ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 106 ย่าเฟิง (2)
ตอนที่106 ย่าเฟิง (2)
ฉีหมิงเยว่เอนศีรษะพิงพักบนไล่ของย่าเฟิง ระเบิดน้ำตาปล่อยโฮสุดแสนขื่นขมโดยมิได้สนใจฝูงชนที่อยู่รอบข้างใดๆ
เซียถงยืนท่ามกลางฝูงชนเหล่านั้น เหม่อมองไปทางฉีหมิงเย่ที่กำลังร้องห่มร้องไห้ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ในเวลานี้นางพอจะเดาได้แล้วว่า เกิดอะไรขึ้นที่นี่ และทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองบนหน้าต่างชั้นสาม เซียถงก็พบกับไป๋หลี่เย่ที่ชะโงกหน้าผ่านออกมาเจือแววตื่นตระหนก ภาพฉากเบื้องหน้านี้ยิ่งทวีความเหี้ยมเกรียมเยียบเย็นจากดวงตาของนาง
เซี่ยหลู่เฟิงก็เช่นกัน เขามองไปทางฉีหมิงเยว่ที่กำลังร้องห่มร้องไห้ ทันทีทันใดพลันรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า สาวน้อยที่ครอบครองรอยยิ้มเสมือนดอกไม้งามเช่นนี้ จะมีช่วงเวลาที่ขมขื่นน่ารันทดถึงขนาดร้องไห้ปานตาย นางร้องไห้ออกมาดั่งว่ากำลังแบกรับความเจ็บปวดของผู้คนทั่วทั้งผืนพิภพ ชั่วขณะอึดใจ มือทั้งสองของเขาก็กระชับกำแน่นโดยไม่ทันรู้ตัว
หากเซี่ยหลู่เฟิงทำได้ เขาเองก็ยินดีแบกรับความเจ็บปวดทั้งหมดแทนสาวน้อยนางนี้
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องมองมาของเซี่ยหลู่เฟิง ฉีหมิงเยว่ก็รีบห้ามน้ำตาหยุดร้องไห้โดยไว เงยหน้าขึ้นสบตาชายคนนั้น พอเห็นว่าสายตาที่อีกฝ่ายมีให้แก่ตน มันเปี่ยมล้นไปด้วยความสงสาร ทันทีทันใดใบหน้าที่ดเปรอะเปื้อนคราบน้ำตาพลันเห่อร้อนวูบวาบโดยมิอาจควบคุม นางรีบลุกกขึ้นให้ไว ยกไม้ยกมือปาดเช็ดน้ำตาบนใบหน้า หันมากล่าวกับย่าเฟิงว่า
“ย่าเฟิง ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว”
“อืม!”
ย่าเฟิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มให้เบาๆ เมื่อเห็นว่าอารมณ์ของฉีหมิงเยว่เริ่มคงที่ดีแล้ว หญิงชราก็เงยหน้า ทอดสายตาขึ้นมองไปที่หน้าต่างชั้นสาม ชั่วขณะที่เห็นใบหน้าของไป๋หลี่เย่ ประกายตาแห่งความกระหายเลือดสีโลหิตพลันสาดสะท้อนผ่านดวงตาของนางทันควัน
“ย่าเฟิง ท่านนั่งพักอยู่ตรงนี้ก่อน ย่าเฟิงคนนี้ขอตัวไปฆ่าไอ้สารเลวนั่นให้สิ้นซากสักประเดี๋ยว!”
ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างอันผอมแห้งแก่ชราของย่าเฟิงพลันอันตรธานหายวับไปทันใด เงาทมิฬสายหนึ่งโฉบแล่นพุ่งตรงไปที่หน้าต่างชั้นสาม ทันทีที่กระโจนเข้าไปผ่านหน้าต่างบานนั้น หัตถ์ขวาของหญิงชราเร่งโบกสะบัด ปรากฏเส้นด้ายเนื้อสัมผัสนุ่มสีดำทมิฬนับหลายร้อยสายพวยพุ่งออกมาจากใต้แขนเสื้อนาง เข้าพัลวันโจมตีไป๋หลี่เย่ประดุจอสรพิษทมิฬแตกรัง
ไป๋หลี่เย่ยังคงตื่นตกใจกับภาพฉากที่ฉีหมิงเยว่กระโดดลงหน้าต่างไม่หาย ทว่ายามนี้กลับมีหญิงชราจากที่ไหนมิทราบโผล่เข้าจู่โจมซ้ำอีก ชั่วขณะอึดใจ เขารีบดึงสติกลับคืน ชักกระบี่ยาวบนเอวออกจากฝักเพื่อเข้าทักทามปัดป้อง
เส้นด้ายสีทมิฬสัมผัสนุ่มเหล่านี้ราวกับมีดวงตาก็มิปาน สามารถหลบเลี่ยงคมกระบี่ยาวของฝ่ายตรงข้ามได้โดยสัญชาตญาณ กระแสพลังลมปราณสีครามอ่อนประดุจอัสนีบาด โคจรรอบกายาไป๋หลี่เย่ เขาเร่งเร้าระเบิดพลังคลั่งลงไปยังตัวกระบี่ยาว โหมโรงโจมตีสวนย่าเฟิงตอบคืนทันใด
หนึ่งเสียงเห่าหอนเปล่งคำราม ย่าเฟิงเค้นเสียงเย็นดังฮึ กระโดดขึ้นไปทรงตัวบนหน้าต่าง ทั่วอณูกายาระเบิดรัศมีแสงสีครามบริสุทธิ์ทอแสงเจิดจรัส ทั้งมือและนิ้วทั้งห้าข้างขวาเสมือนกำลังเต้นระบำไม่หยุดหย่อน ควบคุมเส้นด้ายสีทมิฬเหล่านั้นไล่ล่าตามติดไป๋หลี่เย่ยิ่งกว่าเงา หวังจับได้เมื่อใดสังหารทิ้งทันที!
ทุกการเคลื่อนไหวของเส้นด้ายนับหลายร้อยสายพลิ้วไหวดุจอสรพิษทมิฬ ลีลาจัดจ้านพร้อมพิฆาตชีวา ไม่ว่าจะเป็นในแง่มุมใด ทั้งความเร็ว พละกำลัง หรือความทนทาน ล้วนแล้วแต่ถูกจัดอยู่ในระดับน่าสะพรึงขวัญ
ไป๋หลี่เย่ถูกต้อนบังคับให้เปลี่ยนจากกระบวนจู่โจมเป็นป้องกันครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงไม่กี่เสี้ยวอึดใจถัดมา ทั่วทั้งร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลคมบาด ธารเลือดสีแดงสดไหลซิบออกมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับบริเวณใบหน้ายามนี้อาบชโลมไปด้วยโลหิตแดงฉาน บริเวณเนื้อแก้ม คิ้ว หน้าผากมีแต่บาดแผลที่เกิดจากเส้นด้ายมีคมบาดนับไม่ถ้วน
“ไอ้สารเลว กล้าดีอย่างไรถึงบีบบังคับให่เสี่ยวเยว่กระโดดหน้าต่างลงมา! หากวันนี้ข้ามิได้สับแขนขาของเจ้าให้เป็นพันหมื่นชิ้น เกรงว่ายากแล้วที่จะขจัดความเกลียดชังภายในใจข้า!”
ใบหน้าเหี่ยวชราของย่าเฟิงบิดเบี้ยวน่าเกลียดเปี่ยมล้นความพิโรธจุกอก ชนิดที่ว่าหายใจหายคอไม่สะดวก นางในขณะนี้ดู๔น่าสยดสยองดั่งผี และยังดูน่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่อยู่บนภูเขาเสียอีก ทำเอาไป๋หลี่เย่เสียขวัญหนักก เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น เหตุใดมิทราบกระบี่ยาวในมือของนางพลันรู้สึกหนักกว่าเดิมมาก ราวกับถือแท่นหินหนักร้อยตัน ทั้งมือไม้แขนขาอ่อนยวบ ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้ตอบโต้ใดๆ อีกต่อไป
เมื่อเห็นไป๋หลี่เย่เป็นเช่นนี้ ย่าเฟิงก็ยิ่งขุ้นเคืองยิ่งขึ้นไปอีก นี่นางตัดสินใจให้องค์หญิงของตนรุกจีบคนไร้น้ำยาขนาดนี้ได้อย่างไร? ทั้งขี้ขลาด ทั้งอ่อนแอ แต่แล้วเศษขยะเช่นนี้ยังกล้าบีบบังคับให้องค์หญิงกระโดดหน้าต่างได้? ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ ย่าเฟิงก็ยิ่งเดือดดาลอาฆาตจัด หนึ่งฝ่ามือโบกสะบัด เส้นด้านสีทมิฬนับหลายร้อยเสมือนเปล่งคำราม และเพียงชั่วพริบตาขณะ ทั่วทั้งร่างกายของไป๋หลี่เย่ก็ถูกพันธนาการเอาไว้โดยสมบูรณ์ บีบรัดไว้แน่นเนื้อหนังแทบฉีกขาด
“ท่านผู้เฒ่า ข้าเป็นองค์รัชทยาทแห่งจักรวรรดิตงหลี่ หากปล่อยข้าไป ข้าจะมอบเงินจำนวนหนึ่งพันเหรียญทองแก่ท่าน!”
ไป๋หลี่เย่พยายามใจดีสู้เสือ เอ่ยข้อเสนอต่อหน้าย่าเฟิงที่ยืนปั้นสีหน้ามืดทมิฬไม่คลายอ่อน
“สวะโดยแท้! ถุย!”
ย่าเฟิงเหลือบสายตามองไป๋หลี่เย่ส่อแววดูถูกดูแคลนชัดแจ้ง พร้อมขากเสลด บ้วนน้ำลายก้อนใหญ่สีเหลืองเข้มพุ่งออกมาจากปาก ยิงเข้าใส่ใบหน้าของไป๋หลี่เย่เสียงดังแปะ เหม่อมองน้ำลายปนเสลดก้อนใหญ่บนใบหน้าที่ทั้งเหนียวเหนอะหนะและเหม็นเน่า ไป๋หลี่เย่แทบเป็นลมหมดสติลงไปด้วยความรังเกียจ
“เศษสวะที่ทั้งอ่อนแอและขี้ขลาดอย่างเจ้า ไม่สมควรได้เป็นองค์รัชทยาทเลยสักนิด เช่นนั้นแล้ว ข้าผู้นี้จะฆ่าสวะรกผืนพิภพอย่างเจ้าทิ้งซะ!”
คล้อยหลังกล่าวจบ นย่าเฟิงก็ลอบกระตุกข้อมือเล็กน้อยทีหนึ่ง เส้นด้ายสัมผัสนุ่มที่พันธนาการลอบตัวของไป๋หลี่เย่ จู่ๆ ก็เผยคมขึ้นมาเสมือนด้ายเหล็ก บีบรัดแขนขาจนตัวด้ายกลืนเข้าไปในเนื้อหนัง บาดร่างอีกฝ่ายลึกขึ้นเรื่อยๆ
ทั่วทั้งร่างกายของไป๋หลี่เย่เสมือนถูกตัดด้วยมีดคมนับพันเล่ม ทุกครั้งที่เส้นด้ายเหล่านี้บาดลึกจมเข้าเนื้อ เขาจะกรีดร้องระงมลั่นอย่างสุดแสนเวทนา เจ็บปวดเกินบรรยาย
“ผู้อาวุโสท่านนี้ ได้โปรดลดอาวุธในมือลงด้วยเถิด”
เซี่ยหลู่เฟิงรีบกระโดดขึ้นหน้าต่างมาหาย่าเฟิง ประสานมือโค้งคำนับให้โดยไว
พอเห็นรัศมีลมปราณขอบเขตเสาหลักฟ้าสว่างวาบจากบนร่างกายาของย่าเฟิง เซี่ยหลู่เฟิงก็รีบกระโดจนขึ้นไปในห้องอาหารส่วนตัวบนชั้นที่สามโดยไว พอเห็นว่าย่าเฟิงเจตนาถึงขั้นเอาชีวิตไป๋หลี่เย่ เขาจึงออกหน้าปรากฏตัวเพื่อขอร้องในทันใด
ทั้งหมดนี้ เซี่ยหลู่เฟิงล้วนทำไปเพราะหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ปกป้ององค์รัชทยาท และเขาก็จำใจต้องทำแม้ว่าตนจะรังเกียจพฤติกรรมขององค์รัชทายาทมากแค่ไหนก็ตาม
“หึ!”
ย่าเฟิงส่งหางตามองเซี่ยหลู่เฟิงหนึ่งปราด กระตุกข้อมือขึ้นอีกครา เพิ่มแรงบีบเป็นเท่าทวีบาดเข้าไปในเนื้อหนังทั่วร่างกายของไป๋หลี่เย่ลึกยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทำเอาเจ้าตัวร้องคร่ำครวญจนเสียงหลงแทบไม่เป็นภาษา ธารเลือดสีแดงสดทะลักพุ่งออกมาดั่งน้ำพุ
ชีวิตของไป๋หลี่เย่ใกล้ถึงคราวดับมอดเต็มทนแล้ว เซี่ยหลู่เฟิงได้แต่กระชับจับกระบี่คาดเอวขึ้นมา ทว่ายังไม่ทันได้เคลื่อนไหวอันใดต่อ คมแสงประกายสีเย็นเยียบพลันสาดสะท้อนโฉบเข้าต่อหน้า เส้นด้ายทมิฬสัมผัสนุ่มเพียงหนึ่งเส้น สามารถตัดคมกระบี่ยาวในมือของเซี่ยหลู่เฟิงจนหักเป็นสองท้อนในเสี้ยวพริบตา
“เกร๊ง!”
ร่างของเซี่ยหลู่เฟงิปลิวกระแทกอัดเข้ากับกำแพงห้องด้านหนึ่ง ในมือยังคงถือกระบี่ยาวที่หักครึ่งท่อน เงยหน้าแผดมองฝ่ายตรงข้ามเจือแววความประหลาดใจไม่จางหาย ย่าเฟิงมิเพียงหยุดมือแต่เพียงเท่านี้ ใช้มือข้างซ้ายที่ว่างกกระตุกขึ้นวูบเร้าระดมลมปราณ และตบฝ่ามืออัดอากาศซัดออกไป ชักนำกระแสลมระลอกใหญ่พุ่งกระแทกกลางอกของเซี่ยหลู่เฟิงซ้ำเป็นคำรบสอง