ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 109 กินยาลืมเขย่าขวดกระมัง
ตอนที่109 กินยาลืมเขย่าขวดกระมัง?
“เซียถง หากตัวเจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอ ห้ามเปิดเผยตัวตนของเจ้าในฐานะนักหลอมโอสถต่อหน้าผู้อื่นโดยง่ายเด็ดขาด!”
พอท่านคณบดีเคราขาวเริ่มสงบสติลงจากความตื่นเต้น เขาก็ลืมตาจับจ้องเซียถงกล่าวน้ำเสียงจริงจังขึ้นผิดหูผิดตา
“เพราะเหตุใดรึท่านคณบดี?”
เซียุงเอียงศีรษะมองอีกฝ่ายเจือแววสับสน กล่าวกันว่านักหลอมโอสถเป็นอาชีพอันทรงเกียรติ ได้รับความเคารพนับถือจากทุกหย่อมหญ้า ดังนั้นแล้วไฉนถึงต้องปิดปังตัวตนอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ด้วย?
“สวรรค์มักอิจฉาคนมีความสามารถ โดยเฉพาะกับเจ้าที่มีพรสวรรค์ยิ่งใหญ่เกินตัว มันเป็นเรื่องง่ายที่จะเผลอดึงดูดพวกริษยาคิดร้ายมาหา หลังจากที่เจ้าแกร่งกล้าเพียงพอแล้วเท่านั้น จึงค่อยเปิดเผยสถานะของตนออกไปเป็นดีที่สุด อย่าชักนำปัญหาที่ไม่จำเป็นเข้ามาในยามนี้ที่ยังไม่แข็งแกร่ง”
ท่านคณบดีเคราขราวเอ่ยปากเตือนน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง
เซียถงครุ่นคิดอยู่สักครู่จึงค่อยพยักหน้าตอบ หากไป๋หลี่อวี่อิงทราบว่า ในตอนนี้ตัวนางขึ้นกลายเป็นราชาโอสถแล้ว อีกฝ่ายคงพยายามทุกวิถีทางเพื่อดับฝันตัดอนาคตกันแน่นอน ถึงแม้เซียถงจะมิได้กลัวไป๋หลี่อวี๋อิง แต่ไม่ควรสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็นขึ้นมาสุ่มสี่สุ้มห้าเป็นดีที่สุด เซียถงส่งยิ้มให้คณบดี กล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจว่า
“ขอบพระคุณสำหรับคำชี้แนะ! ศิษย์คนนี้จะไม่ทำตัวโอ้อวดหยิ่งผยองต่อผู้ใด!”
“เข้าใจก็ดี แล้วก็…เซียถง ถึงแม้เจ้าจะมีพรสวรรค์พลิกฟาดินอยู่ในมือ แต่หากวันพรุ่งนี้และวันข้างหน้าต่อไป เจ้าเลือกที่จะเกียจคร้าน เสพความสุขสบายเบื้องหน้า เกรงว่าอนาคตของเจ้าคงหยุดอยู่เพียงเท่านี้เช่นกัน ดังนั้นจงขยันหมั่นเพียรและทำให้ดีที่สุดในทุกๆ วัน และแล้วความสำเร็จที่เจ้าวาดฝันจะมาถึงเอง”
ท่านคณบดีเคราขาวพยักหน้าตอบรับ ทั้งยังกล่าวเตือนสติและให้กำลังใจเซียถงในเวลาเดียวกัน ประกายตาของเขาที่จับจ้องสาวน้อยตรงหน้า มันเปี่ยมล้นไปด้วยแสงแห่งความหวัง…
กล่าวคำอำลากันเสร็จสรรพ เซียถงเดินผ่านสวนบุปผาท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงสีส้มอบอุ่น เดินตามทางไปยังประตูหน้าสถานศึกษาเซิงหลิงเพียงลำพัง ในค่ำคืนนี้นอกจากจะสรรหาใบหญ้าเงินแล้ว นางยังตั้งใจเสาะหาสมุนไพรชนิดอื่นๆ มาเพิ่มอีกด้วย ทว่ายังไม่ทันย่างเท้าก้าวออกจากประตูเบื้องหน้า ทันใดนั้นพลันปรากฏเงาร่างอรชรงดงามสายหนึ่งเขาขวางทางเซียถงเอาไว้เสียก่อน
“อาจารย์หยุนซี?”
เซียถงเลิกคิ้วมองไปยังหยุนซีที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวจากข้างทาง ทั้งยังเข้าขัดขวางเส้นทางเดินของนางอีก
“นี่มันใกล้ค่ำแล้ว ไฉนไม่กลับไปหลอมกลั่นโอสถพลางหลับคาเตาหลอมแทนล่ะ? เสียทั้งเวลาทั้งแรงกายเพื่อเก็บสมุนไพรบนภูเขาให้มันได้อันใด? วันหลังเจ้าไม่ตองตรากตรำเพียงนี้แล้ว หากขาดเหลืออะไรก็แค่มาหาข้าเป็นพอ”
หยุนซีหรี่ตาลง ดวงตาคู่สวยสีดอกท้อคล้ายกับว่ากำลังยิ้มแย้มดูใจดีมาก และไม่เพียงแค่กล่าวคำลอยโดยเปล่า นางคว้าตะกร้าไม้สานในมือของเซียถงออกมา ใช้มืออีกคว้าหิ้วปีกเซียถง ลากกลับไปยังห้องพักของนางโดยไวพร้อมทีท่ากระฉับกระเฉง
“เอ่อ…ท่านอาจารย์หยุนซีกินยาลืมเขย่าขวดกระมัง?”
แปลกมาก! นี่เป็นคำอุทานแรกที่เปล่งดังขึ้นมาในหัวของเซียถง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรอยยิ้มกริ่มบนใบหน้าและสายตาของอีกฝ่าย ไม่ว่าจะดูอย่างไรกลับรู้สึกไม่สบายใจเลยแมสักนิด!
เพราะเมื่อใดที่หยุนซีปั้นหน้ายิ้มแย้มเช่นนี้ นั้นหมายความว่า มักจะมีแผนการชั่วร้ายถูกคิดขึ้นแล้วในหัวของนาง!
“ไฉนเจ้าต้องมองข้าเช่นนั้น? ข้าไม่กินเจ้าหรอก”
หยุนซีที่ถูกสายตาตื่นตระหนกของเซียถงเข้าจับจ้องไม่คลายอ่อน นางก็เลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าวต่อปนน้ำเสียงไม่พอใจว่า
“เซียถง ตั้งแต่ที่เจ้าเข้ามาเรียนที่สถานศึกษาเซิงหลิง ก็มักจะมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้อยู่เสมอ ข้าก็แค่อาจารย์ตัวน้อยคนหนึ่งที่มีหัวใจมีความรู้สึก ข้าเองก็เศร้าเสียใจเป็น…”
พูดจบ หยุนซีก็คว้าผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งขึ้นมา ทำเป็นเช็ดน้ำหูน้ำตา เบี่ยงศีรษะเลี่ยงหลบทำตัวเสมือนนางเอกที่ไม่อยากให้ผู้ใดรับรู้ถึงความเศร้าโศกของตน
“ว้า! แย่จัง!”
ต่อหน้าการแสดงที่สุดจะเสแสร้งเกินจริงของหยุนซี เล่นเอาเซียถงหยุดขำไม่ได้ หลังครุ่นพินิจสักครู่หนึ่ง นางก็หันหน้าไปทางหยุนซี และยิ้มถามขึ้นว่า
“ท่านอาจารย์หยุนซี คงอยากจะถามใช่ไหมว่า โอสถฟืนชีพที่ข้าให้องค์รัชทยาทกินในวันนี้ ข้าเป็นคนหลอมกลั่นเองกับมือจริงหรือไม่?”
ก่อนที่เซียถงจะกล่าวจบดี หยุนซีรีบยืดตัวเชิดแผ่นอกขึ้นมา ละทิ้งสีหน้าเสแสร้งที่ดูเศร้าสร้อยเกินจริงทิ้งไป แทนที่มาด้วยความเคร่งขรึม นัยน์ตาสีดอกท้อสั่นไสว เอ่ยถามปนน้ำเสียงประหม่าเล็กน้อยว่า
“ถูกต้อง เจ้าเป็นคนหลอมกลั่นโอสถฟื้นชีพเองใช่หรือไม่?”
เซียถงพยักหน้าตอบไปตามตรง
“ใช่!”
ได้ฟังดังนั้น หยุนซีก็เริ่มขมวดคิ้ว สายตาดูล่อกแล่กราวกับกำลังกระวนกระวายใจ สีหน้าดูตื่นตัวขึ้นมาก จากเมื่อครู่ จองเซียถงเขม็ง กล่าวถามย้ำเสียงเข้มขึ้นว่า
“ที่เจ้ากล่าวเป็นความจริง?”
เซียถงมองหน้าอีกฝ่ายพร้อมพยักหน้ายืนยันคำตอบอีกครา
“ตอนนี้เจ้ากลายมาเป็นราชาโอสถแล้ว?”
จู่ๆ หยุนซีก็ออกแรงคว้าแขนของเซียถงเข้ามาใกล้ เอ่ยถามด้วยท่าทีแสนร้อนใจ
“ใช่แล้ว แต่เพียงชั้นต้นเท่านั้น”
เซียถงกล่าวตอบ
“ไม่อยากจะเชื่อเลย…”
หยุนซีมองหน้าสบสายตากับเซียถงอยู่นาน ก่อนจะส่ายหน้าอานด้วยความเหลือเชื่อ นางไม่คิดไม่ฝันเลยสักนิดว่า เซียถงจะสามารถเลื่อนขั้นกลายมาเป็นราชาโอสถได้แล้วภายในเวลาแค่หนึ่งเดือน แม้จะทราบมาอยู่ก่อนแล้วว่า ภายในกายของสาวน้อยคนนี้มีธาตุไฟที่แกร่งกล้าอย่างยิ่ง แถมธาตุไม้เองก็โดดเด่นมิใช่อ่อนด้อย แต่ถึงแบบนั้น พอได้ฟังคำตอบกับหูตัวเอง หยุนซีก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี
เซียถงขมวดคิ้วจ้องหน้าอีกฝ่ายเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร พอทอดสายตามองตรงเข้าไปในดวงตาคู่นั้น นางก็สังเกตเห็นหลายหลากคลื่นอารมณ์ที่แสนซับซ้อนยิ่งยวดพัลวันอยู่ภายใต้นัยน์ตาไสวสีดอกท้อบริสุทธิ์ ทั้งความรู้สึกเหลือเชื่อ ตื่นเต้น วิตกกังวล และก็ความเศร้าโศก…
“เซียถง อาศัยความเร็วระดับนี้ของเจ้า คิดว่าใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะบรรลุกลายเป็นปราชญโอสถได้?”
ไม่นานจากนั้น หยุนซีก็กุมมือเซียถงเอาไว้แน่นหนา เอ่ยปากถามขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าครานี้กลับไม่เหมือนกันคราก่อนๆ ที่เคยมีมา ประกายสายตาของอีกฝ่ายที่มีให้มันเปี่ยมล้นไปด้วยแววความคาดหมายสุดคนานับ
หยุนซีออกแรงบีบมือซะแน่น ทำเอาเซียถงรู้สึกถึงกระแสเจ็บแปลบแล่นขึ้นมาราวกับกระดูกมือกำลังถูกบดขยี้ ทว่าอย่างไร นางก็มิได้ผลักอีกฝ่ายออกไป เพียงขมวดคิ้วข่มความเจ็บปวดเหล่านั้นเอาไว้ และกล่าวกับหยุนซีว่า
“ศิษย์คิดว่าอีกไม่นานนัก”
เมื่อได้ยินคำตอบของเซียถง ดวงตาคู่นั้นของหยุนซีเป็นประกายงดงามระยิบระยับขึ้นทันควัน นางในตอนนี้ช่างงดงามเกินบรรยาย และสวนกว่าทุกวันที่ผ่านมา ทุกอณูผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดใสเปี่ยมความสุขล้นปรี่ พรรณนาเทียบเคียงดั่งบุปผาที่บานสะพรั่งยามฤดูใบไม้ผลิ
“เซียถง เมื่อใดที่เจ้ากลายมาเป็นปราชญ์โอสถได้ ให้รีบเดินทางมาบอกข้าทันที!”
“ตกลง!”
เซียถงพยักหน้าตอบตกลงโดยไม่มีลังเล เพราะนางทราบดีว่าหยุนซีจะต้องมีความลับอะไรสักอย่างอยู่เบื้องหลัง และต้องการความช่วยเหลือจากนักหลอมโอสถระดับปราชญ์โอสถขึ้นไป ตราบใดที่สามารถตอบสนองความปรารถนาของหยุนซีคนนี้ได้ นางก็จะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณ
หยุนซีหัวเราะยิ้มแย้มออกมาโดยไม่มีเก็บซ่อนใดๆ ซึ่งรอยยิ้มดังกล่าวมันไม่เหมือนกับรอยยิ้มอันแสนเจ้าเล่ห์ที่นางเคยมีมา ทว่าคราวนี้กลับเป็นรอยยิ้มจากก้นบึ้งหัวใจอย่างแท้จริง กระทั่งเซียถงก็ยังสัมผัสได้ถึงความสุขที่กลั่นออกมาจากใจของอีกฝ่าย มันเป็นของจริงมิใช่มายาดั่งทุกครั้งที่ผ่านมา ทำเอาเซียถงอดยิ้มตามมิได้