ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 107 ไป๋หลี่เย่เจียนตายอีกครา (1)
ตอนที่107 ไป๋หลี่เย่เจียนตายอีกครา (1)
เซี่ยหลู่เฟิงถูกฝ่ามืออัดอากาศของย่าเฟิง กระแทกกลางแผ่นอก กระเด็นไปติดกำแพงอีกรอบ
“เจ้าหนูโสโครก ระดับความแกร่งกล้าห่างชั้นกันปานนี้ แต่ยังกล้าออกฉรงหยุดข้าจริงๆ”
ย่าเฟิงสูดไอเย็นแช่มลึกสุดขั้วปอด พินิจจับจ้องไปที่เซี่ยหลู่เฟิงเล็กน้อย เห็นได้ชัดแจ้ง เจ้าหนุ่มคนนี้มีพลังอยู่เพียงขอบเขตเสาหลักเขียวเท่านั้น แต่จิตใจหาญกล้า เข้าหยุดนางที่เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเสาหลักฟ้าขนานแท้คนหนึ่ง หากมิใช่เพราะเขาคนนี้เคยมีบุญคุณช่วยเหลือฉีหมิงเยว่ในตอนนั้น ปานนี้นางคงจะฆ่าเขาทิ้งภายในหนึ่งฝ่ามือนานแล้ว
“สิ่งนี้เป็นหน้าที่ของข้า หากผู้อาวุโสยังมีประสงค์ร้ายสังหารองค์รัชทายาท เกรงว่าต้องข้ามศพข้าไปก่อน!”
เซี่ยหลู่เฟิงปาดเลือดคราบเลือดที่มุมปาก พยุงร่างลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ทิ้งกระบี่หักครึ่งท่อนในมือ แล้วหยิบกระบี่ยาวเล่มที่หลุดมือไป๋หลี่เย่ระหว่างปะทะเมื่อครู่มาใช้แทน ชูปลายกระบี่คมแหลมใส่ทางย่าเฟิง เตรียมพร้อมสัประยุทธ์ทุกเมื่อ
“หากเจ้าอยากตายนักก เช่นนั้นเราหญิงชราคนนี้ย่อมสนองให้!”
เมื่อเห็นว่าเซี่ยหลู่เฟิงยังคงยืนกรานไม่หนีไปไหน สายตาคู่ชราของย่าเฟิงก็ฉายแววเหี้ยมดุออกมา นางสะบัดข้อมือขวา ถอดถอนเส้นด้ายทมิฬทั้งหมดออกจากร่างไป๋หลี่เย่ ยิงเส้นด้ายนับร้อยพุ่งสอดผสานกลายเป็นหนึ่งคันศร หวังแทงทะลุขั้วหัวใจของเซี่ยหลู่เฟิงในคราวเดียว…
“ย่าเฟิง หยุดมือ!”
ฉีหมิงเยว่กรีดร้องตื่นตระหนกดังสนั่นจากทางหน้าต่าง ชั่วขณะอึดใจ ทันทีที่คู่เท้าของเซียถงเหยียบถึงหน้าต่างบานนั้น นางก็ปราดพุ่งเข้า เร่งรุดเข้าไปช่วยเซี่ยหลู่เฟิงทันที เงาร่างสายหนึ่งโฉบแล่นคั่นกลางระหว่างตัวพี่ชายของนางและคันศรด้ายผสาน ทั่วอณูกายาของเซียถงระเบิดรัศมีสีครามเข้มปะทุคลั่งทะลักล้น ใช้มือเปล่าคว้าจับคันศรด้ายผสาน หยุดยั้งความเกรี้ยวกราดของมันเอาไว้ได้ ทั้งยังจับกระชับเส้นด้ายทมิฬเหล่านั้นไว้แน่นไม่ยอมปล่อยคลาย
“พี่ชายของข้าเคยช่วยชีวิตฉีหมิงเยว่เอาไว้ครั้งหนึ่ง หากเจ้าสังหารเขาทิ้งเช่นนี้ หรือไม่กลัวว่าเจ้าจะถูกฉีหมิงเยว่เกลียดขี้หน้าไปชั่วชีวิต?”
เรียวมือสวยน่าทะนุถนอมดั่งหยก เผยปรากฏกระแสลมปราณขุมใหญ่ที่ผนึกกลายเป็นเกราะแขนปราณสีครามเข้มชัดเจน ยามนี้กำลังจับกุมเส้นด้ายจำนวนหนึ่งไว้แน่น สายตาเย็นชาจับจ้องย่าเฟิงเขม็งไม่แม้แต่กะพริบ
ต่อให้หญิงชราจะเกลียดไป๋หลี่เย่เหมือนกับนางเพียงใด แต่จู่ๆ ก็ต้องการจะเอาชีวิตของเซี่ยหลู่เฟิงแบบนี้ มันก็อดรู้สึกโกรธเกรี้ยวมิได้เช่นกัน
ย่าโพล่งตาโตเบิกขึ้นขว้าง จับจ้องไปที่เซียถงด้วยสีหน้าประหลาดใจยิ่งยวด สาวน้อยที่อยู่ต่อหน้านางนี้อย่างมากที่สุด ก็น่าจะอายุแค่สิบห้าหรือสิบหกปีเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว กลับเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเสาหลักฟ้าคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ยังดูสุขุมเยือกเย็นเกินเด็กไปมาก แถมพินิจจากระดับความเข้มข้นของพลังลมปราณแล้ว กลับด้อยกว่าตัวนางที่ฝึกปรือมาทั้ง
ชีวิตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น!?
ทัศนคติความคิดของย่าเฟิงแปรเปลี่ยนไปทันควัน หญิงชรารีบชักเส้นด้ายทมิฬดึงกลับเข้ามาโดยไว ครั้งนี้ถึงขั้นใช้สองมือควบคุมเส้นด้ายทมิฬพัลวัน จากเส้นด้ายธรรมดาในยามนี้ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นเงาสีดำขนาดใหญ่ แพร่กระจายไปทั่วทั้งห้องอาหารอย่างรวดเร็ว หวังเข้าตีกรอบล้อมเซียถงเอาไว้
“ย่าเฟิง! นางเป็นสหายของข้าเอง! ได้โปรดปล่อยนางไป!”
ฉีหมิงเยว่รีบวิ่งมาหาย่าเฟิง คว้าแขนเสื้อกระตุกไม่หยุด คุกเข่าลงกับพื้น จับจ้องอีกฝ่ายพร้อมแววตาอ้อนวอนขอความเมตตา ทว่าย่าเฟิงก็ยังมิได้สนใจ ควบคุมเงาดำเหล่านั้นเข้าโจมตีเซียถงพร้อมกันจากทุกสารทิศ
เซียถงกระโจนเข้าโรมรันพันตูกับเงาดำเหล่านั้นโดยไม่มีเกรงกลัว ในมือข้างขวามีมีดสั้น ส่วนมืออีกข้างมีกระบี่ที่เก็บมาจากเซี่ยหลู่เฟิงอีกทีหนึ่งมาใช้ เพียงหนึ่งกระบวนโจมตีสอดผสานระหว่างมีดสั้นและกระบี่ ก็สามารถฉีกกระชากเงาดำเหล่านั้นได้ในเสี้ยวพริบตา
พอเห็นว่ทาย่าเฟิงกับเซี่ยถงกำลังสัประยบบุทธ์เดือดกันอยู่ ไป๋หลี่เย่ฉวยจังหวะนี้ลุกขึ้นยืนอย่างเงียบๆ และก้าวถอยออกไปทางบานประตู ทุกย่างก้าวไร้สุ้มเสียงระมัดระวังสุดขีด ขณะที่ย่องเบาไปถึงประตู ขณะจะเอื้อมมือไปเปิด ทันใดนั้นก็มีเงาสีดำสายหนึ่งปราดพุ่งเข้ามารัดคอของเขาแน่น พอพยายามเหลียวหลังหันไปมอง ก็พบว่าเป็นฝ่ามือของย่าเฟิงที่แบ่งเงาดำส่วนหนึ่งมาดักจับตัวเขา ในขณะที่เงาดำโดยส่วนใหญ่ยังคงเข้าพัลวันกับเซียถงอยู่เบื้องหลัง
พอเงาดำหายไปหนึ่งส่วน ก็เท่ากับว่าปราการป้องกันและโจมตีของย่าเฟิงเองก็หายไปหนึ่งส่วนเช่นกัน เซียถงใช้จังหวะนี้กระโจนขึ้นกลางอากาศ ใช้คมมีดสั้นในมือเสียบทะลุไหล่ซวาของย่าเฟิง ส่งผ่านกระแสเจ็บปวดขุมใหญ่แล่นผ่านไปถึงห้วงสมอง ก่อนถอดถอนคมมีดสั้นออกมา เซียถงทิ้งทวนไว้หนึ่งประโยคแก่ย่าเฟิงว่า
“มีดเล่มนี้สำหรับเจ้าที่ริอาจทำร้ายพี่ชายของข้า”
ย่าเฟิงเหลียวสายตาจับจ้องอีกฝ่ายโดยไม่ปริปากพูดอะไรใดๆ เพียงสะบัดข้อมือข้างซ้าย กระชากคอของไป๋หลี่เย่ดีดกลับเข้ามา ยามนี้สภาพขององค์รัชทยาทผู้ทรงสง่าราศีไม่เหลือเค้าโครงอีกต่อไป ได้แต่นอนดีดดิ้นอยู่กับพื้นคล้ายว่ากำลังจะขาดลมหายใจ สีหน้าเริ่มซีดหนักจนแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาขาว
“ท่านผู้อาวุโสโปรดมีเมตตา! แม้พฤติกรรมขององค์รัชทยาทจะน่ารังเกียจเพียงใด แต่หากผู้อาวุโสลงมือสังหารไป เกรงว่าท่านคงหนีไม่พ้นโทษประหาร! โปรดไตร่ตรองให้รอบคอบอีกครั้ง!”
ขณะเดียวกัน เซี่ยหลู่เฟิงก็ประสานมือพยายามพูดเกลี้ยกล่อมย่าเฟิง ส่งผลใหเงาดำที่บีบรัดคอของไป๋หลี่เย่ผ่อนคลายอ่อนลง
ทันทีที่เงาสีดำคลายออกมา ทุกคนต่างตระหนักได้ทันทีว่า เงาดำเหล่านี้มันคมแค่ไหน เพิ่งบีบรัดลำคอของไป๋หลี่เย่ไดไม่นาน แต่ยามนี้กลับบังเกิดรอยแผลบาดลึกทั่วทั้งลำคอเต็มไปหมด แต่ย่าเฟิงมิได้ปล่อยไปเฉยๆ นางบังคับเงาดำจำนวนหนึ่งจับร่างของไป๋หลี่เย่ลอยขึ้นกลางอากาศ ไม่มีใครทราบว่าอีกฝ่ายจะถูกตมยำทำแกงอันใดอีก
“ย่าเฟิง ได้โปรดปล่อยองค์รัชทายาทไปเถิด!”
ฉีหมิงเยว่รีบคลานเข่ากอดขาย่าเฟิงไว้แน่น เพราะหากย่าเฟิงลงมือสังหารองค์รัชทยาทไปจริงๆ ชีวิตของหญิงชราจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
ย่าเฟิงเห็นดังนั้นได้แต่ถอนหายใจเสียงยืดยาว สุดท้ายก็ควบคุมเงาสีดำโยนร่างของไป๋หลี่เย่ทิ้งออกไปโดยไม่แยแสราวกับขยะเปียก ไป๋หลี่เย่กรีดร้องระงมเสียงหลง ร่างปลิวกระเด็นไปฟาดกับกำแพงอย่างแรงจนแตกระแหง
‘ปัง!’
ส่วนศีรษะของไป๋หลี่เย่อัดกระแทกกับกำแพงแข็งแรงมาก ส่งผลให้หัวแตกเป็นแผลใหญ่ มีเลือดไหลออกมาไม่หยุดราวกับน้ำพุ กำแพงด้านนั้นถึงกับเป็นรูร้าวรานแตกแขนงเป็นใยแมงมุม ก่อนที่สุดท้ายร่างจะร่วงกระแทกพื้น นอนหมดสภาพดั่งสุนัขใกล้ตายแน่นิ่งอยู่แบบนั้น
“สวะตัวนี้จะอยู่หรือตาย ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับเขาแล้ว เสี่ยวเย่ เราไปกันเถอะ”
ย่าเฟิงกวาดสายตามองเซี่ยหลู่เฟิงไปทีหนึ่งอย่างเยนชา อุ้มฉีหมิงเยว่เข้าใส่ในอ้อมแขนของตน จากนั้นก็กระโดดออกไปทางหน้าต่างลาจากออกไปโดยตรง
สภาพอันน่าสยดสยองของไป๋หลี่เย่ในตอนนี้ ใครเห็นก็ว่าตาย ทั้งบาดแผลเหวอะหวะทั่วทั้งร่างกายและบาดแผลฉกรรจ์บริเวณศีรษะ ส่งผลให้ไป๋หลี่เย่เสียเลือดมากเกินไป หากไม่ได้รับโอสถฟื้นชีพในทันทีทันใด เกรงว่าเขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้เป็นไป๋หลี่อวี๋อิงที่เป็นถึงราชาโอสถ แต่นางก็ไม่มีทางหลอมกลั่นโอสถฟื้นชีพได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้ กล่าวได้ว่า ไป๋หลี่เย่ถึงคราวตายแล้วของจริง
ก่อนที่ฉีหมิงเยว่จะจากไป นางแลเหลียวปรายสายตามองเซี่ยหลู่เฟิงพร้อมสีหน้าเศร้าสร้อย ได้สร้างคลื่นอารมณ์หลายหลากถาโถมเข้าใส่ใจดวงนี้ของเขา เซี่ยหลู่เฟิงรู้สึกโศกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก ความปรารถนาบัดนี้เพียงอยากจะเก็บนางไว้ข้างกาย มิใช่แยกจากไปไหนเฉกเช่นนี้
“องค์รัชทายาท”
หลังจากที่ฉีหมิงเยว่จากไปได้สักพัก เซี่ยหลู่เฟิงเพิ่งจะไดสติกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง และรีบวิ่งไปดูอากาศของไป๋หลี้เย่โดยทันที พลิกใบหน้าของเขาให้หงายขึ้นมาจากพื้นดิน เห็นเพียงว่าสีหน้าของอีกฝ่ายในขณะนี้ซีดขาวไร้เลือดหล่อเลี้ยงแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท มิอาจทราบได้ว่ายังเป็นหรือตายไปแล้ว?
เซี่ยหลู่เฟิงตื่นตกใจสุดขีด รีบโน้มตัวเข้าตรวจสัมผัสลมหายใจ คล้อยยังพอสัมผัสได้ถึงอุ่นแผ่วบางจากใต้จมูกเล็กน้อย จะอย่างไรกลับเบาบางจนแทบไม่เหลือแล้วเช่นกัน อาการของไป๋หลี่เย่ในตอนนี้พร้อมตายได้ทุกเมื่อ
“เจ้าหมอนี่หนังเหนียวโดนแท้ สาหัสปานนี้แต่ก็ยังหลงเหลือลมหายใจ แต่ช่างเถอะ…อีกสักพักก็ตายแล้ว”
เซี่ยถงเดินตรงเข้ามาใกล้ ยกเท้าเขี่ยร่างอีกฝ่ายเล็กน้อย จ้องมองร่างกึ่งเป็นกึ่งตายของอีกฝ่าย นอนแน่นิ่งจมกองเลือดไม่เหลือเค้าความสง่างามดั่งองค์รัชทยาทใดๆ อีกต่อไป
“ถงถงได้โปรด!”
เซี่ยหลู่เฟิงเงยหน้าขึ้นมองเซียถงตาเขม็ง สีหน้าการแสดงออกบนใฝบหน้าอันหล่อเหลาของเขามีแต่ความตื่นตระหนกอยู่เต็มไปหมด
“องค์รัชทายาทกำลังจะตายแล้ว! เจ้าช่วยข้าพาเขาไปหาองค์หญิงเพื่อทานโอสถโดยเร็ว!”