ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 116 ตะลึง
ตอนที่116 ตะลึง
“ใช้ความงามที่มีให้เป็นประโยชน์ นายท่าน เชื่อข้าเถอะ มารยาเสน่ห์ร้อยเล่มเกวียนของท่านมีประโยชน์จริงๆ โปรดหยิบใช้สิ่งนี้หลอกล่อให้อีกฝ่ายมาเป็นมิตร”
เสี่ยวฮั่วกล่าวน้ำเสียงจริงจัง
เซียถงสีหน้าหมองคล้ำลงทันใด ใจหนึ่งชักจะสงสัยในตัวตนของเสี่ยวฮั่วแล้วเช่นกันว่า มันเป็นเพียงจิตวิญญาณของสัตว์เทพอสูรบรรพกาลจริงๆ ใช่หรือไม่? แล้วไฉนในหัวของมันถึงมีแต่แผนการชั่วร้ายเลี้ยวรดคตเคี้ยวอยู่เต็มไปหมด?
“นายท่าน กายเนื้อของข้าเองก็ใกล้จะฟื้นคืนขึ้นมาเต็มทนแล้ว ต้องการกลืนกินสัตว์อสูรปราณวิญญาณอีกสักตน อาศัยแค่พลังฝีมือของท่านยามนี้ เกรงว่ามิอาจสามารถล่าจับสัตว์อสูรปราณวิญญาณแค่ลำพังได้ แต่หากเป็นชายผู้นั้นกลับมีความสามารถดังกล่าว ท่านต้องทำทุกวิถีทางให้อีกฝ่ายยอมร่วมมือกับท่านให้จงได้”
พอทุกอย่างกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ เซียถงได้แต่พยักหน้าตอบเพียงว่า
“เข้าใจแล้ว ข้าจะลองหาวิธีล่าจับสัตว์อสูรปราณวิญญาณดู”
เซียถงหย่อนตัวเอนกาย แช่ร่างในอ่างไม้สมุนไพรนานาชนิดจวบจนบ่ายของวันถัดไป เว้นเสียแค่บาดแผลทางยาวบนเนินหน้าอก ที่ยังคงทิ้งทวนเป็นรอยแผลเป็นสีน้ำตาลแดงจางๆ ส่วนที่เหลือล้วนหายดีเป็นปลิดทิ้งไร้ร่องรอย
นางเดินออกจากห้องอาบน้ำพร้อมผ้าคลุมผืนน้อย เปลี่ยนชุดแพรพรรณใหม่สะอาดเอี่ยม และเดินเล่นรอบๆ สถานศึกษาเซิงหลิงอยู่สักครู่ใหญ่ แสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ทอแสงส่องลงมากระทบบนร่างกายของเซียถง ให้สัมผัสรู้สึกอบอุ่นยิ่งแล้ว นางก้าวแช่มเดินเล่นอย่างสบายอารมณ์ บ่ายวันนี้เป็นคาบเรียนวิชากลยุทธ์ แต่เวลานี้นางสายมากแล้ว สรุปสุดท้ายจึงตัดสินใจไม่เข้าเรียน เพราะไม่ต้องการจะไปเผชิญหน้ากับแม่ทัพจางเจิ้งกั๋ว ที่มักจะสร้างปัญหาทำเรื่องยากๆ แก่นาง ยิ่งไปกว่านั้น คราวนี้นางมาสายมาก เกรงว่าจะยิ่งเข้าทางอีกฝ่ายแน่นอน
เดินมาหยุดพักอยู่ใต้ต้นบุปผายักษ์แห่งหนึ่ง พลางครุ่นพินิจนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืนที่พ้นผ่าน ชั่งใจอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนที่สุดท้าย เซียถงจะตัดสินใจบุกเข้าสำรวจบ่อน้ำตกอันใสสิสุทธิ์แห่งนั้นอีกครั้งหนึ่ง เสี่ยวฮั่วเคยกล่าวไว้ว่า ด้านล่างบริเวณก้นบ่อน้ำมีของวิเศษอยู่ ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นสิ่งใด แต่หากเป็นประเภทยุทธ์ภัณฑ์อาวุธจะเป็นเรื่องดีมาก เพราะในปัจจุบัน สิ่งที่นางจขาดแคลนอยู่คืออาวุธ ส่วนกระบี่เล่มนั้นของเซี่ยหลู่เฟิงก็ถูกทำลายหักสองท่อนคามือตั้งแต่ตอนงานประลอง ดังนั้น นางจึงต้องการกระบี่หรืออาวุธดีๆ สักชิ้น ส่วนจะใช้คืนให้เซี่ยหลู่เฟิงแทนที่กระบี่เล่มที่ทำหักไปหรือไม่ อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับชนิดอาวุธอีกที
ขณะที่กำลังยืนนิ งครุ่นพินิจอยู่นั้นเอง จู่ๆ ก็นางก็สังเกตเห็นเงาร่างหนึ่งสะท้อนลงมาจากบนพื้น ทันทีที่เงยหน้ามองติดตามขึ้นไป ก็พบว่าเป็นเย่หลีเทียนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าไม่ห่าง จ้องตาเขม็งปรายแววไสวเล็กน้อย
หรือเป็นไปได้ไหมว่า…หมอนี่จะจดจำนางได้ และจะย้อนกลับมาเพื่อแก้แค้นเอาคืน? ชั่วอึดใจที่ความคิดนี้ผุดปรากฏ พลันมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นซึมซาบอยู่ทั่วทั้งแผ่นหลังของเซียถง เลื่อนคมมีดสั้นออกมาจากใต้แขนเสื้อเผื่อเอาไว้ป้องกันตัวในยามฉุกเฉินทันที ทั่วอณูร่างกายาตื่นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แผดรัศมีจิตสังหารที่มองไม่เห็นพุ่งกระจายโดยรอบตัวนาง
เย่หลีเทียนหมุ่นคิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย จับจ้องมองมาทางเซียถง เผยแสดงแววเศร้าสร้อยแฝงไว้ในดวงตาอยู่หนึ่งส่วน ยิ้มบางเอ่ยถามขึ้นว่า
“ไฉนคุณหนูเซียถึงมีสีหน้าเศร้าโศกเช่นนั้นกัน?”
พอเห็นว่าเย่หลีเทียนมิได้มาที่นี่เพราะจดจำนางได้หรือแกแค้นใดๆ เซียถงเพียงส่ายหน้ายิ้มตอบกลับเป็นมารยาทคำหนึ่ง ลอบสูดหายใจเย็นแช่มลึกสุดขั้วปอด จากนั้นก็หมุนตัวเตรียมจากออกไปโดยทันที
“คุณหนูเซีย ข้าได้รับสั่งมาจากฝ่าบาทให้ถามว่า เจ้าไปนำโอสถฟื้นชีพที่มอบให้แก่องค์รัชทยาทกินมาจากไหน?”
พอเห็นว่าเซียถงกำลังจะตีตัวออกห่าง เย่หลีเทียนก็เอ่ยปากห้ามปรามหยุดเอาไว้ พร้อมเอื้อมมือไปคว้าหัวไหล่บางของนางอย่างแรง
กระบวนจับในครานี้ค่อนข้างรวดเร็วและรุนแรงมาก จนทำเอาเซียถงรู้สึกราวกับว่า บริเวณหัวไหล่ข้างขวาที่โดนจับถูกกดทับด้วยของหนักกว่าร้อยตัน ส่งผลให้นางไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายไปไหนได้ชั่วขณะหนึ่ง นางกัดฟันกรอดกลั้นใจชักมีดสั้นในมือขึ้นแทงแขนอีกฝ่ายโดยตรง
มองดูคมมีดสั้นที่พุ่งพรวดเข้าแทงตนด้วยความเร็วสูงประดุจฟ้าแลบ ดวงตาคู่นั้นของเย่หลีเทียนพลันหรี่แคบลงเล็กน้อย ภายในใจฉายแววสงสัยขึ้นทันควัน ไฉนมีดสั้นในมือของเซียถงถึงมีรูปร่างคล้ายกับมีดสั้นของสาวงามที่เจอเมื่อคืนเหลือเกิน? ชั่วพริบตาต่อมา เย่หลีเทียนเลี่ยงหลบมีดสั้นของเซียถงได้อย่างไม่ยากเย็น คว้าชายเสื้อกระชากอย่างแรง หวังจะฉุดรั้งร่างอรชรของอีกฝ่ายเข้ามาโดยพลัน
เซียถงออกแรงต้านเอาไว ส่งผลให้ชายเสื้อฉีกขาดลากยาวออกเป็นแถบเกือบครึ่งต่อครึ่งตัว เผยให้เห็นเรียวแขนยาวสีขาวผ่อง เย่หลีเทียนเผยประกายสายตาหยุดนิ่งบนครึ่งร่างที่เปลือยเปล่า สรีระร่างกายของหญิงสาวนางนี้ทั้งเรียบเนียนและขาวกระจ่างใสประดุจหิมะอย่างแท้จริง และที่สำคัญที่สุด ยังปราศจากรอยแผลใดๆ อย่างที่เขาจินตนาการคิดไว้ หากพินิจจับจ้องให้จงดี ยังจะเห็นขอบชุดชั้นในสีแดงเหลือบมุมออกมาเล็กน้อย เส้นเชือกสีแดงตัดไปเอวเพรียวบางสีขาวนวล ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเพลิดเพลินสายตายิ่งนัก
ทันใดนั้นเอง ดวงตาคู่นั้นของเขาก็ฉายแววละโมบขึ้นมาทันใด
“เพี้ยะ!”
เสียงตบหน้าดังสนั่นลั่น เซียถงหวดหลังมือใส่แก้มของเย่หลีเทียนโดยไม่มีเกรงใจ ขมวดคิ้วจ้องตาอีกฝ่ายเขม็งเผยแววดุร้ายออกมา ใช้มือทั้งสองข้างโอบรวบเสื้อผ้าที่กองหล่นหลุดลุ่ยไว้แน่น และวิ่งหนีออกไปจากบริเวณนั้นพร้อมตะโกนโหวกเหวกโวยวายเสียงดังต่อเนื่องว่า
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! มีคนจะข่มขืนข้า!!”
กล้าฉีกเสื้อผ้ากันขนาดนี้ ยังจะอยู่ทำไมให้โง่!
พอได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากปากของเซียถง เย่หลีเทียนมิได้แสดงท่าทีหงุดหงิดหรือตื่นตกใจใดๆ ทว่าเขากลับยกเศษชุดเสื้อผ้าที่หลุดติดมือขึ้นมาดมอยู่หลายที พลางเคลื่อนสายตาจับจ้องร่างเปลือยครึ่งซีกของเซียถงที่กำลังวิ่งตะโกนโห่ร้องอย่างบ้าคลั่ง
นี่นางต้องการเล่นกลเล่นแง่อันใด? นี่ไม่ต่างอะไรไปจากการสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูมัวหมองเลยมิใช่รึ? ทุกคนในสถานศึกษาแห่งนี้ต่างพึงทราบกันดี หญิงสาวที่ชื่อเซียถงมีใบหน้าอัปลักษณ์เพียงใด ดังนั้นแล้ว สำหรับหญิงสาวผู้มีใบหน้าน่าเกลียด สวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยมาวิ่งตะโกนโหวกเหวกโวยวายเช่นนี้ ใครบ้างจะสนใจยื่นมือเข้าช่วยเหลือ มิหนำซ้ำ เสื้อผ้ายังขาดลึกจนเผยให้เห็นชุดชั้นในอีก…
“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!!”
เซียถงยังคงกรีดร้องลั่นอย่างต่อเนื่อง น้ำเสียงฟังดูโศกเศร้าและหวาดผวาขวัญเสียอย่างยิ่ง แต่แล้วก็มีเงาของใครบางคนตรงเข้ามาหาตัวนาง
“เซียถง เกิดอะไรขึ้น? ใครกันที่เป็นคนฉีกเสื้อผ้าของเจ้า?!”
หยุนซีรีบวิ่งออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าเซียถง กวาดสายตามองชุดเสื้อผ้าที่ขาดลุ่ยบนร่างกาย เผยส่วนโค้งเว้าและผิวสีขาวผ่องประจักษ์ต่อสายตา ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันไม่ควรจะถูกเปิดเผยให้สาธารณะได้เห็นเลย เงยศีรษะขึ้นจับจ้องใบหน้าของเซียถงที่ยามนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา หยุนซีถึงกับเลิกคิ้วกระตุกวูบในทันใด รัศมีกลิ่นอายจิตสังหารขุมใหญ่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของอาจารย์สาว กวาดสายตาเย็นชาสาดใส่ไปทั่วสารทิศ เปล่งเสียงคำรามดังกึกก้องด้วยความโกรธจัดขึ้นว่า
“เป็นฝีมือของสุนัขที่ไหน!? แสดงตัวออกมา!”
ทุกคนโดยรอบต่างหยุดมองไปที่หยุนซีที่กำลังเดือดดาลสุดขีด ก่อนรีบเร่งจะส่ายหัวตอบโดยไว เพื่อแสดงให้เห็นว่า มิใช่ฝีมือของพวกเขา
“ท่านอาจารย์! เป็นฝีมือของชายคนนั้น!”
เซียถงคว้าแขนหยุนซีเข้ามากอด พร้อมชี้นิ้วไปที่เย่หลีเทียนที่อยู่นอกฝูงชนที่มุงดูทั้งน้ำตา
“เจ้าออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้! แม่จะสั่งสอนให้…”
หยุนซียกมือเท้าสะเอว เปิดฉากด่ากราดโดยไม่ทันมองด้วยซ้ำ แต่ทันทีที่เหลียวหน้ามองไปที่เย่หลีเทียน นางถึงกับหน้าสั่นไปชั่วขณะ คำด่าที่พ่นสาดออกจากฝีปากอันคมกริบพลันหยุดชะงักแทบไม่ทัน หันขวับกลับไปทางเซียถง กระแอมไอไปทีหนึ่งพร้อมเอ่ยถามขึ้นว่า
“เจ้าหมายถึงอัครมหาเสนาบดีเย่? นี่พวกเจ้าสองคนเข้าใจอะไรผิดกันหรือเปล่า?”