ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 129 ชายหนุ่มในชุดแดง (1)
ตอนที่129 ชายหนุ่มในชุดแดง (1)
ทว่าสถานการณ์กลับพลิกผันฉับพลัน กระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือเซียถงคล้ายกับว่ามีแรงดึงดูดแกร่งกล้ามหาศาล ดูดกระบี่เล่มยาวทอแสงมรกตในมือกลับไปเสียบลงในแผ่นศิลาดังเดิม กระชากร่างของเซียถงลอยติดตามมันไป ปราศจากแรงขัดขืนใดๆ ได้ และในเวลาเดียวกัน คลื่นกระบี่คมเขี้ยวของเย่หลีเทียนก็ลุถึงตัวมาแล้ว แต่ยังดีที่ถูกคลื่นกระบี่สีเงินประกายอีกเล่มเข้ามาขัดขวางได้
เย่หลีเทียนและชายผู้นั้นสบสายตาปะทะกันอย่างเดือดดุนัก รัศมีแสงสีเงินประกายเทาเจิดจ้าจรัส ระเบิดพลั่งพลูออกมาจากร่างทั้งสองบ้าคลั่งไม่หยุดหย่อน เย่หลีเทียนพยายามสุดฝีมือเพื่อหวังที่จะสังหารเซียถงให้ตายในกระบี่เดียว แต่สุดแล้ว ชายผู้นี้เองก็เปรียบเสมือนดาวพิทักษ์ คอยปกป้องนางไม่เว้นวาย ซึ่งนี่ได้สร้างความรำคาญใจมิได้น้อยเลย
รัศมีพลังสีเงินประกายสองสายยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน และไม่ร่นเท้าสืบถอยแม้สักก้าวเช่นกัน เพียงพริบตาเดียว ดั่งสะเก็ดไฟเสียดแลบ สองคมกระบี่เข้าปะทะเสียงโลหะชนกันดังเปรี้ยงปร้าง ต้านรับค้างเติ่งกันอยู่แบบนั้น ห่างจากด้านหลังของเซียถงเพียงไม่กี่สิบก้าว
เซียถงใช้สองมือกระชับจับด้ามกระบี่สีแดงไว้จงแน่น กัดฟันกรอดโครงกรามสั่นสะท้านหนัก โหมพละกำลังเต็มพิกัดที่มี โก่งตัวขึ้นราวกับพองขน ออกแรงดึงกระบี่ขึ้นจากแผ่นศิลาโดยตรง
แต่ในคราวนี้ เหมือนว่ากระบี่ยาวเล่มดังกล่าวราวกับหยั่งรากแก้วลึกอยู่ในดิน ไม่มีวี่แววแม้แต่จะชขยับเขยื้อนไปไหน
หายใจแช่มลึกสุดขั้วปอด เซียถงมุ่นคิ้วขนวมดแน่นเป็นปม รวบรวมพละกำลังและลมปราณทั้งหมดที่เหลืออยู่ทั่วกายา รีดเร้นอัดฉีดไปยังมือทั้งสองข้างและออกแรงสุดกู๋ ทว่ากระบี่เล่มยาวในมือกลับไม่มีวี่แววแม้แต่จะเคลื่อนขยับ เกรงว่า ใบกระบี่คงถูกเชื่อมติดกับแผ่นศิลาด้วยเหล็กกล้าแล้วกระมัง?
ไฉนจู่ๆ ข้าก็ดึงไม่ออก? หรือว่าตัวข้าคนนี้มีแรงไม่พอ?
เซียถงยับยั้งความนึกคิดภายในหัวลงโดยพลัน เนื่องจากรัศมีแรงกดดันที่ระเบิดคลั่งออกมาจากด้านหลังของนาง ทำเอานางเจียนจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว คลื่นประกายแสงสีครามแห่งขอบเขตเสาหลักฟ้ายิ่งสว่างจ้าพลั่งพลูออกมาจากทั่วกายาของนาง ธารแสงทั้งหมดทั้งมวลควบแน่นจนหลอมผนึกกลายเป็นชุดเกราะลมปราณชั้นหนา ครอบคลุมยาวลงมาผนึกเป็นเกราะแขน หวังใช้สิ่งเหล่านี้เสริมพละกำลังให้กล้าแกร่งยิ่งขึ้น คำรามลั่นสุดเสียงออกแรงดึงอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งเวลาผ่านไปนานเข้า นางยิ่งร้อนใจมากขึ้น รัศมีแรงกดดันสุดอันตรายจากด้านหลังยิ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้ ลมหายใจติดขัดหนัก แทบจะไม่เหลืออากาศเข้าหล่อเลี้ยงสมองอยู่แล้ว แต่ไม่ว่านางจะพยายามออกแรงดึงแค่ไหน กระบี่เล่มยาวยังคงติดหนึบแน่น ฝังอยู่ในแผ่นศิลาแน่นิ่งไม่ไปไหน
“นายท่าน กระบี่ทัณฑ์ฟ้าถูกพลังงานพิสดารบางอย่างผนึกไว้อยู่ อาศัยพลังของท่านในปัจจุบันไม่เพียงพอ หากดึงออกมาไม่ได้ แนะนำให้ท่านตัดใจไปก่อน!”
ใครจะไปยอมตัดใจกันง่ายๆ? เซียถงกดสายตามองไปที่ด้ามกระบี่สีแดงในมือ เส้นเลือดเส้นประสาทสีเขียวฟ้าทั่วหน้าผากนางปูดโปนจนเห็นได้ชัด นางไม่มีทางปล่อยกระบี่เล่มนี้ให้หลุดมือต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ไปโดยง่ายแน่นอน แต่ในคราวนี้เอง ขณะที่นางกำลังออกแรงดึงกระบี่ออกมา กลับมีมือขนาดใหญ่วางประกบบนคู่มือขาวผ่องของนางอีกที และช่วยนางดึงกระบี่ออกมาอีกแรง
การปะทะเมื่อสักครู่ เย่หลีเทียนคลาดสายตาไปชั่วขณะ พอลืมตาขึ้นมาอีกทีก็หันไปเห็นชายผู้นั้นหลบหนีออกไป เพื่อไปช่วยเซียถงดึงกระบี่อีกแรง พอเห็นดังนั้น เย่หลีเทียนรีบเก็บกระบี่ลงฝัง วิ่งไปยื้อยุดฉุดกระชาก ร่วมวงดึงกระบี่เป็นคนที่สาม ตราบใดที่เขายังไม่ปล่อยมือคู่นี้ออกไป เจ้าของที่แท้ของกระบี่เล่มนี้ก็ยังไม่ถูกกำหนดวางไว้เช่นกัน
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังกระจับจับด้ามกระบี่เล่มยาวแย่งกันดึง ออกแรงผสานกันโดยพร้อมเพรียง และในที่สุดใบกระบี่ก็ถูกถอนขึ้นจากแผ่นศิลาได้อีกครั้ง ทันทีทันใด พลันปรากฏแสงสว่างสีแดงเฉิดฉาย พวยพุ่งออกมาจากตัวกระบี่ทัณฑ์ฟ้า จู่โจมเข้าใส่ทั้งสามที่ถือเมกระบี่แน่นไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย แค่หนึ่งพริบตาเท่านั้น สถานการณ์แปรเปลี่ยนจากหน้าเป็นหลังมือทันที หลังจากที่กระบี่ทัณฑ์ฟ้าหลุดออกจากแผ่นศิลาที่กักขังมันเอาไว้ จากฝ่ายถูกล่า กระบี่เล่มนี้กลายมาเป็นฝ่ายไล่ล่าแทนทันที คลื่นพลังกระบี่อันทรงพลานุภาพก่อนหมุนเคว้งกลางอากาศก่อตัวขึ้นเป็นพายุเหนือศีรษะของทุกคนในทันที
เย่หลีเทียนและชายผู้นั้นปล่อยมือจากกระบี่ทันทีที่แสงสว่างสีแดงเฉิดฉายยิงใส่มือของพวกเขา บนด้ามกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเหลือเพียงแค่เซียถงงเดียวที่ยังจับกุมไว้มั่น เนื้อหนังบนมือของนางเริ่มฉีกขาดเป็นแผลลึกจนเห็นกระดูกสีขาวด้านใน แสงสว่างสีแดงเหล่านี้ดูท่าจะเป็นคลื่นคมกระบี่ที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากกระบี่ทัณฑ์ฟ้า เพื่อใช้ในการคุ้มกันตัวเอง แต่เซียถงไม่สนเลยว่า บาดแผลบนมือของนางที่ถูกกระหน่ำฟาดฟันในยามนี้จะสาหัสเพียงใด ขอเพียงตัวนางยังสามารถจับกุมด้ามกระบี่ให้มั่นได้ นอกเหนืออื่นใดนางไม่สนทั้งนั้น!
ในหัวของเซียถงตอนนี้ มีเพียงความคิดเดียว ต่อให้ต้องตายกันไปข้าง นางก็ไม่สามารถปล่อยมือไปจากกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเล่มนี้ไปได้เด็ดขาด เพราะชวดโอกาสในคราวนี้ไป เกรงว่าจะไม่เหลือโอกาสใดๆ อีกต่อไปแล้วในชั่วชีวิตนี้ ไม่ว่าราคาที่ต้องแลกเปลี่ยนจะมหาศาลเพียงใด นางก็ไม่สามารถปล่อยให้มันบินจากออกไปได้
“โอ้? นังหนูปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม โลหิตของเจ้าช่างเหม็นสาบนัก”
ทันใดนั้นเอง พลันปรากฏสุ้มเสียงดังคมชัดราวกับเปล่งดังอยู่ข้างใบหู แต่เสียงนี้กลับดังกังวานภายในห้วงความคิดของนาง ซึ่งเนื้อเสียงดังกล่าวแตกต่างจากเนื้อเสียงแบบด็กน้อยอย่างเสี่ยวฮั่ว เห็นได้ชัดว่านี่ดูโตกว่ามาก เหมือนกับว่าคนที่พูดเป็นชายหนุ่มอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี
ใครกันที่กำลังพูดกับข้าอยู่? เซียถงตื่นตะลึงยิ่งภายในใจ พริบตานั้นเอง จู่ๆ ก็มีมวลแสงสีแดงส่องประกายระยิบระยับ แผดกระจายไปทั่วตัวกระบี่ทัณฑ์ฟ้าที่นางกำลังกำไว้แน่น เสมือนกับว่าถูกมวลแสงสีแดงประกายเผาผลาญอย่างบ้าคลั่ง ทั้งร่างกายและห้วงจิตวิญญาณของเซียถงแทบจะฉีกกระจายระเบิดออกมาพร้อมด้วยกระแสความเจ็บปวดสึกพรรณนานับ กระแสความเจ็บปวดทรมานปริมาณมหาศาลที่ถาโถมเข้าฉับพลัน ทำเอาจิตสำนึกตกสู่อาการวิกฤติ สติสัมปชัญญะเริ่มเลือนรางหายไป ก่อนที่นางจะหมดสติลงโดยสมบูรณ์ คล้ายจะสังเกตเห็นว่า กระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือของนางค่อยๆ แปรสภาพโปร่งใสและหายไป
“วูบ วูบ วูบ…”
เสียงคลื่นลมแรงดังปะทะขนาบใบหูทั้งสองข้าง เซียถงค่อยๆ เปิดเปลือกตาฟื้นคืนสติขึ้นอย่างแช่มช้า สิ่งแรกที่เห็นในเส้นสายตาเลยก็คือ ท้องนภาสีครามฟ้าสดใส เสมือนถูกชำระล้างด้วยหยาดน้ำทิพย์ บริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคี
ได้แหงนหน้ามองแผ่นฟ้าเฉกเช่นนี้ ทำให้ใจดวงนี้ของเซียถงรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก แผ่นฟ้านภาสูงเบื้องหน้านี้ช่างใสสะอาดเกินบรรยาย ความคิดหลายหลากที่รุมเร้าก่อกวนจิตใจก่อนหน้า พลันอันตรธานหายไปไร้ร่องรอย เหลือแค่เพียงความสงบนิ่ง เลื่อนลงมาจากแผ่นฟ้า เซียถงตระหนักได้ว่า มือขวาของนางกำลังถูกเรียวมือขนาดใหญ่ของใครอีกคนกุมเอาไว้แน่น
มือของอีกฝ่ายงดงามไร้ที่ติ เรียวนิ้วทั้งห้ากรีดกรายยาวสลวย เนื้อเล็บสีอมชมพูเป็นมันเงา ผิวพรรณขาวสวยละเอียดลออ จนทำเอาเซียถงรู้สึกอิจฉาอยู่กรายๆ เมื่อได้เห็น เลื่อนสายตาติดตามไต่ขึ้นไปบนแขน เซียถงเห็นใบหน้าอันหล่อเหลา ประดุจงานศิลป์ชิ้นเอกที่หาที่ใดเทียบไม่!
นางค่อนข้างรู้สึกคุ้นเคยกับโครงหน้าลักษณ์เช่นนี้อย่างยิ่ง หากนำใบหน้านี้ มาเทียบประกบกับชายผู้นั้นที่สวมหน้ากากคลื่นลายเมฆา นี่เหมือนกันราวกับภาพซ่อนทันที ใช่แล้ว ชายผู้หล่อเหลาที่นอนอยู่ข้างกายยามนี้ ก็คือชายลึกลับผู้นั้นที่เคยช่วยเหลือนางครั้งแล้วครั้งเล่า
ค่อยๆ ถอนมือออกจากอีกฝ่าย เซียถงลุกขึ้นยืน กวาดสายตามองไปโดยรอบ ก็พึงพบว่าตนในเวลานี้อยู่บนยอดเขาสักแห่งหนหนึ่ง ทางด้านขวามือเป็นป่าพฤกษาสีเขียวขจี มีเสียงสรรพสัตว์ร่ำร้องเป็นระยะ ทางด้านซ้ายเป็นขอบหน้าผาสูงแล้ว ก้าวย่างเดินไปทางฝั่งซ้ายเล็กน้อย เซียถงก้มศีรษะทอดสายตามองลงไปใต้ขอบผา แลเห็นเป็นก้อนเมฆสีขาวบริสุทธิ์ลอยเคว้งสุมกันเป็นชั้นหนา มีเหล่าวิหคพร้อมด้วยสัตว์อสูรเวหาร่อนนภาบินผ่าน อึดใจต่อมา นางพลันย่นคิ้วเผยร่องรอยขมวดขึ้นเล็กน้อย เมื่อทอดสายตามองสุดขอบฟ้า ก็เห็นเพียงแต่ยอดเขาจำนวนนับไม่ถ้วนสลักซับซ้อนปรายยาวสุดเส้นสายตา
ซึ่งยอดเขาจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้น ล้วนมีระดับความสูงต่ำกว่าหุบเขาลูกนี้ที่นางยืนอยู่โดยทั้งสิ้น ภาพฉากเบื้องหน้ามองดูแล้วก็เหมือนกับเหล่ายักษ์หินที่ยอมจำนนต่อแทบเท้านาง ลมภูเขาสูงค่อนข้างแรง สายแล้วสายเล่าพัดผ่านไม่เว้นวาย ผมเผ้ายาวสลวยหลังศีรษะของเซียถงโบกสะบัดราวกับกำลังเต้นรำ ชายเสื้อสีดำยาวบิดพลิ้วไปตามสายลมแรง ส่งเสียงแหลมกรีดร้องอย่างแผ่วเบา
แล้ว…ที่นี่มันที่ไหน? มิใช่ว่านางอยู่ในถ้ำหรอกรึ? นี่ข้ามาที่แห่งนี้ได้ยังไง? เซียถงขมวดคิ้วถักแน่นเป็นเท่าตัว ได้แต่ครุ่นคิดอยู่กับตัวเองอย่างลับๆ นางจำได้ว่า ภาพฉากสุดท้ายที่นางเห็นคือ ชายผู้นี้ที่นอนอยู่เคียงข้างกับเย่หลีเทียน รวมไปถึงตัวนางกำลังยื้อยุดฉุดกระชากดึงกระบี่ทัณฑ์ฟ้าขึ้นมา
และทันทีที่กระบี่ทัณฑ์ฟ้าหลุดออกจากแผ่นศิลาที่พันธนาการมันเอาไว้ ขุมพลังมหาศาลเกินคนานับที่เกินจะอธิบายก็พวยพุ่งสาดแสงสว่างสีแดงจรัสไปทั่วทุกที่ ตัวกระบี่ต้องการจะบินหนีไปจากพวกเขาทั้งสาม แต่จวบจนเสี้ยวอึดใจสุดท้าย ก็เหลือแค่นางที่ยังกำด้ามกระบี่จับไว้มั่น และทันใดนั้นนางก็หมดสติภาพตัดเป็นสีดำสนิท
เซียถงยกมือทั้งสองข้างขึ้นมอง ปรากฏเป็นบาดแผลร่องรอยถูกฟันมากมาย แบบทั้งลึกถึงกระดูกและตื้นเขินปะปนกันไป แต่โดยรวมแล้วมือไม้ของนางในยามนี้ดูค่อนข้างเหวอะหวะ เพื่อที่จะคว้าจับกระบี่ทัณฑ์ฟ้าให้มั่นคงไม่ชวดหลุดมือ แขนทั้งสองข้างของนางเกือบถูกตัดด้วนเป็นคนพิการไปแล้ว
จะว่าไป…กระบี่ทัณฑ์ฟ้าล่ะ? กระบี่ทัณฑ์ฟ้าที่เกือบตัดมือไม้นางขาดเล่มนั้นหายไปไหนแล้ว? คล้อยหลังครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง นางก็รู้สึกว่า ยิ่งคิดเท่าไหร่ลำดับความคิดภายในหัวของนางก็ยิ่งยุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่ สุดท้ายนี้นางจึงส่งเสียงเรียกเสี่ยวฮั่วผ่านห้วงความคิด และต้องการจะถามอย่างยิ่งว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
แต่พอพยายามสื่อจิตไปหา กลับไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ จากเสี่ยวฮั่วกลับมาเลย เซียถงรู้แบบนั้นพลันตื่นตระหนกตกใจ รีบมุ่งจิตสมาธิเพ่งเข้าไปในห้วงความคิดของตน ก็ค้นพบว่า กลุ่มแสงสีม่วงภายในนั้น พราวแสงอ่อนกะพริบริบหรี่ลงทุกที เสมือนกับว่า มันสามารถดับมอดลงได้ทุกเมื่อ
“เสี่ยวฮั่ว! เสี่ยวฮั่ว! เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?”
เซียถงเปล่งเสียงเรียกด้วยความกังวลสุดขีด