ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 110 เข้าสำรวจแดนสมบัติ (1)
ตอนที่110 เข้าสำรวจแดนสมบัติ (1)
หญิงสาวทั้งสองรวนหัวเราะอย่างมีความสุข ประกายตาสีดอกท้อสวยของหยุนซีเปล่งประกายระยิบระยับ ท้ายที่สุดนี้นางอดใจเอื้อมมือเอนกายเข้าสวมกอดเซียถงมิได้ ร่างอรชรเพรียวบางสองสายแนบชิดกัน หยุนซีโน้มริมฝีปากสีกุหลาบเข้าใกล้ใบหูของอีกฝ่าย เอ่ยกระซิบเสียงแผ่วเบาว่า
“เซียถง เจ้าต้องเป็นปราชญ์โอสถให้จงได้ มิฉะนั้นจำนวนเงินที่เจ้าติดหนี้ข้าในขณะนี้ ต่อให้ชดใช้ทั้งชีวิตเกรงว่าไม่น่าหมดสิ้น!”
“สบายใจได้ ศิษย์คนนี้ไม่คิดจะจ่ายคืนอยู่แล้ว”
เซียถงส่งยิ้มเจ้าเล่ห์สวนตอบ
หยุนซีตะลึงงันไปชั่วขณะ เอียงศีราะจับจ้องเซียถงเจือแววงุนงงฉุยฉาย ค่อยตบไหล่นางไปทีหนึ่ง รวนหัวร่อกล่าวว่า
“ก็คิดอยู่กับเจ้าแล้ว แต่ก็หนีการตามล่าของข้าให้ทันเสียแล้วกัน”
จากนั้นทั้งคู่ก็สบตากันเล็กน้อย ก่อนระเบิดหัวเราะออกมา
หยุนซียังคงยืนกรานว่า หากเซียถงมีสมุนไพรชนิดใดขาดเหลือ ก็สามารถมาขอที่ตนได้ตลอดเวลา แต่เซียถงก็ปฏิเสธกลับไปเนื่องด้วยเกรงใจ นางพยายามไม่ติดหนี้บุญคุณใครพร่ำเพรื่อหามิใช่สถานการณ์คับขันจริงๆ นอกจากนี้เอง สมุนไพรที่นางต้องการที่สุดในขณะนี้ เกรงว่าแม้กระทั่งหยุนซีเองก็ไม่น่ามีเช่นกัน
หลังจากแยกย้ายกับหยุนซีแล้ว เซียถงก็เดินทางมายังภูเขาป่าสนพร้อมตะกร้าในมือโดยลำพัง ใบหญ้าเงินเป็นสมุนไพรที่หายากมาก เป็นพฤกษาที่มีพฤติกรรมแปลกประหลาด เพราะมันจะซ่อนอยู่ใต้ดินในช่วงกลางวัน และโผล่ออกมาในตอนค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น และจะปรากฏตัวออกมาให้เห็นเพียงแค่ครึ่งชั่วยาม ก่อนจะดำดินกลับไปซ่อนใต้ดินดังเดิม
เมื่อมาถึงป่าสน เซียถงก็ก้มหน้าก้มตาเก็บสมุนไพรต่างๆ นานาที่นางต้องการ ก่อนที่จะรู้ตัวด้วยซ้ำ นางก็เก็บสมุนไพรจนเพลิน ตรงเข้าไปในส่วนลึกของป่าสนเสียแล้ว ในระหว่างนั้นเอง นางก็คล้ายกับว่าได้ยินเสียงธารน้ำรินไหลอยู่ทิศทางเบื้องหน้า จึงลองเดินตามเสียงดังกล่าวไป จนเจอเข้ากับถ้ำลึกลับแห่งนี้ที่มีไม้ซุงมากมายปิดกั้นทางเข้าเอาไว้อยู่
ซึ่งเสียงธารน้ำไหลมันดังมาจากด้านหลังไม้ซุงมากมายเหล่านี้ ด้วยความสงสัยใคร่รู้ เซียถงจึงเริ่มลงมือทยอยแบกไม้ซุงเหล่านั้นออกไป ปรากฏเป็นปากถ้ำขนาดพอดีตัวอยู่ตรงหน้า เห็นดังนั้น นางจึงมุดเข้าไปภายในนั้นโดยทันที ตัวถ้ำด้านในค่อนข้างมืดมาก พื้นผิวทางเดินขรุขระปราศจากความเรียบเนียน ส่งผลให้เดินลำบากมิใช่น้อย
ทอดสายตามองเข้าไปส่วนลึกอันมืดมิดภายในถ้ำ ยามนี้เซียถงเริ่มลังเลใจแล้วว่าควรไปต่อหรือพอเท่านี้? ทว่าชั่วอึดใจนั้นเอง เสี่ยวฮั่วก็เปล่งเสียงดังส่งผ่านห้วงความคิดของนางขึ้นว่า
“นายท่าน ควรเดินสำรวจด้านในก่อนสักครา บางทีอาจมีสมบัติดีๆ สักชิ้นสองชิ้นอยู่ในนั้น”
ได้ยินดังนั้น เซียถงยกเท้าก้าวแช่มบุกตะลุยเดินหน้าต่อไป เสียงธารน้ำรินไหลเริ่มเปล่งดังชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อสืบเท้าก้าวหน้า แต่ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่มันก็ยิ่งเดินยากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะกับช่วงความลึกที่เซียถงอยู่ในขณะนี้ สะพานหินภายในถ้ำมีความกว้างเพียงครึ่งฟุตเท่านั้น และสองข้างทางทั้งซ้ายและขวาเป็นเหวลึกไร้ก้นบึ้ง
เซียถงเดินทรงตัวบนสะพานหินทุกย่างเท้าแน่วแน่มั่นคง ความกว้างแทบจะพอดีกับเท้าของนาง เหลือบแลสายตาทอดลึกลงไปยังเหวทั้งสองขางทาง นางอดใจสั่นมิได้ พยายามรวบรวมสมาธิมุ่งความสนใจอยู่กับแค่ทางเดินสะพานหินด้านหน้า เร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อย และในที่สุดเซียถงก็สามารถเดินข้ามาสะพานหินจนถึงอีกฝั่งจนได้ และนี่คือจุดสิ้นสุดของถ้ำลึกลับแห่งนี้
พอมาถึงที่หมาย เซียถงถึงกับตาสว่างแพรวพราวในทันใด ต่อหน้าเส้นสายตาปรากฏเป็นบ่อน้ำใสบริสุทธิ์ขนาดใหญ่ มีน้ำตาที่ไหลหลากลงมาจากแนวดิ่ง เสียงตกกระทบดังใสแจ๋ว
ทั้งยังมีเถาวัลย์สีเขียวขจีห้อยลงมาจากสองฝากฝังของธารน้ำตก ปรากฏบุปผาที่กำลังเบ่งบานประดับประดาตามเส้นสายเถาวัลย์เขียวขจีเหล่านั้น หยาดวารีใสกระเด็นกระดอนเข้าตกกระทบกับบุปผาเบ่งบาน เป็นหยดน้ำก้อนใสที่ถูกห่อหุ้มจับตัว
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ขอบบ่อน้ำ เหมือนจะมีไอหมอกเย็นช่ำแรกสัมผัสกระทบผิวหน้า ควบแน่นเป็นหยดใสบนหน้าผากบางๆ ก่อให้เกิดความรู้สึกเย็นสบายสุดจะพรรณนาได้ เพราะจะอย่างไร ตลอดทางที่เดินสำรวจเข้าถ้ำแห่งนี้มา เซียถงรู้สึกเหนียวเหนอะหนะไปทั่วทั้งร่างกาย ขนาดเสื้อผ้ายังเปียกชโลมชุ่ม สร้างความไม่สบายตัวอย่างยิ่ง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ขึ้นมาเก็บสมุนไพรบนภูเขาป่าสน เซียถงมักจะเดินสำรวจไปทั่วป่าจนติดเป็นนิสัย ทว่าอย่างไรก็ไม่เคยค้นพบสถานที่ลึกลับและสุดแสนจะเงียบสงิบเฉกเช่นนี้มาก่อนเลย เหนือบ่อน้ำตกใสพิสุทธิ์ หลังคาถ้ำมีลักษณะเป็นรูโหว่ใหญ่ยักษ์ ทำให้นางสามารถยลโฉมพระจันทร์สว่างไสว เคียงคู่กับดวงดาราประดับล้อมเดือนภายใต้แผ่นฟ้าราตรี โดยทั้งหมดทั้งมวล นับเป็นภาพฉากที่งดงามสุดจะบรรยาย
เซียถงวางตะกร้าในมือลง ยกมือถอดผ้าคลุมใบหน้าพร้อมชุดเสื้อผ้าออกโดยไว จากนั้นกระโดดลงไปในบ่อน้ำตกใสพิสุทธิ์โดยทันที
น้ำภายในบ่อเยนสบายชื่นจิตชื่นใจยิ่งนัก ก้มศีรษะวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าล้างตา ชำระล้างรอยจุดด่างดำที่แต้มขึ้นเองออก เผยให้เห็นใบหน้าสตรีงดงามนางหนึ่งสะท้อนขึ้นจากผิวน้ำเป็นคลื่นระลอก เผชิญกับความงดงามอันหาผู้ใดเทียบไม่ต่อหน้า นางก็อดเชยชมมิได้พลางอมยิ้ม ทันทีทันใด สูดหายใจแช่มลึกสุดขั้วปอดเพื่อกักเก็บอากาศ จากนั้นก็ดำดิ่งสู่เวิ้งลึกใต้บ่อน้ำในทันที
ก้นบ่อน้ำตกใสพิสุทธิ์แห่งนี้ค่อนข้างลึกมาก จำต้องใช้เวลาอยู่สักครู่หนึ่งถึงจะดำดิ่งถึงก้นบ่อ และทันทีทันใด เซียถงก็ค้นพบความผิดปกติอย่างรวดเร็ว ถึงจะเป็นใต้น้ำลึกแบบนี้ เซียถงก็ยังสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน แต่ถึงแบบนั้น ก็เห็นเพียงแค่วัชพืชน้ำบางชนิดโบกไสวโยกไปมาเป็นหย่อมๆ ทว่ากลับไม่มีปลาแหวกว่ายเลยกระทั่งตัวเดียว พบเห็นความไม่ปกติเบื้องหน้า นางก็อดสงสัยมิได้เลยเช่นกันว่า บ่อน้ำที่อุดมสมบูรณ์ปานนี้จะไม่มีปลาสักตัวเลยได้อย่างไร?
“นายท่าน ภายในนี้มีของวิเศษอยู่!”
ชั่วพริบตาต่อมา เสี่ยวฮั่วร้องอุทานลั่นกลางห้วงความคิดของเซียถง พินิจจากน้ำเสียงมันดูตื่นเต้นมาก
“ของวิเศษ? มันอยู่ตรงไหน?”
เซียถงเอ่ยถามติดตามโดยไว นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจปนตื่นเต้นเช่นกัน เพราะในตอนนี้มีของวิเศษอยู่ตรงหน้าของนางแล้ว!
“มันต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในเบื้องล่างของบ่อน้ำแห่งนี้แน่นอน ข้าสัมผัสถึงกลิ่นอายของมันได้ ถึงจะเบาบางมาก แต่สัมผัสข้าย่อมไม่ผิดเพี้ยน เดาว่า ของวิเศษชั้นนั้นน่าจะถูกบางสิ่งบางอย่างปิดผนึกเอาไว้อยู่ นายท่านต้องใจเย็นค่อยๆ เสาะหาไป”
เสี่ยวฮั่วกล่าว
เซียถงเค้นเสียงตอบสั้นๆ กลับไป และแหวกว่ายวนหาอยู่ทั่วบริเวณก้นบ่อประมาณสองถึงสามรอบ ผ่านไปสักพักใหญ่คล้ายรู้สึดได้ว่าอากาศที่กักเก็บในปอดเริ่มเบาบางหมดลง จึงลอยตัวขึ้นบนผิวน้ำเก็บกักอากาศชุดใหม่ก่อนดำดิ่งลงไปเพื่อค้นหาของวิเศษชิ้นนั้นต่อย่างไม่ลดละ
แต่ทันใดนั้นเอง นางก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวนางหนึ่งดังลั่นมาจากฝั่ง เซียถงรีบวิ่งกลับเข้ามาหลบอยู่หลังโขดหินก้อนหนึ่งทันที พอชะโงกหน้าเข้าสังเกตการณ์ก็พบว่า บนแผ่นหินขนาดใหญ่สีครามอมเขียวที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล มีชายคนหนึ่งในชุดคลุมหรูหรากำลังยืนตระหง่านอยู่บนนั้น ทันทีที่เห็นว่าชายผู้นั้นเป็นใคร เซียถงถึงกับหัวใจกระหน่ำเต้นแรงแทบคลั่ง
เย่หลีเทียนยืนเหนือศิลาแผ่นสีครามอมเขียวภายใต้แสงจันทราที่สาดส่องลงมา คู่คิ้วเสมือนใบดาบเข้ม จมูกคมสันตั้งตรงได้ทรงงาม ใบหน้าหล่อเหลายากเกินผู้ใดเทียบเคียง ทว่าสิ่งที่ดูผิดปกติที่สุดบนใบหน้าอันหล่อเหลา กลับเป็นดวงตาสีแดงฉานของเขา ท่าทางการแสดงออกดูราวกับสัตว์ป่าบ้าคลั่ง ริมฝีปากชุ่มชโลมไปด้วยเลือดสดไหลหยดลงสู่พื้นดังติ๋งๆ ซึ่งเลือดปริมาณนี้มันเกินกว่าคนปากแตกจนมีเลือดออกทั่วไป
ในมือข้างหนึ่งของเขากำลังบีบคอหญิงสาวนางหนึ่งไว้อยู่ ซึ่งนางคนนี้ศีรษะแหว่งไปครึ่งซีก ร่างกายดูไร้ชีวิตแขนขาห้อยต่องแต่งลงมา เห็นได้ชัดว่านางคนนี้ได้ตายลงไปแล้ว ปรากฏรอยฟันประดุจคมเขี้ยวสีแดงสดบนลำคอสีขาวผ่องระหงอย่างชัดเจน ธารเลือดไหลเยิ้มหยดลงมาจากรอยฟันประดุจคมเขี้ยว
ราวกับสัญชาตญาณสัตว์ป่าตรวจสัมผัสถึงบางสิ่งที่จับจ้อง ดวงตาสีแดงฉานของเย่หลีเทียนเหลียวขวับ หันเข้าจับจ้องไปที่เซียถงในทันใด รัศมีคลื่นพลังวิญญาณสีทมิฬขลับแสนชั่วร้ายปะทุคลั่งระเบิดออกมาจากกายาของเขา แรงระเบิดดังกล่าวชักนำลมพายุวงใหญ่หมุนติ๋วโคจร ซัดกระแทกใส่โขดหินบริเวณเหล่านั้นจนแตกเป็นเสี่ยงเล็กเสี่ยงน้อย บนเนื้อหนังร่างกายของเย่หลีเทียนเต็มไปด้วยคลื่นพลังวิญญาณชั่วร้ายแสนข้นคลั่ก พลุ่งพล่านเดือดดาลไม่รู้จบ
ศพของหญิงสาวในมือถูกโยนทิ้งกลางอากาศโดยไม่แยแสอีกต่อไป ระลอกคลื่นวายุขุมหนึ่งโหมกระเพื่อม เงาร่างของเย่หลีเทียนปราดพุ่งเข้าใส่ทางเซียถงด้วยความเร็วประดุจสายฟ้า ราวกับควบยอดอาชาหวังเข้าพิฆาตนางในชั่วอึดใจ!