ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 131 ห้วงมิติมายา (1)
ตอนที่131 ห้วงมิติมายา (1)
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มชุดแดงเร่งฝีเท้าตีระยะห่างออกไปต่อหน้าต่อตา เซียถงก็ไม่รอช้ารีบไล่ล่าติดตามไป เบื้องหลังของชายหนุ่มนี้เก็บงความลับต่างๆมากเกินไป ดังนั้นนางจะไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดรอดไปจากสายตาเป็นอันขาด
พอสังเกตได้ว่าเซียถงไล่ติดตามตนมา ชายหนุ่มคนนั้นพลันชะงักหยุดฝีเท้าโดยพลัน หันกลับมาส่งยิ้มให้นาง กล่าวว่า
“นังหนูเหม็นสาบ หากเจ้าสามารถไล่ตามข้าทัน ข้าจะยอมบอกให้ก็ได้ว่าตนเป็นใคร และกระบี่ทัณฑ์ฟ้าที่เจ้าตามหามันอยู่ที่ไหน”
“ได้! หากข้าตามเจ้าทัน เจ้าจะต้องตอบคำถามสามข้อ!”
เซียถงตะโกนใส่อีกฝ่าย
“ฮ่าฮ่า! ตราบเท่าที่เจ้าตามทัน ต่อให้ถามมาเป็นร้อยข้อ ข้าก็จะนั่งบรรจงตอบเจ้าทีละข้อเลย!”
ระหว่างบทสนทนา ชายหนุ่มคนนั้นออกวิ่ง กระโดดโลดโผนไปตามกิ่งก้านสาขาท่ามกลางผืนป่าพฤกษาอีกครา
“รอก่อนเถอะ!”
ทั่วทั้งร่างเซียถงระเบิดแสงสีครามจัดจ้านพวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง เงาร่างไสววูบกวาดออกไปด้วยความเร็วสูงสุดประดุจคันศรทะยาน
ชายหนุ่มคนนี้มองย้อนกลับมาหาเซียถง มุมปากพลันคดโค้งกระตุกยิ้มชั่วร้ายเผยปรากฏ คิดกันตัวเองในใจว่า อาศัยเพียงเศษเสี้ยวพลังแค่นี้ ยังกล้าดีอย่างไรที่คิดจะครอบครองกระบี่ทัณฑ์ฟ้า ชั่วขณะอึดใจ เขาสรรหาวิธีสังหารนางหลายหลากวรูปแบบขึ้นมา ครุ่นพินิจคิดอยู่ภายในใจอย่างลับๆ กรอกเทพลังลงไปที่เท้าเปล่าทั้งสองข้า ออกแรงเร่งความเร็วเป็นเท่าตัว เพิ่มระยะห่างออกไปให้กว้างขึ้น ก้าวต่อก้าว กระโดดข้ามจากกิ่งสู่กิ่ง เงาร่างโดดเด่งไปมาอย่างรวดเร็วประดุจสายฟ้า ปราดพุ่งเข้าไปในส่วนลึกของป่าพฤกษา
ในพริบตาต่อมา ภาพฉากกลางป่าพฤกษาขจีลึก ปรากฏเงาประกายแสงอยู่สองร่าง ร่างหนึ่งสีครามเข้ม ส่วนอีกร่างสีแดงทับทิบเจิดจรัส ซึ่งเงาร่างสีแดงทับทิบจรัสนี้กระโดดโฉบเฉียวอยู่บนกิ่งก้านของต้นไม้ และร่างเงาสีครามเข้มสับขาวิ่งอย่างเดือดดุอยู่ภาคพื้น จวบจนบัดนี้ ทั้งสองสามารถรักษาระยะห่างให้คงที่อยู่ระหว่างหนึ่งถึงสองร้อยเมตร ไม่ฉีกกว้างหรือเขยือบเข้าใกล้มากเกินไปกว่าที่กล่าวมาอีก
จนท้ายที่สุด เงาร่างทั้งสองขั้วสีวิ่งฉีกออกจากป่าพฤกษาขจีออกมาได้ เบื้องหน้าปรากฏเป็นทุ้งหญ้าสีเขียวชอุ่ม ระดับความเร็วของชายหนุ่มลดลงอย่างชัดเจนกับตอนอยู่ภายในป่าพฤกษา ในทางตรงข้าม เซียถงที่เห็นว่าเป็ฯโอกาส จึงเร่งความเร็วสับคู่เท้าให้ไวขึ้นเป็นทวีเท่า เห็นว่าเบื้องหน้าในขณะนี้ ใกล้จะเข้าสัมผัสปลายผมยาวสลวยสีเงินได้อยู่แล้ว นางยิ้มเอื้อมมือหวังกระชากศีรษะจับอีกฝ่ายให้อยู่หมัด เสี้ยวอึดใจที่ปลายนิ้วเรียวยาวของนางกำลังจะแตะสัมผัสได้ ชายหนุ่มคนนั้นกลับกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ขนาดยักษ์ใหญ่ตรงหน้าไปเสียก่อน
วิสัยทัศน์โดยรอบของเซียถงจู่ๆก็แปรเปลี่ยนเป็นท่ามกลางป่าพฤกษาอีกครั้ง แต่ในคราวนี้เป็นเหมือนป่าดิบชื้นในยุคดึกดำบรรพ์ ต้นไม้ของที่นี่มีขนาดใหญ่โตโอฬาร กิ่งก้านสาขาแผดกว้างปิดบังท้องฟ้าดั่งหลังคาของธรรมชาติ มีร่มเงาให้เห็นอยู่ทั่วไปหมด กระทั่งเถาวัลย์รูปทรงประหลาดมากมายยังอยู่โอบล้อมทุกหนทุกแห่ง หมอกชั้นบางแพร่กระจายสารทิศ ลดวิสัยทัศน์การมองเห็นของนางไปกว่าหนึ่งส่วนเต็ม
เซียถงชะลอความเร็ว เดินเข้าสำรวจอย่างระมัดระวังแทน คู่สายตาจับจ้องภาพฉากเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าภายในป่า คอยเฝ้าระวังตื่นตัวตลอดเวลา เสมือนกับว่า นางได้กลิ่นแห่งความตายล่องลอยอยู่ทั่วผืนป่าแห่งนี้เอยู่ตลอดเวลา
แม้จะยืนอยู่ในจุดที่คาดว่า น่าจะปลอดภัยที่สุดของป่าแล้ว แต่เซียถงยังคงสัมผัสได้ชัดแจ้ง มีพลังธาตุหยินมืดกัดกร่อนกระดูกภายในร่างกายอยู่ตลอดเวลา นางยืนนิ่งระดมความคิดตัดสินใจอยู่ชั่วครู่ ทอดสายตาขึ้นมองร่างสีแดงที่กระโดดโลดเต้น ข้ามไปข้ามมาระหว่างต้นไม้สองต้นในป่าคล้ายกับกำลังเล่นฆ่าเวลา เพื่อรอให้เซียถงตามเข้ามา ซึ่งพอเห็นแบบนั้น นางก็ยิ่งลังเลใจเข้าไปใหญ่
“ไฉนเจ้าถึงไม่กล้าเข้ามาเสียแล้ว?”
ชายหนุ่มคนนั้นมองย้อนกลับไปทางเซียถง เอ่ยถามขึ้นเจือทีท่าปั่นประสาท
“ภายในป่าแห่งนี้มีอะไรอยู่?”
เซียถงจ้องไปที่ชายหนุ่มคนนั้นและยิงคำถามเข้าใส่ทันที เนื่องจากต้นไม้ทั่วบริเวณป่าแห่งนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่และจำนวนมากมาย ทำให้กิ่งก้านสาขาของพวกมันแต่ละต้นเบียดแน่นจนแออัด มีเพียงแสงตะวันจากบนฟากฟ้าบางส่วนเท่านั้นที่หลุดลอดส่องลงมาตามช่องรู่ที่เว้นว่าง เท่านี้ก็ว่ามากแล้ว นี่ยังไม่รวมไปถึงหมอกชั้นบางที่ปกคลุม ส่งผลให้วิสัยทัศย์การมองเห็นถูกลดทอนต่ำลง เซียถงแทบจะไม่สามารถสำรวจสถานการณ์โดยรอบได้เลย กระทั่งสีหน้าของชายหนุ่มคนนั้นในเวลานี้ ทั้งหมดทั้งมวล นางทำได้แค่มโนทัศน์และว่างแผนรับมือกับความเป็นไปได้ทุกรูปแบบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ขึ้นมาลอยๆ
“เจ้าไม่อยากควบคุมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าให้เชื่องแล้วรึ? แลกมาด้วยบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เรื่องแค่นี้เจ้ากลับกลัวหัวหดเสียแล้ว?”
ชายหนุ่มคนนั้นเหลือบสายตามองต่ำใส่เซียถง เอ่ยวาจาเชิงเสียดสียิงเข้าใส่อย่างจัง จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างจับเถาวัลย์บนต้นไม้ไว้แน่น และเริ่มโหนข้ามจากต้นสู่อีกต้น ปล่อยให้ปลายผมสีเงินยาวสลวยปลิวไปตามทิศทางแรงลม และเริ่มออกวิ่งหนีเซียถงอีกครั้ง
ร่างของชายหนุ่มเริ่มจางหายไปจากเส้นสายตาของเซียถง นางรีบกระโดดไล่ล่าติดตามเข้าไปโดยไว มุ่งสมาธิระแวดระวังภัยรอบข้างและเบื้องหน้า พลางเอ่ยถามขึ้นคำหนึ่งว่า
“เจ้ากับกระบี่ทัณฑ์ฟ้ามีความสัมพันธ์กันอย่างไรกันแน่?”
“อยากรู้ก็ตามมา!”
ชายหนุ่มในชุดสีแดงเหลือบมองด้วยคู่สายตาสุดหยิ่งผยอง กวาดสายตามองเงาร่างของเซียถงที่ไล่ล่าติดตามเข้ามา สูดไอเย็นแช่มลึก เปล่งเสียงลือลั่นติดปลายสุดยโสว่า
“หากเจ้าต้องการควบคุมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าให้เชื่อง หากเจ้าปรารถนาให้กระบี่ทัณฑ์ฟ้ายอมรับเจ้าเป็นนายของมัน เจ้าจะต้องมีจิตใตหาญกล้าพอที่จะเข้ามาภายในป่าแห่งนี้ กระบี่ทัณฑ์ฟ้าจะมอบพลังให้ก็ต่อเมื่อ ผู้ถือครองพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ตนคู่ควร!”
ยิ่งได้ยินแบบนั้น ดวงตาของเซียถงพลันเปล่งประกายขึ้นมา นางปิดปากเงียบไม่ตอบหรือเอ่ยถามใดๆอีกต่อไป ใช้มือขวากระตุกชายเสื้อยาวลุ่มล่ามของตีฉีกให้ขาด เพื่อให้ตนเองวิ่งสะดวกยิ่งขึ้น เร่งเร้าขุมพลังขจรเท่าร่างจนถึงขีดสุด เพิ่มความเร็วไล่ตามไปทันที
ชายหนุ่มผู้นั้นโหนเถาวัลย์ข้ามต้นไม้ยักษ์ มีบางช่วงหนัศีรษะเหลือบไปมองดูการเคลื่อนไหวของเซียถง จู่ๆมุมปากก็กระตุกยิ้มฉายแววโฉดชั่วอีกครั้งอย่างลับๆ อาศัยเพียงขุมพลังขอบเขตเสาหลักฟ้าอันแสนกระจอกงอกหง่อย สาวน้อยนางนี้คิดจริงๆหรือว่า จะสามารถต่อกรกับจิตวิณญาณแห่งกระบี่ทัณฑ์ฟ้าอย่างตัวเขาได้? หลังจากที่นางหลงเข้ามาภายในป่าแห่งนี้แล้ว ตัวเขารับประกันได้เลยว่า นางจะไม่มีวันออกไปจากที่นี่ได้อีกชั่วชีวิต!
เซียถงเงยหน้ามองชายหนุ่มที่ปีนป่ายข้ามต้นไม้ใหญ่ยักษ์ต้นแล้วต้นเล่า นางเอ่ยถามขึ้นว่า
“นี่ก็วิ่งไล่ล่ากันมาสักพักแล้ว ไม่คิดจะบอกชื่อให้ข้ารู้หน่อยรึ?”
“หลิวซู!”
ได้ยังคำถามดังนั้น หลิวซูหันส่งยิ้มแย้มตอบกลับในบัดดล
“เช่นนั้นแล้วหลิวซู ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนกันแน่?”
“ฮ่าฮ่า หลอกถามข้างั้นรึ? แต่เอาเถอะ เห็นแก่ที่เจ้าวิ่งตามข้ามาถึงตรงนี้ จะยอมตอบสักหนึ่งคำถาม ที่นี่คือห้วงมิติมายาแห่งการผนึก ใครก็ตามที่ได้สัมผัสกับผนึกของกระบี่ทัณฑ์ฟ้า ล้วนถูกส่งตัวมาที่แห่งนี้โดยไม่มีข้อยกเว้น!”
“แล้วเจ้ากับกระบี่ทัณฑ์ฟ้ามีความสัมผัสกันอย่างไร?”
เซียถงเอ่ยถามอีกครั้งต่อเนื่องทันควัน
แต่ในคราวนี้หลิวซูมิได้ปริปากเอ่ยตอบใดๆออกไป เพียงหยุดชะงักทุกการเคลื่อนไหว เอนตัวพิงบนลำต้นใหญ่ยักษ์ด้านหลัง เลิกคิ้วมองเซียถงอยู่สักครู่ ยักไหล่ตอบไปแค่ว่า
“ตามข้ามาสิ หากเจ้าสามารถควบคุมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าได้ คำถามเหล่านี้จะดูไร้สาระไปโดยปริยาย!”
สิ้นเสียงกล่าวจบ ร่างของชายหนุ่มคนนั้นก็หายวับไปอีกครั้ง เห็นเพียงเงาซ้อนไสวสีประกายแดงระยิบระยับทิ้นทวนเป็นสายยาว
เหม่อมองกิ้งก้านสาขาบนต้นไม้ที่กลายเป็นความว่างเปล่า เซียถงหรี่ตาแคบ ออกวิ่งไปอีกครั้ง หากมิใช่เพราะคราวนี้ อีกฝ่ายใช้เถาวัลย์สีเขียวบนต้นไม้ห้อยโหนเพื่อเคลื่อนที่ จนเห็นพวกมันเหล่านั้นกวักแกว้งไปมา ทิ้งทวนเป็นร่องรอยให้นางไล่ติดตามไป ปานนี้เซียถงเองก็ไม่น่าจะตามทันแล้วเช่นกัน หากเปรียบเทียบกับช่วงแรก ในปัจจุบันพลังลมปราณในร่างกายของนางก็ใช่ว่าจะเหลือมากแล้ว
ก้าวพริบตา หนึ่งในวรยุทธข้ามมิติแห่งศาสตร์บรรพกาลที่มีอยู่เพียงตำนาน มันช่างน่าทึ่งมากจริงๆ หากได้ศึกษาเรียนรู้วรยุทธ์แขนงนี้ ต่อให้ต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้อันทรงพลัง ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัว หากเอาชนะไม่ได้ ก็แค่หนีออกไปให้ไกลที่สุด
พอเดินทางเข้ามาลึกในระดับหนึ่ง บรรยากาศทั้งสองข้างทางรอบข้างเซียถงกลายเป็นป่าทึบที่มีเพียงแสงสลัว หมอกหนาทึบกว่าก่อนหน้ามาก คล้ายกับได้ยินสุ้มเสียงสั่นกระเพื่อมจากพุ่งไม้หนามไม่ใกล้ไม่ไกล ดังกรอบแกรบเสมือนกับว่ามีสิ่งมีชีวิตอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงติดตามนางมาเช่นกัน ช่างเป็นสุ้มเสียงที่ฟังแล้วมิได้รู้สึกจรรโลงใจใดๆ แต่กลับรู้สึกสยดสยองเมื่อได้ยินแทน
“หากเจ้าต้องการควบคุมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าให้เชื่อง หากเจ้าปรารถนาให้กระบี่ทัณฑ์ฟ้ายอมรับเจ้าเป็นนายของมัน เจ้าจะต้องมีจิตใตหาญกล้าพอที่จะเข้ามาภายในป่าแห่งนี้ กระบี่ทัณฑ์ฟ้าจะมอบพลังให้ก็ต่อเมื่อ ผู้ถือครองพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ตนคู่ควร!”
คำพูดประโยคนี้ยังคงดังก้องกังวานอยู่ภายในหูของเซียถงไม่เสื่อมคลาย