ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 132 ห้วงมิติมายา (2)
ตอนที่132 ห้วงมิติมายา (2)
ป่าดึกดำบรรพ์แห่งนี้ดกูอันตรายยิ่งยวด ดูเหมือนว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของหลิวซูคือ การพานางมายังที่นี่และยืมมือของสิ่งมีชีวิตภายในป่าสังหารนางทิ้งซะ แต่ตราบใดที่นางยังมีลมหายใจ เกรงว่าทุกอย่างคงมิได้เป็นไปตามแผนการง่ายดายปานนั้น
เพื่อกระบี่ทัณฑ์ฟ้า ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ นางก็พร้อมด้วยความยินดี!
ชักคมมีดสั้นเล็ดลอดจากใต้แขนเสื้อลงสู่ฝ่ามืออย่างเงียบงัน โดยไม่คำนึงนึกถึงกระแสความจ็บปวดสุดพรรณนาบนฝ่ามือและท่อนแขนทั้งสองข้าง เซียถงกัดฟันแน่นเดินแช่มเข้าสู่เบื้องลึกภายในป่าต่อไป วิสัยทัศน์เบื้องหน้ามีทั้งเถาวัลย์และหนามแหลมคมบดบังอยู่เต็มไปหมด เดินเหยียบใบไม้แห้งเฉาสีน้ำตาลไร้ชีวา เสียงดังกรอบแกรบ เซียถงมุ่งหน้าตรงเข้าไปโดยเกรงกลัว
เดินอยู่สักพัก นางคล้ายได้ยินเสียงเหยียบใบไม้แห้งไม่เข้าพวกดังโดดเด่นขึ้นมา และในจุดนี้ยังสัมผัสได้ถึงความต่างของระดับพื้นที่ไม่เท่ากัน ราวกับมีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้กองใบไม้แห้งชั้นหนาเหล่านี้ พอยกเท้าขึ้นเขี่ยดู ก็แลเห็นกระดูกสีขาวกองกับพื้นอยู่ต่อหน้าต่อตา เห็นเป็นเช่นนั้น นางจึงชักเท้าแตะอากาศออกไป ชักนำคลื่นลมกระแสหนึ่งกวาดล้างกองใบไม้แห้งตรงหน้าให้ปลิวไสว เผยปรากฏเศกซากโครงกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อยอีกมากมายกระจัดกระจายไปทั่วสารทิศ
ทอดสายตาจับจ้องสิ่งเหล่านี้ที่ปรากฏขึ้นจากใต้กองใบไม้แห้ง เซียถงหัวใจบีบเกร็งขึ้นทันควัน กระดูกเหล่านี้คล้ายถูกแทะเนื้อหนังออกไปจนขาวสะอาดไม่เหลือ ใบบรรดากองกระดูกเหล่านั้น ยังมีบางส่วนดูเหมือนเศษชิ้นส่วนกระดูกของมนุษย์จำนวนหนึ่ง ทั้งหักและบิดเบี้ยวผิดสรีระ
ในเวลาเดียวกัน เงาร่างสีแดงของชายหนุ่มคนนั้นได้หายไปไหนแล้วมิทราบ ปล่อยทิ้งให้นางอยู่ท่ามกลางกองกระดูกสีขาวเหล่านี้ ไม่กี่อีดใจต่อมา พลันปรากฏเหงื่อเย็นผุดซึมขึ้นบนหน้าผากของเซียถง ดูเหมือนว่าเส้นทางเบื้องหน้าต่อจากนี้ น่าจะยังมีเศษซากกองกระดูกอีกไม่ใช่น้อยที่ถูกใบไม้แห้งกลบฝังอยู่
เป็นสัตว์อสูรชนิดใดกันที่ซ่อนตัวอยู่ที่แห่งนี้? ถึงมีโครงกระดูกมากมาย? หลังจากสงบจิตสงบใจ ระดับความกระสับกระส่ายได้ เซียถงก็กระชับมีดสั้นในมือให้แน่นขึ้น เพิ่มความระมัดระวังเป็นเท่าตัว และเดินหน้าต่อไป
ปัจจุบันนางยืนอยู่ที่นี่แล้ว ย่อมไม่สามารถถอยหลังออกไปได้
เดินข้ามกองกระดูกเหล่านั้น ฝ่าเท้าย่างเหยียบกองใบไม้แห้งต่างระดับไม่เท่ากันเลยสักจุด เซียถงลอบหยิบแขนเสื้อปาดเช็ดหยาดเหงื่อบริเวณหน้าผาก กวาดสายตาพินิจตรวจสอบด้วยความระมัดระวังสุดขีด ระหว่างทางพลันค้นพบกับภาพฉากที่สุดแสนน่าตะลึง มันเป็นรังของแมงมุมที่ถูกสร้างโดยใยสีขาวขุ่น ยึดติดเอาไว้ระหว่างต้นไม้ใหญ่ยักษ์ทั้งสอง ราวกับอ่างมรณะที่ไว้ดักจับเหยื่อขนาดใหญ่ หากสัวต์อสูรตนใดไม่รู้อิโหน่อิเหน่สุ่มเข้ามาและไม่ระวังตัวมากพอ เกรงว่าเตรียมตัวกลายมาเป็นเหยื่ออันโอชาของแมงมุมยักษ์เจ้าของบ้านหลังนี้ได้เลย
ขณะที่เซียถงกำลังเฝ้าสังเกตรังแมงมุมตรงหน้า ทันใดนั้นก็พลันได้ยินเสียงพุ่มไม้หนาทึบบริเวณเคียงข้างแกว่งไปมาอย่างแรงพร้อมเสียงดังซู่ว ประกอบพร้อมเสียงร้องสุดเวทนาของสัตว์บางชนิดกรีดร้องลั่นสุดหัวใจ ก่อนที่ทุกสิ่งอย่างจะหายไปและกลับสู่ความเงียบสงบลงอีกครั้ง เซียถงค่อยๆ ย่องเบาตรงไปแหวกพุ่มไม้ดังกล่าวให้เปิดออก เฝ้าติดตามสถานการณ์ตรงหน้าอย่างใกล้ชิด
นางพบกับงูเกล็ดหนาสีเขียวเข้มมันเงากำลังเลื่อนพัวพันทั่วลำต้นหนา จากโค่นรากสูงเกือบถึงครึ่งหนึ่งของความสูงต้นไม้ต้นนั้น แต่จะสังเกตเห็นได้ว่า งูเกล็ดหนาสีเขียวตนนี้น่าจะรัดพัวพันอยู่กับต้นไม้ต้นนี้มานานมากแล้ว เพราะบริเวณลำตัวและเกล็ดของมันบางส่วนเริ่มมีตะไคร่น้ำและฝุ่นเกาะเป็นชั้นบาง ส่วนศีรษะกระเพื่อมตามจังหวะการเคี้ยวเขมือบ ภายในปากของมันกำลังกินวิหคแปลกๆ ตนหนึ่งอยู่ เซียถงเห็นดังนั้นก็ไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะขนาดความยาวที่แท้จริงของมันสิ้นสุดตรงไหนก็มิทราบ ดีไม่ดี บางสิ่งที่คล้ายกับเถาวัลย์รอบบริเวณของมัน อาจจะเป็นหนึ่งในส่วนลำตัวของมันที่เกินล้ำออกมาก็เป็นได้
หลังจากงูเกล็ดหนาสีเขียวตนนั้นเขมือบกินร่างวิหคลงไป นัยน์ตาทรงเหลียวแหลมแนวตั้งของมันก็เริ่มดูเลื่อนลอย เปลือกตาทั้งสองข้างของมันค่อยๆ ปิดลงอย่างแช่มช้า เอนศีรษะนอนพิงใบไม้สีเขียวราวกับเข้าสู่สภาวะงีบพักหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เซียถงกลั้นหายใจปกปิดทุกสัมผัสการมีอยู่ของตน และย่องเท้าเดินตรงไปข้างหน้าด้วยความเงียบงัน พยายามหลีกเลี่ยงทิศทางที่งูเกล็ดหนาสีเขียวตนนั้นอยู่ให้ได้มากที่สุด
ระหว่างทางหลังจากนั้น นอกจากจะได้เห็นสัตว์อสูรป่าขนาดยักษ์ นางก็พบเจอเข้ากับสัตว์อสูรขนาดย่อมเยาประปราย แต่ก็ยังไม่ได้เผชิญเข้ากับภัยอันตรายใดๆ ต่อหน้าต่อตา และสิ่งที่น่าแปลกที่สุดคือ ยิ่งเซียถงเดินทางเข้าไปนาส่วนลึกของป่ามากเท่าไหร่ แทนที่จะดูอันตราย แต่สภาพแวดล้อมโดยรอบกลับยิ่งเงียบสงบมากขึ้นเท่านั้น เพียงว่าวิสัยทัศน์เริ่มมองยากขึ้น เนื่องจากแสงตะวันที่สาดส่องลงมาเริ่มมาไม่ถึงพื้นล่างแล้ว โดยเฉพาะกับช่วงท้ายของป่า แทบจะเรียกได้ว่าสงบเงียบโดยสมบูรณ์ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงสายลมพัดพาใบไม้ที่ปลิดปลิว มีแค่ความมืดมิดเท่านั้น
ท่ามกลางความเงียบสงัดและมืดมนเกินบรรยายเช่นนี้ มันทำให้เซียถงรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย
เหงื่อเย็นไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง ตั้งแต่นางเดินผ่านช่วงกลางของป่าเข้ามา ก็เริ่มจะรู้สึกเหมือนได้กลิ่นภัยอันตรายแปลกๆ บางอย่าง โดยปราศจากเหตุผลใด พอก้าวเข้ามาลึกขึ้นเท่าไหร่ ร่องรอยความหวั่นเกรงก็เริ่มเพิ่มพูนขึ้นภายในใจ
ท่ามกลางห้วงอากาศมีกลิ่นฉุนรุนแรง ดวงใจของเซียถงหดเกร็งอย่างต่อเนื่องด้วยความกลัว
อันตราย! อันตรายมาก!!
เสมือนสัมผัสที่หกบนร่างกายของนางกำลังกรีดร้องคร่ำครวญ เซียถงชะงักหยุดฝีเท้าลงฉับพลัน ดวงตาเบิกกว้างตื่นตัวเต็มที่ หันวอกแวกอยู่ไม่นิ่ง สั่นไสวกวาดมองสำรวจไปทั่วสารทิศ ทุกหนแห่งที่คิดน่าน่าสงสัยด้วยความตื่นตระหนก เว้นเสียแค่ต้นไม้ขนาดยักษ์ใหญ่และเถาวัลย์รูปทรงแปลกๆ ที่เลื้อยขวางเส้นทางเคียงข้าง ทุกอย่างก็เหมือนจะปกติดี ไม่มีสิ่งใดผิดแปลก
ทว่าอย่างไร สัมผัสที่หกบนร่างกายของนางกลับสัมผัสได้ถึง ภัยอันตรายจริงๆ! และยังรู้สึกอีกว่า ภัยอันตรายดังกล่าวกำลังเข้าใกล้เข้าเรื่อยๆ แล้ว อนึ่ง ตัวนางเองก็ยังมิทราบว่า ศัตรูที่นางกำลังเผชิญหน้าอยู่ ณ ปัจจุบัน มันคือตัวอะไร? และมีระดับความแข็งแกร่งประมาณไหน? อย่างที่เขาเคยพูดว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือสิ่งที่ไม่สามารถมองและสัมผัสเห็นได้
ความหลาดกลัวเพิ่มพูนขึ้นภายในใจเป็นเท่าทวีไม่มีสิ้นสุด เนื่องด้วยความไม่รู้
ไม่พบหรือแม้กระทั่งสัมผัสได้เลยแม้สักนิด แต่ถึงแบบนั้น เซียถงกลับสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายอย่างชัดแจ้ง ภายใต้สภาวะที่กำลังเผชิญพบกับสิ่งที่ไม่รู้ นางไม่กล้าย่างเท้าก้าวออกไปข้างหน้าแม้นสักก้าว เนื้อตัวขนลุกซู่วเสียวซ่านลามไปถึงหนังศีรษะ
“วี๊ด~”
ทันใดนั้นก็มีเสียงขลุ่ยน่าขนลุกดังขึ้นจากกลางป่า ฟังจากเนื้อเสียงของขลุ่ยให้ความหมายแก่ผู้ฟังในทางหดหู่และมืดมนที่มิสามารถอธิบายได้ออกมา เซียถงใจหายวาบตกสู่ตาตุ่มกะทันหัน ระเบิดขุมพลังแห่งขอบเขตเสาหลักฟ้าสีครามจัดจ้านเต็มพิกัดในทันใด!