชิดขึ้นอย่างแรงเพื่อบีบบังคับให้นางเงยหน้าสบตากับเขา
สายตาคู่งามเข้าปะทะกับใบหนาไป๋หลี่เย่ที่อยู่ใกล้เพียงหยิบมือ ฉีหมิงเยว่ใจสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะ แทบกระโดดพุ่งออกจากลำคอของนางได้แล้ว
“เจ้าร้องไห้?”
เชิดคางของอีกฝ่ายขึ้นหวังจะชื่นชมความงาม แต่ทว่าไป๋หลี่เย่กลับต้องพบกับน้ำตาสีใสบริสุทธิ์บนใบหน้าของฉีหมิงเยว่แทน สิ่งนี้ยิ่งกระตุ้นให้เขารู้สึกสงสัยเข้าไปใหญ่
ตั้งแต่ตอนที่ฉีหมิงเยว่มีความคิดริเริ่มเข้าหาตัวเขาก่อน ไป๋หลี่เย่ก็รู้สึกผิดสังเกตบ้างแล้ว จนกระทั่งได้มาเห็นน้ำตาของนางในขณะนี้ นี่ยิ่งทำให้ร่องรอยความสงสัยในใจของเขาปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไฉนนางถึงต้องชวนเขาออกมาข้างนอก? แล้วเหตุใดจู่ๆ ถึงอยากชงชาให้เขา?
“เมื่อครู่ ข้าเผลอดีดกลีบดอกไม้เข้าตา ก็เลยน้ำตาไหลเช่นนี้”
ฉีหมิงเยว่ค่อยๆ ขยับคางออกจากเรียวนิ้วของไป๋หลี่เย่ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ และหันกลับไปทำท่าทีว่า ยังชงชาไม่เสร็จดี
เหม่อมองร่างอรชรขเพรียวบางของหญิงสาวตรงหน้าด้วยความลุ่มหลง ไป๋หลี่เย่ไม่สามารถห้ามใจได้ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาเอื้อมมือเข้าไปโอบเอวบางของฉีหมิงเยว่ พร้อมออกแรงกระชับกอดแน่น
“ฉีหมิงเยว่ รู้หรือว่าเจ้าในตอนนี้งดงามเพียงใด? จะดีกว่าหรือไม่หากต่อจากนี้ เจ้าจะมาคอยติดตามอยู่ข้างกายข้า เราองค์รัชทายาทสามารถบันดาลให้เจ้ากลายเป็นองค์หญิง ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายภายในวังไปชั่วนิรันดร์”
หากเป็นหญิงสาวนางอื่นคงหลงคารมอันแสนคมคายของไปหลี่เย่ไปแล้ว และคงกำลังจินตนาการถึง ชีวิตอันสุขสบายภายในวังหลวง แต่สำหรับตัวฉีหมิงเยว่ สิ่งเหล่านี้กลับเปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง ครึ่งค่อนชีวิตก่อนหน้านี้ นางดำรงอยู่ในฐานะองค์หญิงเช่นกัน และพึงตระหนักดีว่า ชีวิตภายในวังหลวงมิได้สวยหรูอย่างที่คนอื่นคิดเอาไว้
ทันใดนั้น กาน้ำชาในมือของฉีหมิงเยว่พลันร่วงกระแทกพื้น พร้อมเสียงแตกดัง ‘เพล้ง’ เสมือนกับว่า ทั่วทุกอณูกายาถูกฟ้าผ่า ร่างกายของนางสั่นสะท้านหนักหน่วงจนเกินจะควบคุม เมื่อถูกปลายจมูกของไป๋หลี่เย่เข้าสัมผัสลงบนต้นคอสีขาวระหง และเริ่มบรรจงซักไซ้สูดดมกลิ่นกายอันหอมรัญจวนใจของหญิงสาว เสียงหอบหายใจของชายคนนี้เสมือนสัตว์ป่าที่กำลังหิวกระหาย เป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งสำหรับนาง
“ฉีหมิงเยว่ เป็นของข้าเสียเถอะ! เราองค์รัชทยาทของให้สัตย์สัญญาจะปฏิบัติต่อตัวเจ้าเป็นอย่างดี!”
ไป๋หลี่เย่ถอนศีรษะขึ้นจากต้นคอของฉีหมิงเยว่ หยิบใช้แขนทั้งสองข้าง ออกแรงฉีกกระชากเสื้อผ้าแพรพรรณอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกดศีรษะลงอีกครั้ง เข้าละเลงจูบลงบนบริเวณเนินอก ใกล้จุดยอดปทุมถันสีนวลชมพู
ทันทีที่สัมผัสได้ถึงเจตนาและความมากตัณหาของไป๋หลี่เย่ ฉีหมิงเยว่ถึงกับหน้าถอดสีซีดเผือด ทั้งรู้สึกหวาดกลัวและโกรธในเวลาเดียวกัน นางรีบเร่งระดมพลังลมปราณทั้งหมดในร่างกายไปยังฝ่ามือ และออกแรงผลักร่างของไป๋หลี่เย่ออกไปโดยตรง จากนั้นก็สับเท้าวิ่งหนีไปทางประตูอย่างรวดเร็ว
“ฉีหมิงเยว่! คิดหรือว่าววันนี้เจ้าจะหนีออกจากที่นี่ได้?!”
ไป๋หลี่เย่พุ่งเข้าไปขวางตรงหน้าหยุดฉีหมิงเยว่เอาไว้ ยิ่งสาวน้อยนางนี้แสดงท่าทีขัดขืนมากเท่าใด มันก็ยิ่งปลุกสัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวเขามากขึ้นเท่านั้น
ฉีหมิงเยว่หดศีรษะร่นถอยออกไปหลายสิบก้าวต่อเนื่อง ส่งสายตาเงยขึ้นมองไป๋หลี่เย่เป็นระยะ กล่าวน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความหวาดกลัวขึ้นว่า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันยังมีธุระที่ต้องทำ โปรด…โปรดหลีกทางให้ด้วยเถิด”