ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 120 แผนต่ำทรามของไป๋หลี่เย่ (2)
ตอนที่120 แผนต่ำทรามของไป๋หลี่เย่ (2)
“อิงเอ๋อร์ แล้วพี่ชายเจ้าจะฟื้นคืนสติขึ้นอีกคราได้หรือไม่?”
ฮ่องเฮานั่งอยู่บริเวณหัวเตียงเคียงข้างไป๋หลี่เย่ที่นอนอยู่ ในเวลายามนี้ นางไร้ซึ่งความสง่าราศีแห่งมารดาแห่งแผ่นดินใดๆ อีกต่อไป ในมือของนางกำผ้าเช็ดหน้าไวแน่น ดวงตาบวมแดงเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาเต็มไปหมด
“เสด็จพี่ถูกนังอัปลักษณ์เซียถงวางยาพิษไม่ผิดแน่นอน โอกาสฟื้นคืนกลับมาแทบไม่มี เสด็จพ่อ โปรดสั่งประหารชีวิตเซียถงโดยเร็วที่สุดเถิด!”
ไป๋หลี่อวี๋อิงคว้าแขนเสื้อของฝ่าบาท เบื้องลึกลงไปในดวงตาบวมก่ำสีแดงเผยสะท้อนแววความโฉดชั่วทะลักล้นออกมา
ฝ่าบาทยืนสังเกตกาณ์อยู่ข้างเตียง ได้แต่เฝ้ามองใบหน้าสีขาวซีดของไป๋หลี่เย่ ฉายแวววิตกผ่านดวงตา แต่มิใช่ว่ากังวลจนไร้เหตุผล ปิดปากนิ่งเงียบเลือกที่จะไม่เอ่ยกล่าวใดๆ ออกมา
“ฝ่าบาท คุณหนูเซียมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
สาวรับใช้ในวังคนหนึ่งก้าวเท้าย่างออกมา เอ่ยกระซิบเสียงต่ำ
พอได้ยินดังนั้น ฝ่าบาทรีบเร่งหันหลังขวับ เป็นยจังหวะพอดีกับที่เซียถงเดินตรงเข้ามาหา
“เซียถง เมื่อวานเจ้านำสิ่งใดให้องค์รัชทยาททานกันแน่?”
เซียถงถอนสายบัวย่อตัวโคงศีรษะคำนับแก่ฝ่าบาทอย่างใจเย็น กล่าวตอบน้ำเสียงเรียบนิ่งปราศจากความเกรงกลัวใดๆ ว่า
“เรียนฝ่าบาท เมื่อวานหลังจากที่พบองค์รัชทยาทกำลังได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่นั้น ก็สังเกตเห็นว่า ไฟแห่งชีวิตของเขาใกล้มอบดับสูญ หม่อมฉันจึงนำโอสถฟื้นชีพที่เฒ่าประหลาดท่านนั้นมอบให้ก่อนจากไป ป้อนเข้าปากของเขาโดยตรง พอมาวันนี้ฝ่าบาทก็มีบัญชาเรียกข้ามาเข้าเฝ้า”
“ไร้สาระ! หากเจ้ามอบโอสถฟื้นชีพให้พี่ข้าทานจริงๆ แล้วไฉนเขายังอยู่ในอาการสาหัสไม่ได้สติเช่นนี้!? เห็นได้ชัดเจนว่า เจ้าวางยาพิษพี่ชายข้า!”
ไป๋หลี่อวี๋อิงคำรามแผดเสียงดังสนั่น ท่าทีดูฉุนเฉียวยิ่งยวดแล้ว
“ในเวลานั้นอวัยวะภายในขององค์รัชทยาทเสียหายขั้นสาหัส หากมิได้รับโอสถฟื้นชีพทันเวลา เกรงว่า ตอนนี้คงไม่เหลือแม้แต่ลมหายใจเสียด้วยซ้ำ”
เซียถงยืดอกกล่าวตอบโต้กลับไปทันควัน คู่สายตาจับจ้องไปที่ไป๋หลี่อวี๋อิงอย่างสงบเสงี่ยม
“หากเป็นเช่นนั้นจริง เช่นนั้นเจ้าจงอธิบายสิว่า เพราะเหตุใดตอนนี้เขายังไม่ตื่น? หากเกิดอะไรขึ้นกับองค์รัชทายาทแม้แต่นิดเดียว จวนเสนาบดีเซี่ยของพวกเจ้าเตรียมถูกตัดศีรษะเจ็ดชั่วโคตรเสียบประจานได้เลย!”
ไป๋หลี่อวี๋อิงชี้หน้าด่ากราดใส่เซียถงด้วยความเกลียดชังสุดหัวใจ เพราะนังบัดซบนี่ทำให้องค์หญิงผู้สง่างามอย่างนางต้องเสียโฉม ดังนั้นมีหรือจะยอมปล่อยไปง่ายๆ?
“ฝ่าบาทยังมิทันเอ่ยปากตรัสแม้สักคำ ทว่าองค์หญิงกลับออกฎีกาคาดโทษเองเสียแล้ว เป็นไปได้ไหมว่า องค์หญิงแห่งตงหลี่กำลังดูหมิ่นบารมีของฝ่าบาท? หรืออาจแย่กว่านั้น…องค์หญิงคิดที่จะตั้งตนเหนือกว่าพระเจ้าแผ่นดินเฉกเช่นฝ่าบาทไปเสียแล้ว?”
เซียถงแสร้งยกมือทาบแผ่นอก ทำท่าทำทีใจหาย
“เจ้าใส่ร้ายข้างั้นรึ?!”
เสมือนราดน้ำมันใส่กองเพลิง ไป๋หลี่อวี๋อิงยิ่งโมโหเดือดดาลเป็นทวีเท่า จนท้ายที่สุดทนไม่ไหว คว้าแส้สีดำออกจากเอว พร้อมฟาดใส่ทางเซียถงโดยตรง ภายใต้สถานการณ์ปกติทั่วไป ไป๋หลี่อวี๋อิงไม่กล้าสู้รบตบมือกับเซียถงแบบตัวต่อตัวแน่นอน ทว่าในเวลานี้มีทั้งเสด็จพ่อและเสด็จแม่อยู่ทั้งคน นางไม่เชื่อหรอกกว่า เซียถงจะกล้าลงมือตอบโต้ต่อหน้าพวกเขาทั้งคู่
แส้สีดำฟาดฟันดิ่งลงมา เซียถงยกมือขึ้นรับพร้อมคว้ามันด้วยมือเปล่า สองคู่เท้ายังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนใดๆ แต่นางแอบกรอกเทพลังลมปราณกระแสหนึ่งเข้าไปในข้อมืออย่างลับๆ ลอบออกแรงกระตุกแส้เข้าหาตัวเล็กน้อย ทำเอาไป๋หลี่อวี๋อิงทรงตัวไม่อยู่เซล้มหัวคะมำฟาดกับขอบโต๊ะไม้ที่อยู่ข้างๆ อย่างแรง ก่อนร่วงลงกับพื้นนอนแผ่อยู่แบบนั้น
“องค์หญิง เหตุใดท่านถึงไม่ระมัดระวังเอาเสียเลย การจะออกกระบวนท่าฟาดแสออกไป จำเป็นต้องรู้จักทรงตัวให้ดีก่อน มิฉะนั้นจะเกิดอุบัติเหตุล้มหัวทิ่มลงได้อย่างที่เห็น!”
เซียถงกกลั้นหัวเราะอยู่ภายในใจ ระบายยิ้มกล่าวตักเตือนอย่างสุภาพ
ใครจะไปคาดคิดกันว่า เซียถงจะแอบหยิบใช้พลังลมปราณกลั่นแกล้งกัน? ไป๋หอวี๋อิงยกมือกุมศีรษะที่ปูดบวมเป็นลูกมะนาว โยนแส้ยาวในมือทิ้งทันทีราวกับเป็นของแสลง และวิ่งไปคว้าแขนเสื้อฝ่าบาท กล่าวอ้อนวอนทั้งน้ำตาว่า
“เสด็จพ่อ ดูนังนี่สิ! ขนาดอยู่ต่อหน้าท่าน มันยังกล้ารังแกข้า! โปรดใช้อำนาจที่มีจัดการมันด้วยเถิดเสด็จพ่อ!”
ทั้งสีหน้าแววตาของฝ่าบาทหม่นประกายหมองลงหนึ่งส่วนรากับหมอกหนาจับตัว เคลื่อนสายตาจับจ้องไปที่เซียถง แต่มิได้เผยแสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวหรือเย่อหยิ่งใดๆ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเพิ่งยกมือจับแส้ยาวขององค์หญิงได้หมาดๆ ร่างกายยังไม่ทันเคลื่อนขยับเสียด้วยซ้ำ แต่กลับเป็นฝ่ายองค์หญิงเองที่ทรงตัวไม่ดีส่งผลให้ล้มหัวคะมำทิ่มกับพื้น อุบัติเหตุคราวนี้ หม่อมฉันกลับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ”
พอเห็นว่าฝ่าบาทเหลือบสายตามองมา ถึงไม่โกรธเกลียด แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นสายตาที่ดีเช่นกัน เซียถงจึงรีบคุกเข่าปริปากอธิบายชี้แจงโดยละเอียดต่อแทบเท้า
เมื่อเห็นว่าเซียถงคุกเข่าลงให้แก่ตน สีหน้าของฝ่าบาทก็ดูดีขึ้นเล็กน้อย ยกมือขึ้นพร้อมชี้นิ้วไปทางไป๋หลี่เย่ที่กำลังนอนไม่ได้สติ เอ่ยปากถามขึ้นว่า
“เซียถง หากสิ่งที่เจ้าให้เขาทานไปจริงๆ เป็นโอสถฟื้นชีพ แล้วเหตุใดองค์รัชทยาทถึงยังไม่ฟื้นสติขึ้นมาจวบจนบัดนี้?”
เซียถงลุกขึ้นยืน แลมองไป๋หลี่เย่อยู่สักครู่หนึ่ง จะสังเกตเห็นได้ว่า เขากำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียง สีหน้าซีดขาวราวกับแผ่นกระดาษ ริมฝีปากม่วงเข้มอมดำ ซึ่งอาการโดยรวมไม่ว่าจะมองยังไงก็เข้าขั้นเลวร้ายจริงๆ ทำเอาหัวคิ้วทั้งสองของนางอดขมวดแน่นเข้าหากันมิได้ อาการบาดเจ็บของไป๋หลี่เย่ ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสเพียงใด แต่นั่นก็ไม่น่าจะเกินกว่าขอบเขตที่โอสถฟื้นชีพจะสามารถรักษาได้ แล้วเหตุใด ปัจจุบันอีกฝ่ายถึงมีสภาพเช่นนี้ได้?
“เรียนฝ่าบาท หม่อมฉันขอตรวจวินิจฉัยองค์รัชทยาทอย่างใกล้ชิดสักเล็กน้อย”
เหม่อมองไปที่ไป๋หลี่เย่พลางใช้สมองครุ่นพินิจอยู่สักพักหนึ่ง เซียถงค่อยปริปากกล่าวกับฝ่าบาท
ฝ่าบาทพยักหน้าเห็นด้วยทันที หันไปสั่งการให้บรรดานางสนมและองค์ชายคนอื่นๆ หลีกทางให้แก่เซียถง ปล่อยให้นางเดินแช่มตรงเข้ามาข้างเตียง เอนกายย่อตัวลงเพื่อสังเกตสีสันผิวพรรณของไป๋หลี่เย่ จับข้อมือขึ้นมาตรวจชีพจรอย่างระมัดระวัง และทันใดนั้น เซียถงพลันหรี่ตาแคบลงทันควัน มุมปากกระตุกยิ้มเย้ยหยั่นฉีกขึ้นอย่างลับๆ
“แปลกมาก ทั้งที่ข้าให้โอสถฟื้นชีพแก่องค์รัชทยาทไปแล้ว แต่ไฉนยังไม่ได้สติตื่นขึ้นมา?”
เซียถงบ่นพึมพำกับตัวเองเล็กน้อย เก็บมือเก็บไม้ของไป๋หลี่เย่ซุกไว้ใต้ผ้าห่มดังเดิม
แต่ชั่วอึดใจขณะ เรียวมือสีขาวผ่องประดุจหิมะของเซียถงพลันเลื่อนต่ำลงไปยังต้นขาด้านขวาของไป๋หลี่เย่ ประกายคมมีดสีเย็นที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้แขนเสื้อพลันเผยปรากฏฉับพลัน เซียถงยกมีดสั้นขึ้นเสียบต้นขาพับนอกของไป๋หลี่เย่สุดแรงเกิด!
“เจ้า!!? เจ้ากล้าใช้มือสกปรกของเจ้าทำร้ายองค์รัชทายาทจริงๆ งั้นรึ!? เบื่อที่จะมีชีวิตแล้วกระมัง!?”
ทันทีที่เห็นภาพฉากนี้ ไป๋หลี่อวี๋อิงเป็นคนแรกที่กรีดร้องลั่น พยายามเอื้อมมือวิ่งไปหยุดเซียถงทันที ในขณะเดียวกัน เหล่าองค์ชายคนอื่นๆ ทั้งหลายแหล่เอง ก็พยายามพุ่งไปหยุดเช่นกัน แต่ทุกอย่างกลับสายเกินไปแล้ว
“อ๊ากกก!! เจ็บ! เจ็บจะตายแล้ว!!”
มีดสั้นในมือเซียถงเสียบทะลุต้นขาพับนอกของไป๋หลี่เย่จนมิดด้าม เขาถึงกับสะดุ้งเหย่วดีดตัวขึ้นจากเตียง กรีดร้องโหยหวนจนเสียงหลง ใช้มือทั้งสองข้างปิดป้องพยายามห้ามเลือดที่ไหลทะลักออกมาจากแผล ทั้งยังส่งเสียงตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เซียถง! นี่เจ้ากล้าดียังไงถึงใช้มีดสั้นลอบทำร้ายองค์รัชทายาท! สิ่งนี้นับเป็นการกระทำผิดร้ายแรง โทษทางอาชญากรรมครั้งใหญ่หลวง สมควรถูกประหารเท่านั้น!!”
จากเสียงกรีดร้องสุดแสนจะทุกข์ระทมจนเจ็บปวดของไป๋หลี่เย่ ทำให้ไป๋อวี๋อิงตื่นตระหนักสุดขีด เผยแวววิตกกังวลสาดสะท้อนออกมาจากดวงตาชัดแจ้ง รีบยกนิ้วชี้หน้าด่ากราดใส่เซียถงด้วยความโกรธจัด
ซึ่งต้องบอกเลยว่า การแทงครั้งนี้ของเซียถงไม่มีปาณีเมตตาใดๆ มิดด้ามชนิดที่ว่าไม่เห็นประกายจากคมมีดเผยปรากฏออกมาใดๆ บริเวณต้นขาของไป๋หลี่เย่ในขณะนี้มีแต่เลือดสีแดงสดล้นทะลักออกมาไม่หยุดหย่อน จนสุดท้ายต้องเป็นหน้าที่ของพวกขันทีและสาวรับใช้ทั้งหลายที่รีบวิ่งแลกันมาช่วยทำแผลเป็นการใหญ่ ส่วนองค์ชายคนอื่นๆ และนางสนมของพวกเขา แต่ละคนต่างจับจ้องไปยังภาพฉากตรงหน้าด้วยความตกตะลึงสุดขีด เพราะเมื่อครู่องค์รัชทยาทยังนอนนิ่งไม่ได้สติอยู่หมาดๆ ทว่าตอนนี้ หลังจากที่โดนเซียถงแทง กลับสะดุ้งโหย่งร้องโอดครวญไม่หยุด ดูมีชีวิตชีวาแตกต่างจากคนป่วยขั้นวิกฤติสิ้นเชิง