ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 113 ช่วยชีวิต
ตอนที่113 ช่วยชีวิต
ชั่วขณะเสี้ยวอึดใจเย่หลีเทียนพลันสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายเย็นวาบเสียดขึ้นจากแผ่นหลัง เซียถงใช้คมมีดสั้นในมือเสียบเข้ากลางแผ่นหลังมิดด้านสุดกู๋ สีหน้าการแสดงออกของอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เผยร่องรอยเจ็บปวดออกมา พริบตานั้นเอง เย่หลีเทียนระดมพลังลมปราณสีม่วงประกายขุมหนึ่งซัดฝ่ามือกระแทกปัดโต้ตอบ
เซียถงถูกคลื่นพลังลมปราณเหล่านั้นกวาดล้างดีดกระเด็นออกไปในทันใด คู่เท้าพยายามพยุงยืนหยัดหวังลดทอนแรงกระแทก ก่อนที่สุดท้ายจะล้มตัวร่วงลงหมอบติดกับพื้น อาศัยพลังแห่งโอสถเพื่อโกงความตาย ก่อนที่คลื่นลมปราณสีม่วงประกายจากฝ่ามือของเย่หลีเทียนจะกระทบถึงตัว ชั่วอึดใจดังกล่าว นางรีบตบโอสถเม็ดหนึ่งเข้าปาก หลอมสร้างปราการด่านพลังป้องกันชั้นหนาห่อหุ้มร่างกาย และอวัยวะภายในรวมไปถึงจุดสำคัญอย่างหัวใจ นางก็ได้รับการปกป้องดูแลจากฤทธิ์โอสถ ดูดซับความเสียหายไปได้หลายส่วน ถึงแม้อาการบาดเจ็บภายนอกจะดูค่อนข้างสาหัส แต่ภายในกลับมิได้รับผลกระทบอันใดร้ายแรง
หนึ่งกระบวนลอบโจมตีเมื่อครู่จากด้านหลัง เซียถงสำแดงใช้วรยุทธ์ต่อสู้เข้าหลอมรวมผสมเข้ากับกระบวนนักฆ่าที่ถนัดหน่วง และนางก็มิได้หวังผลเช่นกันว่า การลอบโจมตีครั้งนี้จะสร้างบาดแผลสาหัสสากรรจ์แก่เย่หลีเทียน ทั้งหมดทำไปเพียงเพื่อเปิดช่องว่าง และฉวยจังหวะนี้เร่งหลบหนีออกไป
จุดมุ่งหมายที่ลงมือเป็นประจักษ์ชัดแจ้ง เซียถงหยุดทุกกระบวนการต่อสู้ในบัดดล ระดมพลังลมปราณขุมใหญ่อัดฉีดไปยังเท้าทั้งสองข้าง พร้อมกระโจนเข้าป่ารกร้างข้างทางและตีฝีเท้าวิ่งหนีตายอีกครั้ง ซึ่งในคราวนี้ก็ทำให้เย่หลีเทียนเริ่มหงุดหงิดอารมณ์เสียแล้วจริงๆ เฝ้ามองร่างอรชรที่กำลังวิ่งหนีตายออกไป สีหน้าของเขาพลันมืดทมิฬลงต่อเนื่อง เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ตัวเขากลับหลงกลนางถึงสองคราติดกันจริงๆ!
หากวันนี้ข้ามิอาจฉีกกระชากร่างของหญิงสาวนางนี้ให้เป็นชิ้นๆ ได้ เกรงว่ายากเย็นแล้วที่จะชำระความเกลียดชังนี้ภายในใจได้!
รัศมีแรงกดดันหลากระลอกแผ่ซ่านสาดกระจายไพศาล แทบจะในทันทีทันใด พลันบังเกิดคลื่นลมพายุคลั่งโหมกระหน่ำถาโถมเข้าใส่เซียถงจากทั่วทุกสารทิศ
เซียถงถูกคลื่นลมพายุคลั่งห้อมล้อม ควงโคจรหมุนติ้วเกินกว่าจะฝ่าออกไปได้ด้วยมือเปล่า ทุกระลอกที่พัดผ่านเข้ากระทบใบหน้าของนางช่างแหลมคมเสมือนใบมีดนับพันหมื่น หากยังคงนิ่งดูดายเช่นนี้เกรงว่าต้องตายแน่นอน นางปลุกกระตุ้นจุดไฟ เร่งเร้ารัศมีลมปราณสีครามเข้มข้นจนลุกโชติช่วงถึงขีดสุดอีกครั้ง หวังเข้าฟันฝ่าพายุคลั่งเหล่านี้ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีของตน กระโจนพุ่งขึ้นท้าชนกับเบื้องหน้าโดยตรง ทนรับแรงกระแทกคลื่นพายุคลั่งลูกแล้วลูกเล่า
เย่หลีเทียนเฝ้ามองร่างบางที่กำลังดิ้นรนฟันฝ่าท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำดุร้าย คมแสงประกายเย็นเสียดสะท้อนออกมาจากมือข้างขวาของเขา ปรากฏเป็นคมกระบี่ยาวเคลือบปราณสีม่วงจรัสสว่างสดใส เข้ากระชับจับด้ามกระบี่ไว้แน่นหนา สีหน้าแววตายังคงบูดบึ้งไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ทั่วร่างกายาเปล่งรัศมีสีม่วงแพรวพราววิบวับ แปรผันกลายเป็นเงาไสวสายหนึ่ง พุ่งโฉบเข้าหาเซียถงอย่างรวดเร็ว
เซียถงย่อมตระหนักดีถึงภัยอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา พอหันศีรษะเข้าปะทะ นางก็เห็นเย่หลีเทียนเข้าสัประยุทธ์จู่โจมพร้อมคมกระบี่เล่มยาวในมือ ทุกหนแห่งที่เงาไสวประกายสีม่วงสายหนึ่งพุ่งผ่าน ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ใบหญ้าหรือโขกหินดินทราย ทั้งหมดทั้งมวลล้วนถูกคลื่นพลังสุดแกร่งกร้าวของเขาเผาไหม้บาดเป็นรอยลึก
ต่อหน้าปรมาจารย์แห่งขอบเขตราชันย์ม่วง นางอ่อนแอไร้ซึ่งพละกำลังโดยสิ้นเชิง!
นางอดตื่นตระหนกตกใจมิได้ เงามืดแห่งความสิ้นหวังคืบคลานเข้าปกคลุมจากก้นบึ้งของหัวใจ คลื่นพลังงานคมกระบี่ยาวเล่มนั้น ยังไม่ทันลุมาถึงก็สามารถฉีกเนื้อหนังทั่วแขนขาจนปริแตกเลือดซิบออกมาได้แล้ว หากถูกแทงทะลวงร่างกายคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ชั่วพริบตาขณะ มีเหงื่อนเย็นเปียกชุ่มไปทั่วตัว รูปโฉมใบหน้าที่แสนงดดงามยามนี้ซีดเซียวหนักราวกับแผ่นกระดาษ
ในแววตาแห่งความสิ้นหวัง เงาร่างของไป๋หลี่เย่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ต่อหน้า ได้แต่จับจ้องคมกระบี่ยาวที่พุ่งเข้าหาแผ่นอก เสมือนใจดวงนี้ของเซียถงถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน สำหรับหายนะในคราวนี้ มันเกินกว่าความสามารถของนางที่จะรับมือได้ไหวแล้วจริงๆ
‘เกร้ง!’
คมกระบี่อีกเล่มจากใครมิทราบเข้าปิดกั้นขวางหน้าของเซียถงเอาไว้ได้ทันท่วงที สกัดคลื่นลมปราณสีม่วงประกายได้โดยสมบูรณ์ สองคมกระบี่เข้าประสานงานชนกันอย่างเดือดดุ ก่อเกิดประกายไฟวูบวาบสาดกระเซ็นไปทั่วทุกทิศ จากนัยน์ตาคู่ดำไหม้เสมือนเถ้าถ่านของเซียถง ยามนี้ได้เปลี่ยนกลายมาเป็นสดใสมีชีวิตวีวาอีกครั้ง จากนั้นเองนางก็พลันรู้สึกได้ถึง ฝ่ามือขนาดใหญ่ที่กำลังโอบอุ้มเอวบางของนางอยู่ จับกระชับกอดไว้แน่นราวกับกลัวว่านางจะหลุดมือหายไปไหนอีก
เซียถงเหลือบสายตามองไปที่ตรงหน้าเจือแววประหลาดใจ และทันใดนั้นก็ปรากฏเป็นชายสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆาที่แสนคุ้นเคยสะท้อนผ่านเข้ามาในแววตาคู่สวย เป็นชายคนนั้นที่ช่วยล้อมจับสัตว์อสูรปราณวิญญาณด้วยกันในคืนนั้น และในวันนี้ เขามาในชุดทรงคอจีนโบราณ ขนาดใหญ่กว่าตัวดูเคลื่อนไหวสะดวกสบาย ชายผู้นี้สวมควรแล้วที่ปรากฏตัวมาคู่กับแสงจันทรา เพราะมันช่างเป็นภาพฉากที่หล่อเหลาและดูทรงบารมียิ่งยวด
ชายคนนั้นกระชับจับกระบี่เล่มสีเงินเอาไว้แน่นด้วยมือขวา โอบเอวของเซียถงกอดไว้แน่นโดยมือซ้าย สายตาสีดำขลับประดุจหยกดำบริสุทธิ์เปล่งแสงระยิบระยับผ่านช่องหน้ากาก พันธนาจับจ้องไปที่เย่หลีเทียนไว้แน่นขนาด
เย่หลีเทียนเองก็จ้องเขม็งไม่ว่างตาเช่นกัน และยามนี้สีหน้าท่าทางยิ่งทวีความมืดหม่นเย็นชา
สองคู่สายตาปะทะชนกลางอากาศดั่งคมเส้นตัดแบ่งฟ้าดิน เซียถงแทบจะได้เห็นคลื่นเหมันต์ยิงออกมาจากดวงตาของพวกเขาทั้งคู่ พุ่งประสานงากันจนกลายเป็นก้อนน้ำแข็งยักษ์ ณ ใจกลางระหว่างทั้งสอง บังเกิดระลอกความเย็นยะเยือกที่แผ่กระจายไปทั่วบริเวณเป็นวงกว้าง ทำเอาอุณหภูมิโดยรอบลดต่ำลงฮวบฮาบ ราวกับต้องการแช่สรรพสิ่งอย่างให้กลายเป็นน้ำแข็ง
ในชั่วพริบตาเดียว ผืนพิภพเงียบสงัด มีเพียงร่างทั้งสองเท่านั้นที่ยืนตระหง่านสบตากันและกันโดยไม่พูดไม่จาใดๆ ใจกลางที่คั่นกลางระหว่างสองฝ่าย บริเวณแวดล้อมดั่งเหี่ยวเฉาจากคลื่นรัศมีแรงกดดันที่แผ่ซ่านปะทะชนกัน
โดยสัญชาตญาณดิบ เซียถงค่อยๆ แกะมือไม้ของชายสวมหน้ากากคลื่นลายเมฆาออกจากเอวตนเอง ย่องเท้าเดินไปหลบด้านหลังของอีกฝ่าย สุดท้ายเห็นว่ายังไม่น่าจะปลอดภัยต่อ จึงย้ายไปหลบในพุ่มไม้ด้านหลังอีกทีหนึ่ง
ปล่อยให้พวกปรมาจารย์ขอบเขตราชันย์ม่วงสัประยุทธ์สู้กันเองเป็นดีที่สุด สำหรับตัวนางแล้วคงได้แต่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ เท่านั้น กับแค่ลมพายุที่ทางฝ่ายเย่หลีเทียนสรรค์สร้างอย่างลวกๆ ก็ทำเอานางหืดขึ้นคอแล้ว เกรงว่าฝืนดึงดันฝืนประมือต่อไป คงมีแต่ตายกับตาย!
ศึกสัประยุทธ์ระหว่างปรมาจารย์ขอบเขตราชันย์ม่วง ฟังว่า เป็นการประชันเดชกันด้วยความแกร่งกล้าของพลังจิตวิญญาณ มันไม่จำเป็นจะต้องใช้มือไม้ลองเชิงให้เสียเวลา เพราะตราบใดที่จิตวิญญาณของใครสั่นคลอนเสียสมาธิก่อน
ผู้แพ้ชนระจะถูกตัดสินได้ในทันที
เศษดินเศษฝุ่นที่ฟุ้งตลบอบอวลก่อนหน้าเริ่มจางอ่อนลง เซียถงแลเห็นเย่หลีเทียนและชายสวมหน้ากากคนนั้นยังคงยืนนิ่งอยู่ที่ตำแหน่งเดิมของกันและกัน ทว่าสีหน้าการแสดงออกบนใบหน้าของเย่หลีเทียนชักจะปั้นยากขึ้นทุกที แววตาเริ่มสั่นคลอนไม่เป็นอันสงบ ซึ่งตรงกันข้ามกัน ชายสวมหน้ากากที่ยังดูปกติสุขดีปราศจากท่าทีวิตกใดๆ
เกรงว่าการประชันเดชกันด้วยแรงจิตสมาธิในครั้งนี้ ชายสวมหน้ากากเป็นฝ่ายชนะอย่างไม่ต้องสงสัย
เย่หลีเทียนจ้องไปยังชายสวมหน้ากากตาเขม็งเดือดดุ สีหน้าที่หม่นทมิฬอยู่เป็นทุนเดิม ยามนี้ยิ่งหม่นหมองมืดทมิฬลงเข้าไปใหญ่ ชั่วขณะอึดใจ เขาเบี่ยงสายตาเคลื่อนไปหาเซียถงที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในพุ้งหญ้าด้านหลัง สะบัดแขนเสื้อยาวอย่างแรงดูจะไม่พอใจอย่างยิ่ง ทั้งยังหมุนตัวจากออกไปทั้งที่โมโหขุ่นเคืองทั้งแบบนั้น
เห็นได้ชัดแจ้ง ชายทั้งสองคนนี้ค่อนข้างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และดูเหมือนจะเป็นศัตรูคู่บุญกันมานานแล้ว
เมื่อเห็นว่าเย่หลีเทียนลาลับจากออกไปไกลโพ้นแล้ว เซียถงก็เผยปรากฏตัวขึ้น เดินออกจาพุ่มไม้ด้านหลัง ตรงเข้ามามองชายลึกลับสวมหน้ากากผู้นี้ อีกฝ่ายเองก็เฉกเช่นกัน พอหันหน้าเหลียวกลับมา เขาก็พลันเบิกตากว้างฉายแววประหลาดใจออกมาเกินจะหักห้าม สายตาคู่คมหยุดนิ่งอยู่บนใบหน้าของเซียถงทั้งแบบนั้น แม้ทั่วทั้งใบหน้าของนางจะเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงสด ทว่าก็มิอาจปกปิดความงามถล่มเมืองเอาไว้ได้เลย
เขามองเซียถงอยู่สักครู่ใหญ่ ประกายตาทที่ส่องสว่างออกมามีแต่ร่องรอยความตื่นตระหนกปนตกใจโดยทั้งสิ้น ทำเอาเซียถงตื่นตกใจไปด้วย รีบยกมือขึ้นสัมผัสบนใบหน้าสวยของตน พลางคิดกับตัวเองในใจว่า เวลานี้บนใบหน้าปราศจากรอยจุดด่างดำที่เคยทาไปแล้ว อีกฝ่ายไม่น่าจะจดจำตัวนางได้กระมัง?
ขณะที่นางกำลังคาดคะเนกับตัวอยู่ภายในใจ จู่ๆ ชายลึกลับสวมหน้ากากคนนั้นก็ก้าวตรงเข้ามา คว้าข้อมือขาวผ่องของเซียถงเอาไว้ หันศีรษะเบี่ยงตัวออกไปข้างหน้าและจูงมือนางเดินออกไปโดยไม่ปริปากกล่าวอะไรใดๆ