ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 108 ไป๋หลี่เย่เจียนตายอีกครา (2)
ตอนที่108 ไป๋หลี่เย่เจียนตายอีกครา (2)
“ไม่เคยมีคนดีในบรรดาเชื้อพระวงศ์เลยจริงๆ”
เซียถงพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างเย็นชา แลมองเซี่ยหลู่เฟิงพลันเห็นสีหน้าความกังวลของอีกฝ่ายชัดแจ้ง ขณะเดียวกัน นางก็ค่อยๆ โน้มตัวลงเข้าไปใกล้ไป๋หลี่เย่ ยื่นมือเรียวยาวประดุจหยกข้างหนึ่งตะปบลำคอที่ชุ่มชโลมเลือดสดลากขึ้นมาให้อยู่ในท่านั่ง ส่วนอีกข้างยกขึ้นบีบปากของมันจนเปิดอ้า ทำท่าทางราวกับว่าเตรียมจะฆ่าไป๋หลี่เย่ทิ้งทันที
“ถงถง อย่าทำเช่นนั้น! การสังหารองค์รัชทายาทนับเป็นอาชญากรรมครั้งใหญ่หลวง โทษประหารเจ็ดชั่วโคตร!”
เซี่ยหลู่เฟิงกำลังจะยกมือขึ้นห้าม แต่ทันใดนั้นก็พลันสังเกตเห็นโอสถเม็ดสีขาวกลมเกลี้ยงในมือของเซียถง ตบเข้าไปในปากของไป๋หลี่เย่โดยตรง ปลายคิ้วกระตุกเลิกขึ้นในทันใดเจือแววฉงนสงสัย อดใจเอ่ยถามเซียถงมิได้ว่า
“เจ้าเอาอะไรให้องค์รัชทายาทกิน?”
“โอสถฟื้นชีพ”
เซียถงเอ่ยตอบ หลังจากที่พูดจบ นางก็เดินหันหลังเดินจากออกไปโดยไม่เหลียวแลใดๆ อีก หากมิใช่เพราะความตายของไป๋หลี่เย่ในคราวนี้ อยู่ในความรับผิดชอบขององครักษาอย่างเซี่ยหลู่เฟิง ปานนี้นางคงปล่อยให้ไป๋หลี่เย่ให้นอนเน่าตายไปนานแล้ว
เซี่ยหลู่เฟิงเหม่อมองแผ่นหลังน้อยของเซียถงที่กระโจนผ่านหน้าต่างกระโดดจากไป สีหน้าดูตื่นตะลึงยิ่งยวด ปรากฏว่า..นางมีโอสถฟฟื้นชีพอยู่กับตัวด้วย? แล้วนางไปเอามาจากไหน? นั่นคือโอสถที่มีเฉพาะกับแค่ระดับราชาโอสถขึ้นไปถึงจะสามารถหลอมกลั่นขึ้นมาได้!
หลังจากเดินทางออกจากภัตตาคาร เซียถงในเวลานี้ก็มิได้อยู่ในอารมณ์ดีที่ดีนัก เพราะตนเพิ่งมอบโอสถฟื้นชีพที่หลอมกลั่นมากับมือให้แก่ไป๋หลี่เย่ไป พอกลับมาถึงสถานศึกษาเซิงหลิง นางกักขังตัวเองอยู่แต่ในห้องหลอมกลั่นโอสถ ฝึกปรือฝีมือหลอมกลั่นด้วยความมุ่งมานะ
คล้อยหลังผ่านไปตลอดทั้งบ่ายวันนั้น นางก็ได้โอสถเกือบสิบเม็ดอยู่ในมือ ซึ่งผลลัพธ์เหล่านี้ทำให้นางสบายใจขึ้นมาก แต่จะอย่างไรใบหญ้าเงินซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการหลอมสร้างโอสถฟื้นชีพกลับไม่มีเหลือแล้ว ในช่วงตกเย็น เซียถงจึงเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าเป็นสีดำทั้งตัว วางแผนว่าจะออกไปหาใบหญ้าเงินภายในบนภูเขาป่าสน แต่เพิ่งเดินออกจากห้องพักได้ไม่นาน บนสะพานไม้ท่ามกลางสวนบุปผาหน้าหอพัก นางบังเอิญพบเจอเข้ากับท่านคณบดีเคราขาวยืนอยู่บนนั้น
หลังจากมาอยู่ในสถานศึกษาเซิงหลิงได้สักพักใหญ่ เซียถงมีโอกาสเห็นหน้าของท่านคณบดีเคราขาวแค่สองครั้งเท่านั้น คราแรกในตอนที่เลือกเรียนแขนงวิชา และอีกคราในตอนที่ไป๋หลี่อวี๋อิงถูกวางยาพิษ ในเวลานี้ การที่นางพบเจอกับท่านคณบดีเคราขาวท่ามกลางสถานการณ์ที่ทุกอย่างดูปกติสุขดี เหมือนว่ามีบางอย่างแปลกและแตกต่างออกไป
พึงจดจำเอาไว้ว่า จอมพลไม่เคยปรากฏตัวสุ่มสี่สุ่มห้า เช่นนั้นแล้วระดับหัวเรือใหญ่อย่างท่านคณบดีเคราขาวจะมาอยู่ในที่เช่นนี้ได้ยังไง? ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพินิจมองจากท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว ดูเหมือนว่าเขากำลังรอนางอยู่อย่างใดอย่างนั้น
“เซียถง มานี่หน่อย!”
ทันทีที่เห็นเซียถง ท่านคณบดีเคราขาวก็กวักมือิเรียกหาโดยไว
เซียถงพยักหน้าเชื่อฟัง เดินตรงเข้าไปหาตามสั่ง แต่ภายในใจกลับแอบเฝาสังเกตการณ์ระแวดระวังอย่างลับๆ สำหรับการปรากฏตัวในครังนี้ของท่านคณบดีเคราขาว นางเชื่อว่าจะต้องมีเหตุผลที่เหมาะสมพอรองรับ และวิธีเดียวที่จะทราบได้ว่า มันคืออะไร จำต้องไถ่ถามมาจากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น พอมาถึงเซียถงโค้งศีรษะทำความเคารพอย่างนอบน้อมและกล่าวว่า
“ท่านคณบดี เรียกศิษย์มาเช่นนี้เกรงว่ามีเรื่องกระมัง?”
“เซียถง วันนี้เจ้าหลอมกลั่นได้กี่เม็ดล่ะ?”
จู่ๆ ท่านคณบดีก็หันมาเองปากถามขึ้น
พอได้ยินเช่นนั้น ชั่วขณะต่อมาความคิดของเซียถงพลันแปรเปลี่ยน หากกล่าวตามหลักความจริงแล้ว…ท่านคณบดีควรถามมิใช่รึว่า ในคาบเรียนวิชาโอสถเป็นอย่างไรบ้าง? เรียนรู้เรื่องหรือไม่? แต่ใครจะไปคิดกันว่า จู่ๆ อีกฝ่ายก็เอ่ยปากถามขึ้นว่า วันนี้หลอมกลั่นโอสถได้กี่เม็ด? นี่เขารู้จริงๆ ว่านางสามารถหลอมกลั่นโอสถได้แล้ว หรือแกล้งหลอกถามเพื่อลองภูมิเท่านั้น?
เซียถงลอบสายตาเร้นมองไปยังใบหน้ายิ้มแย้มดูมีมิตรไมตรีของอีกฝ่าย นางปั้นสีหน้าแสร้งทำเป็นอึดอัดใจปนประหม่ากล่าวตอบไปว่า
“ศิษย์รู้สึกละอายใจยิ่งนัก จนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถหลอมกลั่น…”
“เจ้าบรรลุกลายเป็นราชาโอสถแล้วงั้นรึ?”
เซียถงเพิ่งแสดงละครเสแสร้งได้ครึ่งทาง แต่กลับโดนท่านคณบดีเคราขาวเอ่ยขัดจังหวะเสียก่อน น้ำเสียงที่เอ่ยถาม ฟังดูแน่วแน่มั่นคงไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่นัก
แต่คราวนี้เซียถงมิได้เอ่ยปากตอบกลับทันที ส่งสายตาไสวทอดมองไปที่ท่านคณบดีเคราขาว ระดมสมองทุกความเป็นไปได้อย่างสุดกำลัง เพื่อคาดเดาถึงจุดประสงค์ที่อีกฝ่ายมาพบนางในวันนี้
“สถานศึกษาแห่งนี้ไม่เคยมีสิ่งใดปิดบังไปจากสายตาของข้าได้ นี่เจ้าจริงๆ คิดว่า หากข้าไม่อนุญาต แล้วตัวเจ้าจะสามารถลอบเข้าออกห้องหลอมกลั่นโอสถได้ตลอดทุกวันง่ายปานนี้?”
พอได้ยินเช่นนั้น เซียถงพลันตระหนักถึงจุดยืน ณ ปัจจุบันของตนทันที ปรากฏว่า…ที่ผ่านมาทั้งหมด ทุกย่างก้าวภายในสถานศึกษาแห่งนี้ของนางล้วนอยู่ภายใต้การเฝ้าสังเกตการณ์ของอีกฝ่ายมาโดยตลอด นั่นก็หมายความว่า เขาอาจจะทราบถึงงเรื่องที่นางลอบวางยาพิษไป๋หลี่อวี๋อิงเช่นกัน ภายในใจอดตื่นตระหนักมิได้ เซียถงแอบสาวเท้าก้าวถอยหลังในทันใด คมมีดเร้นประกายเย็นเยียบเลื่อนปรากฏลงมาจากใต้แขนเสื้อยาวอย่างเงียบงัน สายตาคู่สวยมีความตื่นตัวมากขึ้นหลายส่วนขณะจับจ้องอีกฝ่าย
พอได้เห็นเซียถงเริ่มวางท่าทางระแวดระวัง ราวกับว่านางกำลังเผชิญหน้าอยู่กับศัตรูตัวฉกาจ ท่านคณบดีเคราขาวก็อดหัวเราะมิได้ พลางลูบไล้เครายาวเบาๆ กล่าวพร้อมรอยยิ้มขึ้นว่า
“ฟังมาว่า องค์รัชทยาทได้รับบาดเจ็บสาหัสในวันนี้ แต่เป็นเพราะโอสถฟื้นชีพของเจ้า จึงทำให้อีกฝ่ายรอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ดังนั้นข้าก็เลยคิดว่า ตัวเจ้าน่าจะเลื่อนขั้นกลายมาเป็นราชาโอสถแล้ว”
“ศิษย์คนนี้ไร้ซึ่งพรสวรรค์ เพิ่งบรรลุราชาโอสถชั้นต้นเท่านั้น”
เท่าที่ฟังมา ดูเหมือนว่าท่านคณบดีเคราขาวคนนี้จะมีหูตาอยู่แทบทุกหนแห่ง และทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสถานศึกษาเซิงหลิงไม่น่าจะมีความลับใดซ่อนอยู่ภายใต้สายตาของเขาได้เช่นกัน เซียถงได้แต่จำใจพยักหน้า กล่าวยอมรับไปตามตรง
แม้ว่าเขาจะคาดเดามาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่า เซียถงน่าจะบรรลุกลายเป็นราชาโอสถได้แล้ว แต่พอมาได้ฟังคำตอบจากปากของนางโดยส่วนตัว ท่านคณบดีเคราขาวก็อดดีใจจนเนื้อเต้นมิได้เช่นกัน ทันทีทันใด เขาก็เดินตรงไปหยุดตรงหน้าเซียถง ยกมือทั้งสองจับไหล่ของนางไว้นแน่น น้ำเสียงที่เปล่งดังฟังดูตื่นเต้นเกินควบคุม
“เซียถง เจ้าคืออัจฉริยะในหมู่นักหลอมโอสถอย่างแท้จริงๆ!”
เห็นได้ชัดแจ้ง ท่านคณบดีคว้าจับไหล่ทั้งสองข้างของนางอย่างลวกๆ ทว่าเซียถงกลับไม่มีพลังอำนาจมากพอที่จะถอนฝ่ามือขนาดใหญ่ทั้งสองของอีกฝ่ายออกไปได้แม้สักนิด ซึ่งนี่แสดงให้เห็นแล้วว่า ระดับความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายอยู่สูงส่งเพียงใด ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายมาอย่างเป็นมิตรและมิได้ปลดปล่อยจิตสังหารใดๆ ออกมา แต่ตัวเซียถงที่โดนคว้าจับหัวไหล่เอาไว้ กลับมีเหงื่อชุ่มชโลมทั่วแผ่นหลัง!
อีกฝ่าย…ทรงพลังมาก!
แต่กระนั้นเอง เซียถงก็แอบดีใจเช่นกันที่ท่านคณบดีเคราขาวผู้นี้มิใช่ศัตรู
“สามารถบรรลุขึ้นกลายเป็นราชาโอสถได้ตั้งแต่อายุสิบห้าปี ไม่เคยมีใครพบเห็นสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้มาก่อนในทวีปเทียนหลาง! ไม่เคยนึกเคยฝันเลยว่า ไม้ใกล้ฝั่งอย่างข้าจะมีโอกาสได้พบเห็นอัจฉริยะอย่างเจ้ากับตาตัวเองเลยจริงๆ! ชีวิตนี้นับว่าไม่สูญเปล่าแล้ว!”
ท่านคณบดีเคราขาวกล่าวชื่นชมไม่หยุดปากด้วยความดีอกดีใจ
เซียถงได้แต่จับจ้องอีกฝ่ายแต่ไม่พูด เพราะโอสถที่หลอมกลั่นขึ้นโดยราชาโอสถ กลับไม่สามารถช่วยเพิ่มพูนระดับความแข็งแกร่งของนางได้อีกต่อไป ดังนั้นนางจึงมิได้ให้ความสำคัญกับตำแหน่งราชาโอสถเท่าไหร่นัก การจะหยิบใช้โอสถเพื่อยกระดับพลังลมปราณ จำเป็นจะต้องกินโอสถที่อยู่ในระดับชั้นสอดคล้องกับความแข็งแกร่งของตน ซึ่งนางในปัจจุบันเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเสาหลักฟ้า ดังนั้นโอสถที่มีฤทธิ์ในการเพิ่มเสริมเติมแต่งความแข็งแกร่งของนาง จำต้องเป็นโอสถที่หลอมกลั่นขึ้นโดยระดับชั้นปราชญ์โอสถขึ้นไปเท่านั้น กับแค่สถานะราชาโอสถ สำหรับนางแล้วนับว่าไม่มีอะไรน่าภูมิใจ