ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 111 เข้าสำรวจแดนสมบัติ (2)
ตอนที่111 เข้าสำรวจแดนสมบัติ (2)
เซียถงหน้าซีดผงะตื่นตกใจ นางเร่งควบคุมอารมณ์และลมหายใจให้เสถียรนิ่ง ระงับความตื่นตระหนกภายในใจโดยไว รีบกระโจนลงน้ำดำดิ่งสู่ห้วงลึกก้นบ่อ เพราะนางวิเคราะห์แล้วว่า ภายใต้สถานการณ์ที่ความแข็งแกร่งของนางเสียเปรียบ การต่อสู้ในน้ำน่าจะได้ทำให้นางตีตื้นสร้างความได้เปรียบขึ้นมาได้บ้าง เพราะจะอย่างไร การต่อสู้ในน้ำเคยเป็นวิชาที่เซียถงทำคะแนนได้ดีที่สุดตอนที่ยังฝึกอยู่ในหน่วยพิเศษ และอีกหนึ่งประกายที่พึงทราบ หากนางขึ้นจากผิวน้ำก่อนตอนนี้ นางต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากดำน้ำลงไปพักหนึ่ง ทว่ากลับไม่เห็นเย่หลีเทียนไล่ตามติดตามใดๆ พอผลปรากฏเป็นเช่นนั้น มันยิ่งสร้างความไม่สบายใจแก่เซียถงเข้าไปใหญ่ เหตุใดใด อีกฝ่ายถึงไม่ไล่ตามนางลงมา? หรือเขาเองก็อาจจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับของวิเศษใต้ก้นบ่อแห่งนี้? แต่ยังหาไม่พบ? และเพื่อป้องกันมิให้ของวิเศษชิ้นดังกล่าวเกิดความเสียหาย จึงไม่กล้าลงมือสัประยุทธ์ใต้น้ำ? แต่หากนางพบของวิเศษชิ้นดังกล่าวก่อนอีกฝ่ายล่ะ?
“นายท่าน ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะฝึกปรือวิชามาร เป็นเส้นทางนอกรีตหาใช่เส้นทางผู้บำเพ็ญตบะอย่างคนทั่วไป สิ่งนี้น่ากลัวเกินไป ไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วยเป็นดีที่สุด ไม่ต้องคิดเรื่องของวิเศษแล้ว ท่านรีบหนีไปจากที่นี่โดยเร็วก่อน!”
พอเห็นว่าเซียถงเริ่มมีความลังเลว่า จะหาวิถีทางล่าถอยหรือบุกตะลุยเสาะหาของวิเศษต่อไป ทันทีทันใดนางก็พลันได้ยินสุ้มเสียงของเสี่ยวฮั่วเปล่งลั่น กล่าวเตือนสติด้วยความวิตกกังวลจัด
และทันทีที่ได้ยินว่า ตัวนางในขณะนี้กำลังเผชิญหน้าอยู่กับตัวอะไรจากปากเสี่ยวฮั่ว นางไม่กล้ารั้งตัวอยู่ที่นี่อีกต่อไป ดังนั้นจึงรีบตีขาสับแขนเป็นจังหวะรีบว่ายขึ้นฝั่งด้านตรงข้ามจากเมื่อครู่โดยไว วิ่งขึ้นมาหยิบชุดเสื้อผ้าใส่ตะกร้า เตรียมตีฝีเท้าวิ่งหนีสุดกำลัง แต่ทันใดนั้น พลันมีกลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายออกมา เสมือนไอโลหิตข้นขลักเจือผสมกับเศษเนื้อมนุษย์ที่ลอยฟุ้งกลางอากาศ
เหตุผลที่นางสามารถแยกแยะออกทันทีว่า ทั้งเลือดและเนื้อเหล่านี้เป็นของมนุษย์ เพราะในฐานะที่เซียถงเคยเป็นนักฆ่ามาก่อน ยอมคุ้นชินกับอะไรแบบนี้ดี นอกจากเลือดและเนื้อมนุษย์แล้ว ก็ไม่น่าจะเป็นใดอื่นอีก
เพิ่งย่างเท้าก้าวออกไปไม่นาน เซียถงก็ค้นพบเข้าไป กองกระดูกติดเนื้อหนังพร้อมแอ่งเลือดสีแดงสดอยู่หย่อมหนึ่งตรงหน้า ชั่วขณะอึดใจ นางพลันนึกถึงศพของหญิงสาวก่อนหน้าที่เห็นโดยพลัน เหงื่อเย็นแตกพลักอยู่กลางแผ่นหลัง พอค่อยๆ แลเหลียวหันไปมองย้อนกลับไปที่บ่อน้ำตกพิสุทธิ์ ก็บังเอิญเห็นเย่หลีเทียนที่กำลังแช่เนื้อแช่ตัวอยู่จากอีกฝากฝั่งหนึ่ง โดยกำลังหันหลังให้นาง และดูจะไม่มีท่าทีหันหลังมองมาด้วย เสาะพบโอกาสดังนั้น นางรีบย่องเบาเดินออกห่างจากบ่อน้ำตก ทุกย่างก้าวล้วนเต็มไปด้วยความระมัดระวังสุดขีด
เดินตีห่างจากออกไปในสภาพเปลือยกาย มาถึงตรงสะพานหินทางแคบ นางก็รีบสวมใส่เสื้อผ้าโดยเร็ว เร่งเร้าพลังปราณสุดขีดควบแน่นไปยังฝ่าเท้าทั้งสองข้างเพื่อใช้เกาะติดกับสะพานหินให้แน่น จะได้ไม่โซเซส่งเสียงดัง ทว่าทันทีที่ย่างเท้าก้าวแรกออกไป พลันมีเสียงหนึ่งลั่นดัง ‘แกร๊ก’ ยกเท้าขึ้นมาดูก็พบกิ่งไม้แห้งกรอบที่หักครึ่งอยู่บนพื้น เสียงหักดังลั่นชัดแจ้งท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัด ทำเอาใจดวงนี้ของเซียถงบีบเกร็งแทบคลั่ง
ชั่วพริบตาต่อไป พลันสัมผัสได้ทันทีถึงขุมพลังชั่วร้ายอันแกร่งกล้าปราดพุ่งไล่ล่าเข้ามาติดๆ เศษหินเศษกรวดรอบข้างสารทิศสั่นกระเพื่อมไม่หยุดประดุจโดนคลื่นมรกตทะเลเขียวโซซัด หนึ่งชั่วความคิดโฉบแล่นสู่ห้วงสมองเซียถง เย่หลีเทียนกำลังไล่ล่านางมาทางนี้ โดยไม่แม้แต่เหลียวมองใดๆ คู่เท้าเปล่งแสงประกายครามเข้มสุดกู๋ นางออกวิ่งไปทันทีอย่างบ้าคลั่ง
“นายท่าน รีบหนีเร็ว!!”
เสี่ยวฮั่วร้องอุทานลั่นคล้อยหลังเพิ่งฟื้นสติกลับมา เซียถงได้ยินดังนั้น ยิ่งเร่งเร้าพลังลมปราณทั้งหมดทั่วกายา อัดฉีดลงไปยังสองคู่เท้า สับขาหนีตายปราดพุ่งไปข้างหน้าเสมือนสายอสนีลั่น
ด้านหลังของเซียถงปรากฏเป็นคลื่นพายุคลั่งโลหิตที่ไล่ล่าตามมาติดๆ ภายในนั้นจะสังเกตเห็นเป็นเงาร่างสีม่วงไสววูบวาบดั่งภูตผี ระยะห่างระหว่างทั้งสองเริ่มแคบลงเรื่อยๆ
“นายท่าน! มันตามมาทันแล้ว! เร็วกว่านี้!!”
เสี่ยวฮั่วตะโกนเสียงลือลั่นกึกก้องไปทั่วห้วงความคิดของเซียถง
ชั่วขณะอึดใจต่อไป บรรยากาศรอบข้างพลันสงบลงทันใด พายุโลหติก่อนหน้าสลายตัวหายไปโดยพลัน ปรากฏแค่เพียงคมกระบี่ยาวเล่มหนึ่งถูกวางพาดไว้บนคอของเซียถง สาดประกายสีเย็นแวววับแสดงให้เห็นว่ามันคมเพียงใด นางหยุดชะงักฝีเท้าแน่นิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อนใดๆ ต่อ ได้แต่เหลือบแลจับจ้องคมกระบี่ยาวบนคอทีท่าเงียบงัน ทว่าภายในใจสั่นระรัวตื่นตระหนกสุดขีด
“เมื่อครู่เจ้าเห็นอะไร?”
สุ้มเสียงเย็นชาเปล่งสะท้านดังขึ้นจากเบื้องหลัง ทำเอาเซียถงหัวใจบีบเกร็ง ในค่ำคืนนี้เย่หลีเทียนสามารถฆ่านางทิ้งได้ไม่ยาก หรือจะกล่าวได้ว่า ความเป็นตายของนางล้วนตกอยู่ในกำมือของอีกฝ่ายเสียแล้ว
“ข้างเพิ่งอาบน้ำในบ่อน้ำตกเสร็จ กำลังจะเดินทางกลับเท่านั้น มิได้เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น”
ถึงแม้ภายในใจของเซียถงจะตื่นตระหนักเพียงใด แต่น้ำเสียงที่เปล่งดังออกมาในยามนี้ก็ดูสุขุมนุ่มลึก สามารถเก็บอาการความระสับระส่ายไว้ภายในใจได้เป็นอย่างดี
ชั่วขณะอึดใจ เบื้องหลังของนางพลันปราศจากสุ้มเสียงใดตอบ มีแต่คาวมเงียบสงัดที่หลงเหลือ ซึ่งเป็นแบบนี้อยู่สักครู่หนึ่ง เย่หลีเทียนจึงค่อยปริปากเอ่ยขึ้นต่อว่า
“หันหน้ามา”
ได้ยินเฉกเช่นนี้ ในมุมมองของเซียถง นางคิดว่า รอยจุดด่างดำทั่วใบหน้าของตนในขณะนี้ล้วนถูกลบเลือนจนเกลี้ยงเกลาแล้ว และไม่มีทางที่เย่หลีเทียนจะสามารถจดจำใบหน้าของนางได้แน่นอน หากพึ่งพาอาศัยความงามถล่มเมืองของตน บางทีเซียถงอาจจะหนีรอดจากหายนะในครั้งนี้ไปได้ ทันทีที่คิดได้เช่นนั้น นางจึงค่อยๆ ปรายสายตาหันหน้าจับจ้องไปทางเย่หลีเทียนอย่างมีเสน่ห์หาน่าหลงใหล
ทันทีที่หญิงสาวตรงหน้าค่อยๆ เหลียวหลังหันกลับมา ดวงตาคู่ลึกล้ำของเย่หลีเทียนพลันสั่นไสวเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยลโฉมของนาง ก่อนจะเผยแววประหลาดใจออกมา
ในฐานะที่เป็นถึงอัครมหาเสนาบดีแห่งจักรวรรดิตงหลี่ เย่หลีเทียนเคยพบเจอกับสตรีงามผู้ทรงเสน่ห์มาทุกรูปแบบแล้ว แต่หญิงสาวที่อยู่ต่อหน้า ณ ขณะนี้ที่ส่งสายตาเย้ายวนมองมา กลับสร้างความประทับใจบางอย่างสลักจารึกไว้ในดวงใจของเขาได้สำเร็จจริงๆ ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าประหลาดใจอะไรเช่นนี้?
ต่อหน้าโฉมงามเบื้องหน้าของเขา กระทั่งแสงจันทราที่ว่างดงามยังต้องรู้สึกละอาย บุปผาที่ว่าสวยสดใสยังต้องสลดเหี่ยวเฉา และสิ่งที่ทำให้เย่หลีเทียนประหลาดใจที่สุดคือ ความสุขุมเย็นชาของนาง หากเป็นสาวงามคนอื่นๆ คงตื่นตระหนก หวาดกลัวจนตัวสั่นพูดไม่เป็นภาษาแล้ว แต่หญิงสาวนางนี้กลับยืนหยัดอย่างสง่าผ่าเผยทั้งที่มีคมกระบี่ยาวพาดจ่ออยู่บนคอ! สีหน้าการแสดงออกบนใบหน้าของนางช่างสงบนิ่ง ทั่วร่างเพรียวบางแทนที่จะสั่นเทาจนเกินควบคุม กลับเปล่งรัศมีไอเย็นยะเยือกออกมา ให้ความรู้สึกเด็ดเดี่ยวและมั่นคงจนน่าประหลาดใจโดยแท้ ราวกับว่าต่อให้มีระลอกพายุหรือคลื่นอุทกวารียักษ์ มันก็ไม่สามารถโค่นนางให้ร่วงลงไปได้
เย่หลีเทียนรู้สึกคุ้นเคยกับบรรยากาศและสัมผัสเช่นนี้มาก บุคลิกความไม่แยแสหรือกลัวตายต่อสิ่งใด…ไฉนดั่งว่าเขาเคยพบเจอคนแบบนี้ที่ไหน… เขาหรี่ตาหดแคบลง ฉาดฉายยิงใส่หญิงสาวตรงหน้าอย่างระแวดระวัง
ภายใต้สายตาคู่เย็นเยียบที่จับจ้องของเย่หลีเทียน ในใจดวงน้อยของเซียถงก็ค่อยๆ กู้คืนความสงบนิ่งกลับมาได้ และแผดขยายรัศมีแรงกดดันจากร่างกาย เข้าขับสู้ต่อกรอีกฝ่ายทีละเล็กละน้อย หนึ่งสายตาสีแดงฉาน ประสานงา หนึ่งสายตาคู่งาม ดั่งปรากฏคมมีดที่มองไม่เห็นเข้าพัลวันต่อสู้กันอย่างดุเดือด ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่ามาก เซียถงพยายามอย่างที่ดีที่สุดแล้วในการรับมือ
ทันใดนั้นเอง เย่หลีเทียนก็กยกมือข้างซ้ายขึ้นม ยืดเหยียดไปทางใบหน้าของนาง
นัยน์ตาเซียถงทวีความแข็งกร้าว ปลายคิ้วสั่นระริก หยาดเหงื่อเย็นผุดซึบทั่วทั้งหน้าผาก มุ่งสมาธิจิตสัมผัสทั้งหมดไปที่เรียวมือข้างดังนั้นที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ทุกที ใต้แขนเสื้อยาวสอดมีดสั้นกระชับจับเตรียมพร้อมไว้ที่มือขวา พร้อมแผดจิตสังหารขุมหนึ่งกระจายคลุมเคลือบทั่วบริเวณ เพิ่มความไวของประสาทสัมผัสเป็นเท่าทวี
ตราบเท่าที่อีกฝ่ายลงมือลงไม้ แม้เซียถงจะไม่แข็งแกร่งพอสำหรับฆ่ามัน แต่นางก็ขอสู้ตายไปข้างเช่นกัน
“นายท่าน อย่าได้ปะทะด้วยกำลังโดยเด็ดขาด หากแต่ต้องใช้มายาร้อยเล่มเกวียนเข้าสู้!”
เสี่ยวฮั่วกล่าวเตือนขึ้นอีกครั้งภายในห้วงความคิดของนาง มันในตอนนี้วิตกกังวลยิ่งยวด
คล้อยหลังได้ฟังคำตักเตือนจากปากเสี่ยวฮั่ว เซียถงพึงได้สติกลับมาในชั่วอึดใจ รีบเปลี่ยนแผนโดยไว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จำต้องหยิบนำความสวยและเสน่ห์เล่ห์กลมาใช้แทนจริงๆ
มือข้างนั้นของเย่หลีเทียนเคลื่อนเข้ามาใกล้แล้ว ขณะปลายนิ้วกำลังจะแตะสัมผัสบนใบหน้าของเซียถง จู่ๆ มือดังกล่าวกลับขยับขึ้นเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน เบี่ยงไปทางผมเผ้าสีดำสลวยบนศีรษะของนางแทน ใช้สองนิ้วคีบจับบางสิ่งอย่างขึ้นมาอย่างแผ่วเบา พอเก็บมือกลับออกมาก็พบว่าเป็น เศษเนื้อชิ้นน้อยๆ บนเรียวนิ้วทั้งสองของเขา
เซียถงลอบถอนหายใจโล่งอกอย่างลับๆ แต่ทันทีทันใด นางต้องถึงกับเบิกตาโพล่งกว้าง จับจ้องภาพฉากตรงหน้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อ