ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 122 ปรมาจารย์เสวี่ย (1)
ตอนที่122 ปรมาจารย์เสวี่ย (1)
เซียถงเดินตามคำกล่าวของเสี่ยวฮั่วไป แนบใบหน้าติดชนกับกำแพงถ้ำ กดหูแน่นชิด จากนั้นค่อยหลับตาปิดเปลือกตาลง เพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับสุ้มเสียงเบื้องหลังกำแพงถ้ำแห่งนี้ ทว่าพยายามฟังอยู่เสียนาน พลันอดผิดหวังมิได้ ถึงขนาดแอบสงสัยกับตนเองว่า จำทางผิดจริงๆ หรือไม่?
“นายท่าน หรือเป็นไปได้มิว่า…ของวิเศษชิ้นที่ว่าจะเป็น กระบี่ทัณฑ์ฟ้า!”
ทันทีทันใด เสี่ยวฮั่วก็ร้องอุทานขึ้นลั่นด้วยความตื่นอกตื่นเต้น
กระบี่ทัณฑ์ฟ้า? เซียถงขมวดคิ้วปั้นหน้าเปี่ยมแววสงสัย นางไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของกระบี่เล่มนี้มาก่อนเลย อย่างไรเสีย ผู้เอ่ยกล่าวออกมาก็เป็นเสี่ยวฮั่ว ความน่าเชื่อถือย่อมมีน้ำหนัก
“กระบี่เล่มนี้เป็นยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เคยอยู่ในมือของเซียนบรรพกาล! ตำนานเล่าขานกันไว้ว่า หนึ่งคมสะบั้นฟากฟ้า หนึ่งกระบวนประหารสรวงสวรรค์ นามขานมันคือกระบี่ทัณฑ์ฟ้า!”
“จะหมายถึงว่า ยุทธ์ภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้เคยเป็นอาวุธประจำกายของเซียนบรรพกาลสมับโบราณกระมัง? แต่เจ้าทราบได้อย่างไรว่า ของวิเศษที่อยู่ในถ้ำแห่งนี้คือ กระบี่ทัณฑ์ฟ้า?”
ปรากฏว่า ของวิเศษที่อยู่ภายในถ้ำลึกลับแห่งนี้ เป็นถึงยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เซียนบรรพกาลเคยใช้งาน?
เซียถงใจเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ เจียนกระโดดออกมาจากลำคอสู่โลกกว้างได้แล้ว หากสิ่งนี้เป็นกระบี่ทัณฑ์ฟ้าจริงๆ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร นางก็ขออุทิศทุกสิ่งอย่างเพื่อให้ได้มาครอบครอง!
“มีข่าวลือเลื่องกันว่า กระบี่ทัณฑ์ฟ้าถูกผนึกไว้ในห้วงวารีใสพิสุทธิ์ลึก และจะสถานที่ผนึกดังกล่าวจะปรากฏขึ้นให้เห็นเฉพาะคืนจันทร์เต็มดวงเท่านั้น คาดเดาได้ว่า ถ้ำแห่งนี้แหละคือสถานที่ซ่อนบ่อน้่ำใสพิสุทธิ์ที่ใช้ผนึกกระบี่ทัณฑ์ฟ้า!”
เสี่ยวฮั่วกล่าวอธิบาย
เลือดในกายเซียถงแทบเดือดปะทุขึ้นในทันใด ดวงตาใสสว่างวูบวาบเป็นประกายดเสมือนหยาดพิรุณในฤดูใบไม้ร่วง ไม่ว่าจะต้องหยิบใช้วิธีใด นางจะต้องได้กระบี่ทัณฑ์ฟ้ามาครอบครอง!
“นายท่าน คราวหน้าค่อยกลับมาอีกครั้งเถิด เวลานี้ต่อให้พยายามเพียงใดก็เปล่าประโยชน์”
ทว่าคำกล่าวเสียงเบาบางเพียงประโยคเดียวของเสี่ยวฮั่ว ก็ประดุจได้กับ ธารน้ำเย็นรินไหลราดเข้าใส่หัวของเซียถงอย่างจัง ทำเอาความเลือดร้อนภายในกายของเซียถงดับวูบทันที
ตอนนี้ยังเอามาครอบครองมิได้? เซียถงไม่เต็มใจลาจากออกไปเช่นนี้โดยง่ายแน่นอน นางเริ่มคลำกำแพงถ้ำหินโดยรอบบริเวณ โดยหวังว่าจะมีกลไกลับอะไรสักอย่าง
“นายท่าน พวกเราต้องมาอีกครั้งในคืนจันทร์เต็มดวง บ่อน้ำแห่งนี้ถึงจะปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเรา”
เสี่ยวฮั่วกล่าวแนะนำ
“แล้วหากบ่อน้ำที่ว่ามิได้ปรากฏขึ้นยามจันทร์เต็มดวงในคราวถัดไปล่ะ?”
เซียถงเอ่ยถามขึ้น
“ค่อยมาดูเดือนหน้าก็ยังไม่สาย”
ด้วยความหัวรั้นไม่ยอมแพ้ของเซียถง นางยังพยายามใช้มือคลำกำแพงถ้ำอยู่เป็นเวลานาน หลังจากไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ถึงจะค่อยยอมแพ้ตัดใจจากออกมาในที่สุด และกลับไปยังสถานศึกษาเซียถงโดยตรงด้วยความอาลัย หลังเลิกเรียนในแต่ละวัน นางมักจะใช้เวลาว่างที่เหลือเพื่อฝึกปรือบำเพ็ญตบะ สิื่งหนึ่งที่นางสัมผัสได้อย่างชัดแจ้งก็คือ วันเวลาเดินผ่านไปช้าเหลือเกิน
ครึ่งเดือนต่อมา เซียถงได้บังเอิญพบกับไป๋หลี่เย่พิดิบพอดี ณ ด้านหลังสถานศึกษา ซึ่งเบื้องหลังของเขาในวันนี้มิใช่เซี่ยหลู่เฟิงอย่างทุกที แต่เป็นชายหนุ่มสีหน้ามืดทมิฬดุร้าย จมูกโด่งปลายงอเล็กน้อยคล้ายเหยี่ยว แววตาทวีสีจัดเป็นประกาย ทุกย่างก้าวเท้าเดินช่างมั่นคง สัมผัสแรกก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่า ชายผู้นี้เป็นยอดฝีมือฉกาจคนหนึ่ง
เซียถงเหลือบหางตาปรายมองไปที่ไป๋หลี่เย่เล็กน้อย ขณะเดินผ่านสวนกัน จู่าๆ ไป็หลี่เย่ก็ปริปากกล่าวขึ้น
“เซียถง คงทราบใช่หรือไม่ว่า โทษใดที่เจ้าสมควรได้รับที่บังอาจทำร้ายร่างกายองค์รัชทายาทผู้นี้ในคราวล่าสุด?”
ไป๋หลี่เย่เอื้อมมือไปคว้าไหล่หยุดเซียถงโดยไม่มีไว้หน้าใดๆ
เซียถงสบัดไหล่เล็กน้อย กางนิ้วทั้งห้าขึ้นเตรียมยกตะปบเข้าลำคอของไป๋หลี่เย่โดยตรง แต่ในขณะที่ฝ่ามือของนางกำลังปราดพุ่งลุถึงลำคออีกฝ่าย ทันใดนั้นพลันปรากฏประกายแสงสีม่วงประกายระยับพุ่งออกมาจากด้านข้าง ต่อหน้าขุมพลังสุดแกร่งกร้าวสายหนึ่ง เซียถงหางตากระตุกวูบ รีบชักมือเก็บกลับมาโดยไว กระโดดร่นถอยตีระยะออกห่าง
เมื่อร่นถอยออกมาประมาณสามสี่ก้าวได้ เซียถงพลันสังเกตเห็น ชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นออกหน้ายืนขวางไว้อยู่ เคียงคู่ไปกับกระบี่เล่มยาวในมือ สายตาที่จับจ้องมาทางนางหาใช่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก
“ว่ายังไงเซียถง? ท่านปรมาจารย์เสวี่ยผู้นี้เป็นถึงหนึ่งในยอดฝีมือสิบอันดับแรกแห่งจักรวรรดิตงหลี่ กับแค่มือใหม่ขอบเขตเสาหลักฟ้าที่เพิ่งเลื่อนชั้นได้หมาดๆ อย่างเจ้า ไม่นับว่าเป็นอันใดต่อหน้าเขาผู้นี้!”
ไป๋หลี่เย่ระเบิดหัวเราะลั่นอย่างภาคภูมิใจตั้งแต่เหตุการณ์ในตอนที่ย่าเฟิงบุกโจมตีเพื่อความปลอดภัยของไป๋หลี่เย่ ฝ่าบาทจึงจัดหาปรมาจารย์ระดับชั้นขอบเขตราชันย์ม่วง มาเป็นองครักษ์ประจำตัวมีหน้าที่คอยคุ้มกันไม่ห่างกาย
สิ่งนี้ค่อนข้างเกินความคาดหมายของเซียถงมิใช่น้อยใครจะไปคิดว่า ปรมาจารย์ขอบเขตราชันย์ม่วงจะยอมเป็นผู้ใต้บัญชาขององค์รัชทายาทสวะผู้นี้ด้วยความเต็มใจจริงๆ?
“เป็นถึงปรมาจารย์ขอบเขตราชันย์ม่วงผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับหดหัวรับใช้คนอ่อนแอกว่าอย่างฝืนทน ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยรึ?”
เซียถงเพิกเฉยต่อคำกล่าวของไป๋หลี่เย่เสมือนเม็ดฝุ่นไร้ตัวตน หันไปเอ่ยถามปรมาจารย์เสวี่ยเจือน้ำเสียงค่อนข้างเสียดาย
สีหน้าผิดประหลาดฉายวาบผ่านดวงตาของปรมาจารย์เสวี่ยชั่วขณะ ก่อนจะปั้นหน้ากลับมาเคร่งขรึมดังเดิม กล่าวตอบเซียถงอย่างเมินเฉยว่า
“ข้าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร สิ่งนั้นกลับเป็นธุระของข้า หาใช่เรื่องที่เจ้าต้องกังวลแทน”
“ข้าเพียงเอ่ยปากเตือนสติเจ้าด้วยความหวังดี มีฝีมือเก่งกาจปานนี้ อนาคตของเจ้าไม่ควรหยุดนิ่งอยู่กับขยะชิ้นหนึ่ง ตัดสินใจเช่นนี้เกรงว่า เสียดายแทนพรสวรรค์ของเจ้าแล้ว”
จังหวะที่เซียถงพูดคำว่า ขยะชิ้นหนึ่ง นางเหลือบหางตามองไป๋หลี่เย่เบาๆ
“เซียถง! นี่เจ้ากำลังกล่าวถึงใคร?! ท่านปรมาจารย์เสวี่ย จัดการมันทิ้งให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
ไป๋หลี่เย่สังเกตเห็นแววตาที่ปรายมองสบประมาทของเซียถง ก็พลันเดือดดาลจัด ชี้หน้าด่ากราดใส่ทางนาง ออกคำสั่งให่้ปรมาจารย์เสวี่ยลงมือทันที
เซียถงตอบสนองเตรียมท่าร่างประยุทธ์ในทันใดส่งสายตาจับจ้องปรมาจารย์เสวี่ยตาเขม็ง นางไม่เคยมีความคิดที่จะยั่วยุยอดฝีมือที่แข็งแกร่งกล่าวตนอยู่แล้ว แต่หากอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกรังแกก่อนเช่นนี้ นางเองก็พร้อมสู้ตายเช่นกัน
ทว่าหลังจากที่ตั้งท่าอยู่เสียนาน ก็ยังไม่เห็นปรมาจารย์เสวี่ยลงมืแเสียที ไป๋หลี่เย่ค้นพบความผิดปกติดังกล่าวเช่นกัน จึงขมวดคิ้วถักแน่น กล่าวซ้ำอีกครั้งว่า
“ท่านปรมาจารย์เสวี่ย นังอัปลักษณ์นี่ มันบังอาจท้าทายอำนาจอันยิ่งใหญ่ของข้าผู้นี้นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว! นิสัยสันดานโฉดชั่วเลวทราม จัดการนางในนามของข้าเสีย!”
“ข้าน้อยรับผิดชอบเพียงความปลอดภัยขององค์รัชทายาทเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นใดนอกเหนือจากนั้น กลับไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าน้อยคนนี้เลย หากมีความปรารถนาที่จะกำจัดหญิงสาวนางนี้ทิ้งจริงๆ โปรดไหว้วานคนอื่นด้วยเถิด”
ปรมาจารย์เสวี่ยเก็บคมกระบี่ยาวเข้าฝัก ไร้ซึ่งปฏิกิริยาที่จะต่อสู้ใดๆ เหลือบแลเซียถงไปทีหนึ่งและหันมากล่าวกับไป๋หลี่เย่น้ำเสียงเรียบเฉย
ในความเห็นของปรมาจารย์เสวี่ย ถึงแม้เซียถงนางนี้จะมีใบหน้าอัปลักษณ์ แต่ทว่า หลังจากที่สังเกตมาสักพัก ก็พอเดาได้นางควรจะมีนิสัยทะนงตน กล้าได้กล้าเสียและมั่นใจในฝีมือมิใช่น้อยเลย และเขาไม่ต้องการจะมีปัญหากับคนประเภทนี้เท่าไหร่นัก
พอได้ฟังคำกล่าวของปรมาจารย์เสวี่ย สีหน้าของไป๋หลี่เย่พลันมืดทมิฬลงดั่งก้นหม้อไหม้ทันที ตะคอกสวนกลับไปด้วยความโกรธเกรี้ยวยิ่งว่า
“ปรมาจารย์เสวี่ย ราชวงศ์ของข้าล้วนให้การดูแลเจ้ามาเป็นอย่างดีโดยตลอด ทว่ายามนี้กลับเลี้ยงไม่เชื่อง หรือไม่เคยทราบเลยกระมังว่า ตัวเจ้าในตอนนี้อยู่ในสถานะใด?”
“ภารกิจที่ข้าน้อยได้มาคือการปกป้องอารักขาความปลอดภัยขององค์รัชทายาท หากไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับท่าน ข้าน้อยย่อมไม่ละเลยล้ำเส้นหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ข้าน้อยเคลื่อนไหวภายใต้คำบัญชาของฝ่าบาท มิใช่ท่าน องค์รัชทยาท”
ปรมาจารย์เสวี่ยกล่าวตอบอย่างใจเย็น
เซียถงรับฟังบทสนทนาระหว่างทั้งสองดังนั้น พลันทราบทันทีว่า สถานะของปรามาจารย์เสวี่ยผู้นี้เปรียบดั่งกระจก ตราบเท่าที่นางมิได้ลงมือกระทำการใดๆ ต่อตัวไป๋หลี่เย่ เขาเองก็จะไม่มีทางทำอันตรายต่อนางเช่นกัน