ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 135 จูบนี้ (1)
ตอนที่135 จูบนี้ (1)
แววตาร้อนแรงเฉกเช่นนี้มัน…
ทันใดนั้น พวงแก้มของเซียถงพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ และนั้นยังเผยแสดงสีหน้าความเย้ายวนบนใบหน้าสวยของนางมากยิ่งขึ้น สายตาของอาหานเร่าร้อนเป็นทวีทบในทันใด
โฉมงามนางนี้ทำให้เขาหลงอยู่ในภวังค์ความมึนเมา ทั้งแก้มที่แดงก่ำดั่งถูกย้อม ดวงตาคู่ใสบริสุทธิ์เป็นประกายที่น่าหลงใหลสุดซึ้งตรึงจิต ชั่วอึดใจนั้นเอง เอาหานลุกขึ้นและตรงเข้ามาใกล้นาง ยกมือข้างหนึ่งเข้าสัมผัสไปทางใบหน้าอันทรงเสน่ห์ของหญิงสาวนางนี้โดยมิทันรู้ตัว สิ่งเดียวที่อยู่ในเส้นสายตาของเขาคือ ผิวพรรณอมชมพูดเปล่งปลั่งที่ทั้งขาวเนียนและนุ่มนิ่ม
เหลือบแลไปที่มือข้างนั้นที่เอื้อมเข้าหานาง จู่ๆสีหน้าของเซียถงพลันแปรเปลี่ยนดูเย็นชาราวกับมีธารน้ำแข็งเคลือบคลุม นางยกมือข้างขวาขึ้นปัดมืออีกฝ่ายอย่างไม่ไยดี จ้องหน้าอาหานเขม็ง กล่าวน้ำเสียงเย็นเฉียบแผดดังว่า
“ช่วยเหลือข้า ตัวข้าย่อมตอบแทน แต่หากต้องการให้ข้าตอบแทนเจ้าด้วยวิธีสกปรกเช่นนี้ เกรงว่าเจ้าคิดผิดแล้ว”
แลเห็นสีหน้าเย็นชาของหญิงสาวตรงหน้า อาหานพลันได้สติกลับคืน ตระหนักถึงเรื่องมารยาทและความถูกผิดในทันใด แต่แทนที่จะผละมือชักกลับมา หรือปริปากขอโทษสักคำ เขากลับพลิกข้อมือเบี่ยงทิศทาง เข้ากุมมือสีขาวผ่องของนางเอาไว้แน่น และกล่าวกับนางพร้อมรอยยิ้มว่า
“ข้ามิได้เป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน แต่เป็นเจ้าต่างหากที่ทำให้จิตใจของข้าสับสน พฤติกรรมและการกระทำของเจ้า มันจงใจยั่วยวนข้าเอง ดังนั้นนี่จึงมิใช่ความผิดของข้า!”
สิ้นเสียงกล่าวจบ เรียวมือสีขาวผ่องของเซียถงถูกกระชับบีบแน่น ถูกพละกำลังอันมหาศาลของอีกฝ่ายดึงเข้าหาตัวเขา ทันทีทันใด ร่างอรชรน้อยของเซียถงพลันตกสู่อ้อมแขนของอาหานฉับพลัน พอเห็นเป็นเช่นนั้น นางรีบใช้มือข้างซ้ายที่ว่าง กางนิ้วทั้งห้า พุ่งเข้าตะปบลำคอของอาหานด้วยความเร็วประดุจสายฟ้า
ทว่าอาหานกลับไม่คิดจะเลี่ยงหลบเลยแม้สักนิด ในทางตรงข้าม เขาโน้มศีรษะเข้าชิดใกล้ใบหน้าสวยของอีกฝ่าย และบรรจงประทับจูบลงบนแก้มสีแสงก่ำของเซียถง เอวทรงเพรียวบางถูกกระชับกอดไว้แน่นจากมือทั้งสองข้างของเขา เมื่อริมฝีปากประกบแนบชิดเข้ากับผิวแก้มสัมผัสละเอียดลออนุ่มนวล นิ้วทั้งห้าที่กำลังพุ่งเข้าตะปบคอของอาหานพลันหยุดชะงักลงทันที
“ปะ-ปล่อยข้า! มิเช่นนั้นข้าจะขย้ำคอเจ้าให้ขาดเสีย!”
เซียถงเปล่งคำรามลั่นเย็นชายิ่ง แต่ลึกลงไปในแววตาดวงสวยของนาง จะเสาะพบคลื่นอารมณ์บางอย่างสั่นไสวเร้นประกายอยู่ภายใน
“เจ้าเป็นอิสระแล้ว”
รอยยิ้มน้อยๆคลี่ออกกว้างจากริมฝีปากของอาหาน หลังจากพูดจบ เขาก็ขยับศีรษะเปลี่ยนทิศทางไปยังแก้มอีกด้านของเซียถง และบรรจงกดจูบประทับลงไปอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยอีกฝ่ายออกไป
ดวงตาเซียถงถึงกับเบิกกว้างโดยพลัน เรียวนิ้วทั้งห้าขยับขึ้นอีกครั้ง พุ่งเข้าตะปบลำคอของอาหานเสียงดังหมับ! ออกแรงบีบจนแน่น นางสัมผัสได้ถึงลูกกระเดือกของอีกฝ่ายที่กำลังกระตุกเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน ตราบเท่าที่นางเพิ่มแรงอีกเพียงเล็กน้อย มั่นใจได้เลยว่า สามารถบีบคออีกฝ่ายให้หักครึ่งท่อนได้แน่นอน
ชีวิตเป็นตายของอาหานคาบเกี่ยวอยู่บนปลายนิ้วมือของเซียถงเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงแบบนั้น ดูเหมือนว่าอาหานกลับมิได้สนใจเลยสักนิด ราวกับว่า ขอเพียงได้จูบสตรีงามตรงหน้า ต่อให้ต้องแลกมาด้วยความตายก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
“หากกล้าขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง ข้าจะขยี้คอเจ้าให้เละ…”
หรี่สายตาคับแคบ จับจ้องใบหน้าอันหล่อเหลาตรงหน้าตาเขม็ง เซียถงก่นเสียงเย็นกล่าวเตือนทั้งที่ภายในใจยังรู้สึกตื่นตระหนกไม่หาย
แต่ก่อนที่นางจะพูดจบด้วยซ้ำ เพราะความมันเขี้ยวหรืออย่างไรมิทราบ จู่ๆอาหานก็พุ่งเข้ามาประกบจูบลงบนริมฝีปากสีอมชมพูของเซียถงโดยตรง
นางใจเต้นโครมครามสั่นระรัวแทบไม่เป็นจังหวะในทันใด เรียวนิ้วทั้งห้าบนลำคอเริ่มโค้งกำแน่น ตราบใดที่นางออกแรงเพิ่มอีกเพียงนิดเดียว บุรุษตรงหน้านางเตรียมถึงฆาตทันที
แต่ชายผู้นี้ก็ช่วยเหลือชีวิตนางมานัดต่อนัดแล้ว นี่นางต้องการจะฆ่าอีกฝ่ายเช่นนี้จริงๆงั้นรึ? และที่สำคัญที่สุด นางไม่มีทางหนีออกไปห้วงมิติมายานี้พ้นด้วยตัวเพียงลำพังได้เลย หากหักคออีกฝ่ายให้ตายในตอนนี้ ก็เท่ากับว่าตัดโอกาสสุดท้ายที่จะหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน นี่มันคุ้มแล้วเหรอ? ในท้ายที่สุด เซียถงจำใจต้องคลายนิ้วทั้งห้าออกจากลำคอของอีกฝ่ายอย่างจนใจ ถอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความสลดเสียใจ
ทันทีที่เรียวนิ้วทั้งห้าของหญิงสาวคลายอ่อน ริมฝีปากของอาหานก็ถอนจูบออกมาเช่นกัน สีหน้าการแสดงออกดูยิ้มแย้มปนขี้เล่น เอ่ยถามขึ้นว่า
“ไม่อยากสังหารข้าทิ้งแล้ว?”
“เพราะเจ้ายังมีประโยชน์อยู่เท่านั้น แต่…”
ขณะเอ่ยกล่าว เซียถงยกหลังมือขึ้นสูงด้วยความโกรธจัด ตบหน้าอาหานเสียงดังฉะใหญ่
“เพี้ยะ!”
หลังมือฟาดประทับบนใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเอาหาน ลายนิ้วมือทั้งห้าสีแดงฉานปรากฏขึ้นในบัดดล เซียถงมองดูลายนิ้วมือเหล่านั้นบนใบหน้าอีกฝ่ายด้วยความตกตะลึง ไฉนหมอนี่ถึงไม่หลบ? แต่เลือกที่จะรับหลังมือของนางตรงๆ? อาศัยความแข็งแกร่งของอาหาน มันเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกินที่จะหลบเลี่ยงการตบหน้าของนาง ทว่าเขากลับไม่หลบ?
“ข้าสมควรได้รับแล้ว”
อาหานยกเรียวนิ้มขึ้นลูบสัมผัสลายนิ้วมือทั้งห้าสีแดงที่ร้อนฉ่าบนใบหน้า และยังคงส่งยิ้มให้แก่เซียถงที่กำลังปั้นหน้างุนงง ทั้งยังกล่าวเสริมพร้อมเพรียงน้ำเสียงไพเราะว่า
“เจ้ามิได้กระทำผิดอันใดเลย กลับเป็นฝ่ายข้าเองที่ต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่ตบหน้า”
ชายผู้นี้เพี้ยนไปแล้วรึเปล่า? เซียถงขมวดคิ้วมองใบหน้าที่เปี่ยมความสุขของอีกฝ่าย ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยกับตัวเอง นางเคยเห็นคนที่โดนตบหน้าแล้วมีความสุขขนาดนี้ที่ไหนกัน? คล้อยหลังสบสายตาจับจ้องอาหานอยู่สักครู่หนึ่ง เซียถงก็รีบร่นถอยหลังออกไปสองก้าว เว้นระยะห่างจากอีกฝ่ายเล็กน้อย
“เจ้าต้องการกระบี่ทัณฑ์ฟ้าจริงๆใช่หรือไม่?”
จู่ๆอาหานก็เอ่ยปากถามเซียถงขึ้นมา
“หากข้าบอกว่าต้องการล่ะ?”
เซียถงยังคงจับจ้องใบหน้าอาหานไม่เสื่อมคลาย และเล่นเชิงเอ่ยถามสวนกลับไป หลังจากศึกพัลวันกับอสรพิษมหึมาตนนั้น เซียถงก็ตระหนักทราบแล้วว่า อาศัยแค่ความแข็งแกร่งของนางในตอนนี้ ไม่มีวันกำราบกระบี่ทัณฑ์ฟ้าไหวแน่นอน ชั่วขณะเดียวกัน ความคิดที่จะยอมแพ้ก็เริ่มเคลือบคลานเข้าสู่จิตใจ
“ข้าสามารถช่วยเจ้ากำราบกระบี่ทัณฑ์ได้”
อาหานเงยหน้าสบตาเซียถงเป็นประกาย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาคู่สวยของเซียถงพลันสว่างวาบชั่วขณะ ก่อนจะเริ่มหม่นหมองลงอีกครา นางเลิกคิ้วเอ่ยถามปนน้ำเสียงสงสัยว่า
“คงทราบอยู่แล้วกระมัง กระบี่ทัณฑ์ฟ้าเป็นถึงยุทธ์ภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ แล้วเจ้าไม่ปรารถนาในมันหรอกรึ?”
“ข้ามีกระบี่จันทร์หิรัญอยู่แล้ว ไยต้องเอามาสะพายเพิ่มเป็นภาระ?”
อาหานตอบกลับทันที
ตามภูมิความรู้ของเซียถง กระบี่จันทร์หิรัญเป็นหนึ่งในยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เคยมีประวัติถือปรากฏขึ้นในทวีปเทียนหลาง ในด้านชื่อเสียงและอานุภาพเทียบเท่าได้กับ กระบี่ทองคำ หรือเหล็กไหลเย็นพันปี และเพราะเหตุนี้เอง เขาจึงไม่มีความต้องการในตัวกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเลยสักนิด
และด้วยความช่วยเหลือของอาหาน เซียถงมั่นใจสิบในสิบส่วนเลยว่า จะสามารถจับกระบี่ทัณฑ์ฟ้าได้อยู่หมัดแน่นอน
“เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องการสิ่งใดเป็นค่าตอบแทน?”
เซียถงเอ่ยถาม
“แค่โอสถถอนพิษที่เจ้าป้อนให้ข้ากินก็เป็นพอ”
อาหานยิ้มตอบ หางตาเรียวยาวหรี่มอง ดวงตาลึกล้ำทอแสงเป็นประกายจางอ่อนจากภายใน
ได้ยินเช่นนั้นเข้า เซียถงก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้ตนเพิ่งลอบวางโอสถพิษทะลวงไส้ให้แก่อาหานไป จะอย่างไร นางมิได้สนใจสายตาที่สื่ออารมณ์คลุมเครือเหล่านั้นของอีกฝ่ายใดๆเลย นางเอื้อมมือเข้าไปในใต้อกเสื้อ หยิบโอสถออกมาเม็ดหนึ่งพร้อมโยนให้อีกฝ่ายไปโดยตรง
“นี่คือโอสถถอนพิษ”
อาหานยกมือขึ้นคว้ารับเอาไว้ในฝ่ามือ จับจ้องไปที่โอสถเม็ดกลมผิวเรียบ เผยสีหน้าฉวนสงสัยออกมาผ่านใบหน้า เงยศีรษะเอ่ยถามขึ้นว่า
“เจ้ามอบโอสถถอนพิษตอนนี้ หรือไม่กลัวว่า ข้าจะไม่ลอบทำร้ายเพื่อแย่งชิงกระบี่ทัณฑ์ฟ้าจากตัวเจ้า?”