ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 11 คนเลวยังกล้าเรียกร้องความเป็นธรรม
ตอนที่11 คนเลวยังกล้าเรียกร้องความเป็นธรรม
สีหน้าการแสดงออกของเซียถงดูเย็นชาขึน้ถนัดตา แววตาอำมหิตเลือดเย็น ก้าวเข้าไปคว้าแส้หนังออกเอาไว้ ออกแรงบีบข้อมืออีกฝ่ายเล็กน้อย ทันใดนั้นแส้หนังอ่อนที่กำลังจะถูกหวดลงพลันหยุดชะงักกลางอากาศในทันเ
กระแสความเจ็บปวดสุดพรรณนาที่จินตนาการเอาไว้กลับยังไม่มาถึงเสียที พออิ๋งเอ๋อร์เงยหน้ามองออกไปก็รู้สึกยินดีปรีใจอย่างยิ่งรวด นางไม่สนอาการบาดเจ็บก่อนหน้าอีกต่อไป รีบลุกขึ้นวิ่งออกไปเบื้องหน้าในทันใด
“คุณหนู! ท่านกลับมาแล้วรึเจ้าค่ะ…”
เซียถงขานรับน้ำเสียงเงียบเชียบ เงยหน้าจับจ้องเซี่ยเสวี่ยเหลียน ทั้งที่แววตานั้นมิได้ดูน่ากลัวแต่อย่างใด ทว่าสายตาคู่นี้กลับทำให้เซี่ยเสวี่ยเหลียนตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ภายในใจพลันก่อเกิดความตื่นตระหนกขึ้นอย่างไร้เหตุผล
เซี่ยเสวี่ยเหลียนอึ้งไปสักพักใหญ่ ก่อนจะค่อยๆตอบสนองในเวลาต่อมา นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน? นี่ข้ากำลังหวาดกลัวนังสวะนี่ขึ้นมาอย่างงั้นรึ? นี่ต้องเป็นภาพลวงตา! นังเซียถงมันเป็นเพียงเศษสวะไร้ประโชน์คนหนึ่งเท่านั้น! ต่อให้นางเคยเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งอย่างไร แต่ตอนนี้มันก็พิการไปแล้ว มันหาใช่คู่ต่อสู้ของข้าไม่!
เซี่ยเสวี่ยเหลียนยิ้มเยาะ
“เซียถง เดี๋ยวนี้เจ้ากล้ามาก ออกไปไหนมาไหนกลับไม่คิดจะมารายงานต่อท่านแม่ของข้า นี่เจ้ามีเจตนาร้ายอะไรกันแน่?”
กล่าวจบเซี่ยเสวี่ยเหลียนก็ดึงแส้หนังอ่อนกลับมา แต่…ไม่ว่าจะออกแรงมากขนาดไหนกลับแส้ในมือกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด
เซียถงเห็นอีกฝ่ายพยายามออกแรงชักดึงกลับไปขนาดนั้นก็ย่อมสนองให้ สะบัดข้อมือโยนแส้หนังอ่อนกลับไป เนื่องด้วยแรงดีดที่สะท้อนกลับมาอย่างแรง ทำให้แส้หนังอ่อนฟาดเข้าใส่ใบหน้าของเซี่ยเสวี่ยเหลียนอย่างแรง แก้มนวลสีขาวผ่องเสมือนวิ่งไปกระแทกกับก้อนหินยักษ์ จนเกิดเป็นรอยแผลพร้อมธารเลือดสดที่ไหลซิบออกมา
กระแสความเจ็บแสบโฉบแล่นขึ้นบนใบหน้าของเซี่ยเสวี่ยเหลียน นางรีบลูบไหล้ใบหน้าของตัวเอง และพอแบขึ้นมาดูฝ่ามือดังกล่าวก็เปียกชโลมไปด้วยเลือดสีแดงสด เห็นแบบนั้นนางถึงกับกรีดร้องลั่นด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
“กรี๊ดดด! ใบหน้าของข้า!!! เซี่ยถง! เจ้ากล้าดียังไง!! กล้าดียังไงถึงทำให้ข้าเสียโฉม!!!”
“เซี่ยเสวี่ยเหลียน หากครั้งหน้าเจ้ายังรังแกคนของข้าอีก จุดจบในคราต่อไปคงไม่ง่ายเพียงเท่านี้”
แม้น้ำเสียงที่เปล่งออกไปจะแผ่วเบา แต่นั่นอัดแน่นไปด้วยจิตสังหารสุดข้นขลัก
พอกล่าวจบเซียถงก็มิได้ใส่ใจกับเซี่ยเสวี่ยเหลียนอีกต่อไป นางดึงแขนของอิ๋งเอ๋อร์กลับเข้าไปในตัวเรือนทั้งแบบนั้น
ปฏิกิริยาตอบสนองสุดเฉยชาเช่นนี้ ทำให้เซี่ยเสวี่ยเหลียนยิ่งโกรธเกรี้ยวเข้าไปใหญ่ กระทืบเท้าเสียงดังเป็นบ้าเป็นหลัง ตะโกนลั่นไล่หลังตอบไปว่า
“เซียถง! รอก่อนเถอะ!!!”
อิ๋งเอ๋อร์ปรายสายตามองเซี่ยเสวี่ยเหลียนที่รีบวิ่งออกไปด้วยความกังวล
“คุณหนู อิ๋งเอ๋อร์คนนี้เป็นเพียงสาวรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น ท่านไม่จำเป็นต้องล่วงเกินคุณหนูรองเพื่อข้าเลย เกรงว่ายามนี้อีกฝ่ายอาจนำเรื่องไปฟ้องฮูหยินรอง…”
สีหน้าการแสดงออกของเซียถงยังคงเรียบเฉย พอถึงเรือนพักด้านในก็สั่งให้อิ๋งเอ๋อร์นั่งลง แล้วไปหยิบยาทาแผลมา ผาให้อีกฝ่ายด้วยตนเองอย่างใจเย็น
อิ๋งเอ๋อร์ชำเลืองเฝ้าดูคุณหนูของตนที่บรรจงทายาให้ ถึงแม้คุณหนูจะดีต่อนางแค่ไหน แต่กลับเป็นตัวนางนั่นแหละที่ไม่มีประโยชน์อะไรต่อคุณหนูเลย ทั้งยังทำให้คุณหนูรองขุ่นเคืองในวันนี้อีก ทั้งหมดเป็นเพราะนาง!
อย่างไรก็ตาม คำกล่าวที่ว่า ‘หากครั้งหน้าเจ้ายังรังแกคนของข้าอีก จุดจบในคราต่อไปคงไม่ง่ายเพียงเท่านี้’ ประโยคดังกล่าวมันเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอำนาจและเย็นชาเกินจะบรรยาย
“เอาล่ะ ช่วงสองสามวันนี้อย่าเพิ่งให้แผลโดนน้ำ”
เซียถงเก็บยาทาแผลและเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ถึงแม้อิ๋งเอ๋รอ์จะเป็นสาวรับใช้ก็จริง แต่กลับเป็นเพียงไม่กี่คนที่ทำดีต่อนางด้วยใจจริง
คติประจำใจของเซียถงคือ ใครก็ตามที่ทำดีต่อนาง นางจะตอบแทนกลับเป็นร้อยเท่า ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม
อิ๋งเอ๋อร์ที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกมีความสุขอย่างมาก
คล้อยหลังฟังคำบอกเล่าจากอิ๋งเอ๋อร์ ในที่สุดเซียถงก็เข้าใจถึงต้นเหตุที่ว่า ทำไมเซี่ยเสวี่ยเหลียนถึงวิ่งมาทำร้ายอิ๋งเอ๋อร์แบบนี้ ปรากฏว่า วันนี้เซี่ยเสวี่ยเหลียนรีบเร่งเดินทางไปเข้าพระราชวัง หวังว่าจะไปพบองค์รัชทายาท แต่ดันค้นพบว่า องค์รัชทายาทกำลังอยู่กับจางเสวี่ยงหรง บุตรสาวสายตรงแห่งจวนแม่ทัพ ซึ่งดูเหมือนว่าทั้งคู่กำลังพูดคุยกันอย่างสนิทสนม
เซี่ยเสวี่ยเหลียนโกรธแทบตาย ทว่ากลับไม่มีที่จะระบาย นึกอะไรไม่ออกจึงเดินทางมาหาเซียถง แต่น่าเสียดายที่เซียถงดันไม่อยู่ ดังนั้นนางจึงระบายความโกรธใส่อิ๋งเอ๋อร์แทน
“เฮ้ออ…งานชุมนุมลมปราณที่จัดขึ้นทุกๆสามปี กำลังจะเริ่มขึ้นแล้วด้วย น่าเสียดายที่คุณหนูไม่สามารถเข้าร่วมได้แล้ว มิฉะนั้น อาศัยความแข็งแกร่งของท่าน ท่านจะต้องคว้าอันดับหนึ่งมาได้ดั่งสามปีก่อน!”
อิ๋งเอ๋อร์ถอนหายใจเสียงอ่อน
งานชุมนุมลมปราณ?
เซียถงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า เมื่อสามปีก่อน ‘เซียถง’ เจ้าของร่างเก่าในวัยสิบสามปีเคยคว้าอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิตงหลี่มาได้ ตั้งแต่บัดนั้น เซี่ยอี้เฉินจึงค่อยๆให้ความสำคัญต่อนางมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้สนใจงานชุมนุมลมปราณอะไรนั่นเลย และต่อให้นางจะเข้าร่วมหรือไม่ ก็มิได้สำคัญเช่นกัน
เมื่อเห็นสีหน้าการแสดงออกที่ดูไม่ค่อยใส่ใจนักของเซียถง อิ๋งเอ๋อร์จึงกล่าวขึ้นอีกว่า
“บ่าวได้ยินมาว่า ผู้ชนะเลิศในงานชุมนุมลมปราณครั้งนี้ จะได้รับเห็ดหลินจือมรกตเป็นรางวัล”
เห็ดหลินจือมรกต? เซียถงเลิกคิ้วเล็กน้อยเจือแววสงสัย ในเวลานั้นเอง ภายในห้วงความคิดพลันมีแสงไฟดวงน้อยปรากฏขึ้น ทั้งยังส่งเสียงขึ้นอีกว่า
“เห็ดหลินจือมรกตเป็นสมุนไพรที่ทั้งล้ำค่าและหายากยิ่ง ไม่เพียงจะมีสรรพคุณถอนพันพิษและรักษาโรคร้าย แต่ยังชำระเนื้อหนังที่ตายแล้วให้กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง”
พอได้ยินแบบนั้น แววตาของเซียถงพลันส่งประกายวูบวาบออกมาเล็กน้อย หากเห็ดหลินจือมรกตสามารถรักษาโรคร้ายและพิษได้จริงๆ สิ่งนี้จะช่วยให้ท่านแม่ของนางกลับมาแข็งแรงได้อีกครั้ง
“อิ๋งเอ๋อร์ งานชุมนุมลมปราณที่ว่าจะจัดขึ้นวันใด?”
“อีกหนึ่งเดือนต่อมาเจ้าค่ะ คุณหนูถามไปแบบนี้มีอะไรรึเปล่าเจ้าค่ะ?”
อิ๋งเอ๋อร์เอียงศีรษะเล็กน้อยเจือแววฉงนใจ
เงาสะท้อนจากดวงตาของเซียถงมีแต่ความปีติยินดี แต่มิได้เอ่ยตอบใดๆกลับไป แต่ขณะจะหมุนตัวกลับเข้าไป ก็มีเสียงของเสี่ยวหั่วดังขึ้นอีกครั้งผ่านห้วงความคิดว่า
“นายท่าน หากได้เห็ดหลินจือมรกตมา มันจะช่วยกำจัดพิษดำบนใบหน้าของท่านได้โดยสิ้น!”
ทว่าเซียถงกลับส่ายหน้า เห็ดหลินจือมรกตนี้จะต้องใช้เพื่อรักษาท่านแม่ ส่วนเรื่องพิษสีดำบนใบหน้าของนางกลับมิได้สำคัญเท่าไหร่นัก
ผ่านไปได้ไม่นาน ก็พลันได้ยินเสียงตะโกนของฮูหยินรองเฉิงดังสนั่นจากนอกเรือน เซียถงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เหลือบสายตามองผ่านหน้าต่าง ปรากฏเห็นเป็น เซี่ยเสวี่ยเหลียนที่ยืนกุมใบหน้าฝั่งซ้ายที่ได้รับบาดเจ็บ ภายใต้แกนนำอย่างฮูหยินเฉิงที่กำลังเกรี้ยวกราด ด้านหลังมีบ่าวไพร่ผู้ชายร่างกำยำดูท่าทีดุร้ายแห่กันเข้ามา
อิ๋งเอ๋อร์เห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาเรียกคุณหนูของตนทันที
“คุณหนู! แย่แล้วเจ้าค่ะ! ฮูหยินรองกับคุณหนูรองมาแล้วเจ้าค่ะ! ท่านรีบไปซ่อนตัวก่อนเสียดีกว่า…”
ยังไม่ทันที่อิ๋องเอ๋อร์จะกล่าวจบ กลับถูกเซียถงผลักไสให้หลบออกไป เซียถงก้าวย่างเดินออกไปเตรียมจะเปิดประตูออกไปข้างนอก อิ๋งเอ๋อร์ถึงกับตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะรีบวิ่งไปจับมืออีกฝ่าย กล่าวว่า
“คุณหนู! ตอนนี้ท่านหาใช่คู่มือของพวกมัน ท่านห้ามออกไป…”
“ไฉนข้าต้องกลัวพวกมันด้วย?”
เซียถงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอีกครา นัยน์ตาเยียบเย็นปราศจากคลื่นอารมณ์ใด นางสะบัดแขนทิ้งและเดินเปิดประตูออกไปโดยตรง
เซี่ยเสวียนเหลียนกับฮูหยินเฉินที่พาบ่าวรับใช้ร่างกำยำทั้งหก ยามนี้ตรงมาหยุดอยู่หน้าเรือนของเซียถง พร้อมตะโกนลั่นว่า
“นังแพศยา ออกมาเดี๋ยวนี้!”
เอี๊ยดด….
เสียงเลื่อนเปิดประตูดังขึ้น เซียถงเอนกายพิงประตู พร้อมด้วยสองมือที่กำลังกอดอก ดวงตาคู่นั้นทอประกายสาดส่อง ลำเลืองหางตามองเซี่ยเสวี่ยเหลียนและคนอื่นๆอย่างเกียจคร้าน ทั้งยังเอ่ยสวนกลับไปว่า
“ที่นี่ไม่มีนังแพศยา มีแต่สุนัขจรชั้นต่ำอยู่สองตัว”
ฮูหยินเฉินได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโกรธจัดจน กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกไม่หยุด นิ้วมือสั่นระริกชี้หน้าเซียถง กราดด่าตะโกนลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า
“เจ้านี่มันใจคออำมหิตโดยแท้! ถึงกล้าทำให้บัวหิมะน้อยของข้าเสียโฉม! ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดมาพร้อมใบหน้าอัปลักษณ์น่าเกลียด จึงแอบอิจฉาความงดงามของบัวหิมะน้อยมาโดยตลอด! นี่เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่? บัวหิมะน้อยเป็นน้องสาวแท้ๆของเจ้า! แล้วเจ้ากลับทำร้ายนางเช่นนี้ได้ยังไง!!”