ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 119 แผนต่ำทรามของไป๋หลี่เย่ (1)
ตอนที่119 แผนต่ำทรามของไป๋หลี่เย่ (1)
ไป๋หลี่หานจ้องหน้านางเขม็งไม่เสื่อมคลายแต่ก็มิได้กล่าวอะไร ดวงเนตรลึกล้ำไร้ก้นบ่อพราวแสงระยิบ เฝ้ามองเซียถงหญิงสาวผู้ยืนตระหง่านเบื้องหน้าด้วยความภาคภูมิ เผชิญหน้าสบสายตากันและกัน ต่างฝ่ายต่างเย็นชาใส่ หลังจากนั้นไม่นาน ค่อยเปนฝ่ายของไป๋หลี่หานที่สะบัดแขนเสื้อยาวและหมุนตัวจากออกไปพร้อมกับโม่ซวน
“นายท่านจะใจเด็ดเกินไปแล้ว เสื้อผ้าขาดลุ่ยจนเห็นขอบชุดชั้นในอยู่แท้ๆ แต่ยังกล้าแหกปากโวยวาย วิ่งล่อนจ้อนด้วยสภาพเช่นนี้จริงๆ!”
เสี่ยวฮั่วส่งเสียงผ่านห้วงความคิดของเซียถง ในระหว่างที่นางกลับเขาหอพักมาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่
“จะเรียกล่อนจ้อนคงไม่ถูกสักทีเดียว ข้าเปลือยแค่ครึ่งตัวเท่านั้น มิใช่ขาดยันกางเกงในเสื้อหน่อย?”
เซียถงเลือกที่จะเอ่ยปากแก้ตัว มิใช่ยอมรับในสิ่งที่กระทำ แต่จะโทษว่านางผิดก็มิได้เช่นกัน เพราะในยุคสมัยที่นางจากมา ใครๆ ต่างก็ใส่ชุดสายเดี่ยวบิกินี่เดินเที่ยวเล่นน้ำกันทั้งนั้น แค่ยังเหลือเศษผ้าปิดส่วนสำคัญเล็กๆ น้อยๆ ก็นับว่าใช้ได้แล้ว
“ตามจารีตประเพณีของที่นี่ หากชายใดเห็นร่างกายบริสุทธิ์ของหญิงสาว ชายคนนั้นจะถูกบังคับให้แต่งงานทันที หากเย่หลีเทียนรู้ว่า ท่านคือสตรีงามคนเมื่อวานนี้ เดาได้ว่า อีกฝ่ายคงรีบจ้ำอ้าวไปที่จวนเสนาบดีเซี่ย เพื่อขอท่านแต่งงานทันที!”
เสี่ยวฮั่วกล่าว
เซียถงนึกถึงสายตาคู่มืดทมิฬของเย่หลีเทียน พลันส่ายหัวระรัวโดยไว อย่างไรก็ตามแต่ ในวันนี้มีผู้ชายตั้งหลายคนที่เห็นนางอยู่ในสภาพเปลือยครึ่งท่อน ดังนั้นกฎที่ว่าก็ไม่สามารถใช้ได้เช่นกัน
“คุณหนู ไฉนจู่ๆ ก็ส่ายหัวสั่ระรัวเลยเจ้าค่ะ? มีเรื่องกลุ้มใจอันใดหรือไม่?”
พอเหลือบไปเห็นเซียถงส่ายหน้าสะบัดหัวอย่างแรงโดยไม่มีเหตุผล อิ๋งเอ๋อร์ที่นั่งพับผ้าอยู่เคียงข้างก็เอ่ยถามทันที เจือสีหน้าฉงนงงุนงง
“ไม่มีอะไร”
หลังจากแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่เสร็จสรรพ เซียถพลันหันไปเอ่ยถามกับอิ๋งเอ๋อร์ต่อว่า
“หากชายใดบังเอิญมาให้หญิงสาวในสภาพเปลือยกาย ชายหญิงคู่นั้นจะถูกบังคับแต่งงานทันทีเลยงั้นรึ?”
“คุณหนู…ชายใดเห็นท่านเปลือยรึเจ้าค่ะ?”
อิ๋งเอ๋ร์กระชับกอดเสื้อผ้าชุดเก่าที่เซียถงเพิ่งถอดออกไว้แน่นในอ้อมอก เผยท่าทีประหม่าดูวิตกกังวลอย่างยิ่ง ก่อนจะเอ่ยปากถามออกมา สีหน้าของนางในขณะนี้ดูตึงเครียดเป็นอย่างมาก ราวกับวันพรุ่งนี้ฟาจะถล่มลงมาก็มิปาน
“เปล่า ข้าแค่ถาม”
เซียถงเองก็ตกใจเช่นกันที่เห็นปฏิกิริยาการแสดงออกเช่นนั้นของอิ๋งเอ๋อร์ จึงรีบปฏิเสธเป็นคำตอบในทันใด หากอีกฝ่ายรู้ว่า เมื่อสักครู่นางเพิ่งไปวิ่งแหกปากลั่นรอบสถานศึกษาทั้งในสภาพเปลือยครึ่งท่อน มีหวังเป็นลมล้มพับแน่นอน
“นายท่าน จะอย่างไรโปรดระวังเย่หลีเทียนให้ดีในอนาคต อย่าให้อีกฝ่ายเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของท่านเด็ดขาด ข้ากลัวว่า มันจะใช้ข้ออ้างในวันนี้เพื่อบังคับท่านแต่งงาน!”
เสี่ยวฮั่วกล่าวเตือนทันทีด้วยความเป็นห่วง
เมื่อวาน ข้าเองก็ยังเห็นมันเปลือยกายอาบน้ำอยู่เลย พอมาวันนี้ให้มันเห็นข้าในสภาพเปลือยครึ่งงท่อนก็ถือว่าเจ๊าเสียแล้วกัน และต่อให้มันอยากจะแต่งงานกับนางจริงๆ มันก็พิจารณาด้วยเช่นกันว่า ตัวนางนั้นเต็มใจหรือไม่?
แต่ตอนนี้หาใช่เวลามาคิดเรื่องราวไร้สาระ ทั้งนี้เองนางก็คร้านใจเกินกว่าจะเก็บมาครุ่นคิดเช่นกัน แต่งตัวเสร็จสรรพ เซียถงก็พาอิ๋งเอ๋อร์กลับไปยังจวนเสนาบดีเซี่ย และมอบพญากัญชาเทศให้กับมือของท่านแม่ นั่งสนทนาพูดคุยกันเป็นเวลาเนิ่นนาน กว่าจะรู้ตัวอีกทีท้องฟ้าก็มืดค่ำลงเสียแล้ว ส่วนเซียถงเองก็ขี้เกียจเกินกว่าจะเดินทางกลับสถานศึกษาเซิงหลิงแล้วเช่นกัน ดังนั้นจึงตัดสินใจนอนค้างแรมในจวนเสนาบดีเซี่ยเสียเลย
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
หลังจากที่เซียถงทำความสะอาดเรือนพักเรียบร้อยเตรียมตัวจะกลับไปที่สถานศึกษาเซิงหลิง ทันทีทันใด ก็พลันเหลือบไปเห็นอิ๋งเอ๋อร์วิ่งหน้าตั้งมาแต่ไกล สีหน้าดูตื่นตระหนกสุดขีด ตรงมาถึงก็รีบเร่งเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างร้อนใจว่า
“คุณหนู ฝ่าบาทมีคำสั่งเรียกท่านไปเขาเฝ้าด่วนในพระราชวังหลัก”
เซียถงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ภายในใจครุ่นคิดไปว่า เหตุผลหลักที่ฝ่าบาทเรียกนางไปพบถึงที่หมาย ร้อยทั้งร้อยน่าจะเกี่ยวพันกับเรื่องโอสถฟื้นชีพ คล้อยหลังครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ นางก็เดินเข้าไปในโถงหลัก ณ จวนเสนาบดีเซี่ย พอมาถึงก็พบเจอกับเซี่ยอี้เฉิงที่กำลังนั่งดื่มชาอยู่กับขันทีในวังหลวง
พอเห็น้เซียถงเดินทางมาถึง ขันทีก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพ กล่าวบัญชาน้ำเสียงสูงส่งถ้อยคำสุภาพยิ่งว่า
“เมื่อคืนวาน ฝ่าบาทมีพระราชบัญชาให้คุณหนูเซียเข้าเฝ้าที่วังหลวง แต่พอส่งคนไปรับในสถานศึกษาเซิงหลิงกลับไม่พบ วันนี้บ่าวจึงเดินทางมารับคุณหนูเซียเป็นกาส่วนตัวเพื่อเข้าเฝ้า และหวังว่าคุณหนูเซียจะไม่หนีหน้าหายไปไหนอีก!”
“สมาชิกครอบครัวของข้าแต่ละคนเปรียบเสมือนสายลมคงมิผิด จะไปหรือมาขนาดดคนเป็นพ่ออย่างข้าเองก็ยังไม่ทราบเรื่องทราบราว กงกงโปรดอภัย ส่วนเรื่องบุตรชายข้า….กงกงมีหนทางช่วยเหลือหรือไม่?”
เซี่ยอี้เฉิงรีบยัดถุงเหรียญทองจำนวนหนึ่งใส่มือของขันทีวังหลวงคนนั้นโดยไว พร้อมรอยยิ้มแย้มบนใบหน้าไม่คลายอ่อน
ขันทีแสร้งทำเป็นปฏิเสธเป็นพิธีก่อนจะรับถังเหรียญทองดังกล่าวเก็บเข้าไปใต้แขนเสื้อ
ซึ่งภาพฉากนี้ได้สร้างความสงสัยแก่ตัวเซียถงเป็นอย่างยิ่ง เกิดอะไรขึ้นกับเซี่ยหลู่เฟิง? แล้วตอนนี้พี่ชายของนางอยู่ไหน? คิดได้ดังนั้น นางก็เคลื่อนสายตาคู่เย็นชามองไปทางเซี่ยอี้เฉิน อารมณ์เริ่มจะขุ่นมัวรับวันตั้งแต่เช้าตรู่
“ถงเอ๋อ์ ข้ามีเรื่องที่ต้องบอกเจ้า”
คล้ายสัมผัสได้ถึงสายตาคู่เย็นชาของเซียถงที่จับจ้องมาทางตน เซี่ยอี้เฉินก็คว้าข้อมือของนาง เดินจูงมาคุยอีกมุมหนึ่งของโถงใหญ่
เซี่ยอี้เฉินเคยเดินจูงมือนางเพื่อมาขอคุยกันเป็นส่วนตัวเช่นนี้ที่ไหน? ปรากฏร่องรอยความไม่ชอบมาพากลขึ้นบนสีหน้าของเซียถงโดยพลัน นางพยักหน้าและเดินติดตามอีกฝ่ายโดยง่าย การได้เห็นเซียถงทำตัวเชื่องต่อผู้เป็นพ่อเฉกเช่นตอนนี้นับว่าเป็นภาพฉากที่หาได้ยากยิ่ง!
“เมื่อวาน องค์รัชทายาทตกอยู่ในอันตรายจนบาดเจ็บสาหัสปางตาย ฝ่าบาททรงกริ้วเป็นอย่างมาก โดยกล่าวหาว่าเซี่ยหลู่เฟิงได้ละเลยหน้าที่ความรับผิดชอบ จึงถูกส่งตัวเข้าคุกใต้ดินในวังหลวงไปแล้ว!”
เซี่ยอี้เฉินกล่าวน้ำเสียงเศร้าสร้อย ดวงตาเห่อร้อนกลายเป็นสีแดงระเรื่อ ทันทีที่เขาได้รับทราบข่าวว่า องค์รัชทยาทตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเสี่ยงตาย จนส่งผลให้เซี่ยหลู่เฟิงถูกเหล่าทหารในวังคุมตัวส่งเข้าคุกไป เซี่ยอี้เฉินก็วิตกกังวลสุดขีดถึงขั้นตัดทุกการเชื่อมต่อใดๆ กับโลกภายนอกไปสักพักใหญ่ จึงส่งผลให้เขายังไม่รู้เรื่องที่เซียถงให้โอสถฟื้นชีพแก่องค์รัชทายาทกิน
เซียถงที่ได้รับฟังดังนั้นก็เดาได้ทันทีว่า ไป๋หลี่เย่จะต้องไปเป่าหูอะไรสักอย่างกับฝ่าบาทแน่นอน เพื่อส่งตัวเซี่ยหลู่
เฟิงเข้าคุกใต้ดิน ระบายความแค้นที่มี และหากนางทราบเช่นนี้ตั้งแต่แรก เซียถงคงเลือกที่จะปล่อยมันให้เน่าตายไปตั้งแต่เมื่อวานเสีย สุดท้ายนี้ ถึงแม้ภายในใจของนางจะรู้สึกขุ่นเคืองมัวหมองเพียงใด แต่ก็เลือกที่จะปิดปากเงียบไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมา เฝ้ามองทีท่าความเป็นกังวลของเซี่ยอี้เฉินที่ดูเหมือนว่ายังกล่าวไม่เสร็จดี
เซี่ยอี้เฉินเหลือบมองเซียถงอยู่ปราดหนึ่ง ก่อนกล่าวต่อว่า
“ถงเอ๋อร์ เพื่อช่วยเหลือชีวิตของพี่ชายเจ้า เข้าวังรอบนี้ ไม่ว่าฝ่าบาทประสงค์ในสิ่งใด เจ้าจงตอบตกลงไปให้หมด”
“หากฝ่าบาทประสงค์เอาชีวิตข้า ข้าจำต้องมอบให้แต่โดยดีด้วยกระมัง?”
เซียถงเผยสีหน้าเย็นชาฉายปรากฏ ทำเอาอุณหภูมิรอบข้างลดลงฮวบ ใช้วาจาแสนประชดประชันตอบสวนออกไป
“ฝ่าบาทจะสังหารเจ้าทิ้งได้อย่างไร? อย่าลืมเสียว่า ฝ่าบาทแต่งตั้งให้เจ้าเข้าร่วมศึกการประลองระหว่างสี่จักรวรรดิใหญ่ ดังนั้นแล้ว ภายในระยะเวลาสามเดือนนี้ ฝ่าบาทไม่มีทางลงมือทำอันตรายอันใดกับตัวเจ้าแน่นอน”
ปฏิกิริยาของเซี่ยอี้เฉินดูอึ้งเล็กน้อยก่อนจะกล่าวอธิบายตอบกลับไป ทั้งนี้ยังกล่าวพร้อมวาจาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังอีกว่า
“ถงเอ๋อร์ หากเจ้ามีคัมภีร์วรยุทธลับอยู่จริงในมือ ก็จงใช้มันเพื่อแลกเปลี่ยนกับความปลอดภัยของพี่ชายเจ้าเถอะ!”
“เซี่ยอี้เฉิน ไฉนท่านต้องคิดแทนคนอื่นด้วย? นี่เป็นเรื่องของข้า”
เซียถงพ่นวาจาเย็นชาเป็นคำตอบสั้นๆ ได้ใจความ สาดสายตาปรายมองไปที่เซี่ยอี้เฉินด้วยความสมเพช ก่อนจะหันไปกล่าวกับขันทีที่อยู่อีกมุมหนึ่งว่า
“รบกวนพาข้าไปที่วังด้วย”
หลังจากเข้าวังหลวงไปเสร็จสรรพ เซียถงก็ถูกพาเข้าไปในตำหนักของไป๋หลี่เย่
ณ ห้องบรรทมขององค์รัชทายาท
ภายในม่านสีทองอร่าม ดวงตาทั้งสองข้างของไป๋หลี่เย่ปิดสนิท นอนนิ่งไม่ได้สติใดๆ ข้างเตียงแออัดเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งสาวรับใช้และขันที ทุกคนต่างคุกเข่าก้มหน้ากดศีรษะ เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความประหม่า
“เสด็จพ่อ เสด็จพี่ของข้าใบหนาซีดเซียวหนัก จังหวะหายใจติดขัด อาการโดยรวมแย่มาก ข้าเกรงว่า สิ่งที่นังเซียถงเอาให้เสด็จพี่รับประทานเมื่อวาน กลับไม่ใช่โอสถฟื้นชีพ แต่เป็นยาพิษไม่ผิดแน่!”
ท่ามกลางฝูงชนหลายหลากที่คุกเข่า มีเพียงสองร่างที่ยืนตระหง่าน หนึ่งในนั้นเป็นร่างอรชรในชุดสีแดงเพลิงโดดเด่นสะดุดสายตา