ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 136 จูบนี้ (2)
ตอนที่136 จูบนี้ (2)
“หากเจ้าปรารถนาที่จะครอบครองกระบี่เล่มนั้น ต่อให้ตัวเจ้าติดพิษหรือไม่ ข้าก็หาใช่คู่มือของเจ้าได้อยู่ดี นอกจากนี้ ก็ยังไม่เห็นกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเลยแม้แต่เงา ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้กังวล”
เซียถงยักไหล่ไปทีหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ หันหน้าหลบสายตาของอาหานกลับไป หากต้องเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์แห่งจักรพรรดิครามฟ้า เซียถงมั่นใจอย่างยิ่งว่า ต่อให้อีกฝ่ายจะถูกพิษรุมเร้าหนักหนาสักเพียงใด ก็สามารถฆ่านางทิ้งได้อย่างง่ายดาย
อาหานส่งยิ้มให้พลางจับจ้องไปที่แผ่นหลังของเซียถง เก็บโอสถถอนพิษเม็ดนั้นลงในใต้แขนเสื้อ จากนั้นค่อยเดินตรงไปหานางและกล่าวว่า
“เจ้าเห็นชายหนุ่มในชุดสีแดงที่ยืนอยู่บนศีรษะอสรพิษตนนั้นได้หรือ? นั่นแหละคือกระบี่ทัณฑ์ฟ้า”
ดวงตาเซียถงเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด หันขวับไปมองอาหาน สีหน้าท่าทีเปี่ยมล้นความเหลือเชื่อเกินคนา ปรากฏว่า…หลิวซูก็คือกระบี่ทัณฑ์ฟ้า?
“ยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์คือของวิเศษที่ได้ดูดซับพลังวิญญาณแห่งฟ้าดินบนผืนพิภพมาเป็นเวลานานแสนนานแล้ว ย่อมสามารถก่อกำเนิดจิตวิญญาณและร่างจิตวิญญาณขึ้นได้โดยธรรมชาติ ซึ่งเจ้าเองก็คงทราบดี กระบี่ทัณฑ์ฟ้าเล่มนั้นเป็นยุทธ์ภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เซียนบรรพกาลในยุคโบราณเคยใช้เป็นอาวุธประจำกาย ฟังว่าวิญญาณกระบี่ที่สิงสู่อยู่ในกระบี่ทัณฑ์ฟ้าแกร่งกล้ายิ่งยวด”
เมื่อเห็นเซียถงปั้นหน้าฉงนใจ อาหานจึงอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด
วิญญาณกระบี่…เซียถงค้นความทรงจำและองค์ความรู้ภายในหัวโดนไว ก่อนจะค้นพบข้อมูลดังกล่าวในทันที!
ขอเพียงแค่เป็นยุทธภัณฑ์ระดับชั้นศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไป อาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านี้ล้วนมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง ทั้งยังมีสติสัมปชัญญะรับรู้ได้ถึงกิจของโลกภายนอก และในสภาวะที่พวกมันไร้เจ้าของ มันจะจำแลงกายกลายมาเป็นร่างมนุษย์เพื่อปกป้องยุทธภัณฑ์ของตน หากผู้ใดปรารถนาที่จะขึ้นเป็นเจ้าของยุทธภัณฑ์เหล่านี้ จำเป็นจะต้องสื่อจิตถึงมันและได้รับการยอมรับก่อนเท่านั้น
ไม่ว่าจะเนื่องด้วยเหตุผลใดก็ตาม ดูเหมือนว่าตัวหลัวซูในปัจจุบันจะไม่ค่อยแข็งแกร่งเท่าไหร่นัก ส่งผลให้ไม่สามารถออกโรงสัประยุทธ์เองได้ เขาจึงเลือกที่จะใช้ขลุ่ยใบไม้เพื่อยืมพลังของอสรพิษมหึมามาช่วยสู้แทน สรุปได้ว่า หากต้องการกำราบหลัวซูให้อยู่หมัด เซียถงจำเป็นต้องเอาชนะอสรพิษมหึมาให้ได้เสียก่อน
ตั้งแต่ที่เสี่ยวฮั่วตกสู่สภาวะหลับใหล่ สติสตางค์ของเซียถงจึงไม่ค่อยอยู่กันเนื้อกับตัวนัก ทำให้นางมองข้ามหลายสิ่งอย่าง จนมิทันตระหนักสงสัยว่า แท้ที่จริงแล้ว หลิวซูก็คือจิตวิญญาณแห่งกระบี่ทัณฑ์ฟ้านี่เอง และนางค่อนข้างแน่ใจว่า ตราบใดที่สามารถเอาชนะอสรพิษมหึมาตนนั้นได้ หลัวซูเองก็น่าจะสิ้นฤทธิ์เช่นกัน คิดได้ดังนั้น เซียถงหันขวับไปมองอาหานทันที
“เรื่องจัดการกับอสรพิษตนนั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า เจ้าแค่ไปกำราบเจ้าหนุ่มนั่นให้อยู่หมัดก็พอ ร่างวิญญาณของอีกฝ่ายคล้ายว่าถูกปิดผนึกโดยบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ ส่งผลให้พลังความแข็งแกร่งไม่สมบูรณ์ เจ้าในเวลานี้ยังมีสิทธิ์เอาชนะได้อยู่”
อาหานกล่าวแจกแจนหน้าที่โดยไวราวกับสามารถมองผ่านอ่านความคิดแผนการภายในหัวของเซียถงออก
“เช่นนั้นก็เริ่มลงมือกันเถอะ”
ดวงตาคู่สวยของเซียถงเผยประกายไฟซองสุม นางพยักหน้ากล่าวตอบด้วยความตื่นเต้น
“ได้เลย!”
อาหานส่งยิ้มให้นางอีกครั้ง ยื่นเหยียดมือไปรับต่อหน้าเซียถง หวังให้อีกฝ่ายส่งเรียวมือสีขาวผ่องยื่นตอบกลับมาและออกทะยานเหินเวหาไปด้วยกัน ทว่าชั่วขณะอึดใจ เงาร่างของเซียถงไสววูบ กวาดหายไปจากจุดที่ยืนอยู่ อาหานได้แต่ยื่นมือคว้าอากาศเก้อท่ามกลางความงุนงง
“ข้าไปเองได้!”
ร่างเงาของเซียถงเคลื่อนหายออกไปกว่าครึ่งลี้ เหลียวหลังหันกลับมากล่าวกับอีกฝ่ายคำหนึ่ง คู่เท้าเปล่งแสงสีครามเข้มสาดประกายแวววับ เร่งความเร็วเต็มพิกัดพวยพุ่งเข้าสู่ป่าลึก อันตรธานหายวับไปต่อหน้าต่อตาอาหาน เหลือเพียงธารแสงสีครามจางๆ ทิ้งทวนเป็นเงาซ้อนไว้ให้
อาหานได้แต่คลี่ยิ้มอ่อนอย่างช่วยไม่ได้ หญิงสาวนางนี้ยังคงพยายามอย่างหนักเพื่อตัวของนางเอง โดยแทบจะไม่คิดพึ่งพาใครเลยจริงๆ ไม่มีลักไก่หยิบยืมกำลังคนอื่นทุ่นแรง แต่เลือกที่จะยืดหยัดด้วยลำแข้งของตัวเองทุกแห่งหน ห้วงสมองพลางครุ่นพินิจคิดไป อาหานยกปลายเท้าก้าวย่างติไล่ตามเซียถงเข้าสู่ป่าลึกทันที หากใช้พลังของเขาเหาะเหินเวหาเดินทางไป น่าจะใช้เวลาประมาณสิบนาทีเห็นจะได้ แต่การเดินเท้าเฉกเช่นนี้กลับกินเวลาไปมากถึงหนึ่งชั่วยาม
ทอดสายตามองสุดระยะพิสัย เซียถงมองเห็นภูเขาป่าดึกดำบรรพ์สีเขียวขจีซึ่งเป็นจุดที่อสรพิษมหึมาปรากฏตัวขึ้น กดสายตาเข้าพินิจโดยละเอียด นางยังเห็นดวงตาสีเขียวมรกตกลมโต เสมือนลูกไฟขนาดใหญ่สองดวงสาดกะพริบมาจากบนภูเขาดังกล่าวอีกด้วย
พอมองจากระยะไกลเช่นนี้ จะพบเห็นได้ทันทีว่า อสรพิษตนดังกล่าวมีขนาดมหึมาเพียงใด เห็นเป็นร่างยาวเป็นลำหนาสีครามประกายเขียวคดเคี้ยวเลี้ยวเก็บงำเป็นเส้นยาวกองทั่วภูเขา
เมื่อได้เห็นขนาดที่แท้จริงของอสรพิษตนนั้น เซียถงก็อดรู้สึกเสียวสันหลังมิได้ หางตายาวระหงเคลื่อนหนี เหลือบไปมองทางอาหานที่อยู่เคียงข้างอย่างอดมิได้ ใจหนึ่งแอบกังวลว่า ชายผู้นี้จะสามารถเอาชนะอสรพิษมหึมาตนนี้ได้จริงๆ หรือไม่?
“ไม่ต้องห่วงข้า เจ้างูน้อยตนนั้นหาใช่คู่มือของข้าได้เลย”
รู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้อง สีหน้าการแสดงออกของอาหานยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสดังเดิม เผยแววเร่าร้อนลุกโชนขึ้นอีกคราเมื่อสบเข้ากับใบหน้าอันงดงามของหญิงสาวตรงหน้า
อันที่จริง เซียถงมิได้กังวลเรื่องถึงเรื่องความเป็นความตายของชายผู้นี้อยู่แล้ว ห่วงเพียงว่า เขาจะไม่สามารถเอาชนะอสรพิษมหึมาตนนี้ได้ก็เท่านั้น และหากเป็นเช่นนั้น นางก็จะไม่มีทางกำราบกระบี่ทัณฑ์ฟ้าให้เชื่องได้เลย
ถอดถอนหางตาเหลือบแลกลับมา เซียถงสูดหายใจเย็นเยือบแช่มลึกลงในใจเฮือกใหญ่ ในเวลานี้ นางมิได้สนใจอาหานที่อยู่ท้ายหลังอีกต่อไป แต่พยายามกวาดสายตามองหาเงาร่างหลัวซูในชุดสีแดงบนศีรษะของอสรพิษแทน
“ไม่ต้องมองหาให้เสียเวลา หลังจากข้าเปิดศึกโจมตีอสรพิษตนนั้น วิญญาณกระบี่ย่อมต้องปรากฏตัวขึ้นเองโดยธรรมชาติ”
อาหานเอนกายเข้าแนบชิดกับแผ่นหลังของเซียถง โน้มศีรษะเปล่งเสียงแผ่วบางกระซิบข้างหูหญิงสาว และทันทีทันใด เขาก็บรรจงกดริมฝีปากจูบสัมผัสลงไปที่ติ่งหูอันแสนอ่อนนุ่มของนาง
ลมหายใจอุ่นๆ พ่นกระทบติ่งหูของเซียถงอย่างโอนอ่อน ทำเอานางสะดุ้งโหย่งกระโดดออกห่างไปหลายสิบก้าวทันควัน คล้อยหลังทรงตัวนิ่งตั้งสติได้ นางก็มองค้อนใส่อาหานสีหน้าแววตาหงุดหงิดมากโทสะ สายตาของหญิงสาวดูดุร้ายเกรี้ยวกราดราวกับต้องการจะกลืนกินร่างของอีกฝ่ายทั้งเป็น
“ก็กลัวว่าเจ้าจะไม่ได้ยินคำพูดของข้า จึงต้องเขยือบเข้าไปพูดคุยด้วยใกล้ๆ เช่นนี้”
อาหานปั้นหน้ากล่าวขึ้นอย่างไร้เดียงสา สีหน้าการแสดงออกบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาดูบริสุทธิ์ใจยิ่งยวด ราวกับว่าเขามิได้ทำอะไรผิดเลยสักอย่างในขณะนี้
แล้วมันต้องอยู่ใกล้ขนาดนั้นเชียว? และที่สำคัญริมฝีปากของหมอนั่นยังเคลื่อนมาโดนติ่งหูของนางเต็มๆ ราวกับจงใจ นี่เห็นได้ชัดเจนว่า อีกฝ่ายหวังใช้ประโยชน์ทีเผลอ แต๊ะอั๋งนางชัดๆ!
เซียถงเม้มริมฝีปากอวบอิ่มสีอมชมพูของตนไว้แน่น พยายามระงับเพลิงโทสะที่ปะทุขึ้นภายในใจอย่างสุดกำลัง
ตอนนี้ยังต้องใช้อีกฝ่ายให้ช่วยจัดการอสรพิษมหึมาตนนั้น อารมณ์เสียไปตอนนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น!
เมื่อเห็นเซียถงยืนเม้นริมฝีปากแน่น มือไม้สั่นเทิ่มเพราะต้องสะกดอารมณ์โกรธเกรี้ยว ประกายตาอาหานพลันสั่นไสว ราวกับมีดอกไม้ไฟนับพันกำลังเบ่งบานเฉิดฉายกลางนภา
เชยชมความน่ารักของเซียถงอยู่สักครู่ อาหานกล่าวขึ้นว่า
“ข้าจะเปิดฉากโจมตีอสรพิษตนนั้นทันที ส่วนเจ้ามุ่งความสนใจอยู่กับเจ้าหนุ่มชุดแดงเป็นพอ เมื่อใดที่ปรากฏตัว พยายามอยากให้อีกฝ่ายไปหาอสรพิษตนนั้นได้”
พูดจบ ประกายแสงสีเงินสว่างพราวแพรวก็ระเบิดคลั่งพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา อาหานเหินทะยานออกไปกลายเป็นลำแสงคล้ายดาวผีพุ่งไต้เสียดฟ้านภาสูงส่ง บรรลุถึงหน้าอสรพิษมหึมาบนภูเขาเขียวขจีในพริบตาเดียว ร่ายมือข้างหนึ่งยืดเหยียดออกมา ปรากฏกลายเป็นกระบี่สีเงินทอแสงระยิบระยับเล่มยาว กระชับด้ามกุมจับไว้แน่น ชั่วขณะอึดใจ คมกระบี่ยาวควงสะบัดร่ายรำ กลายเป็นลำแสงสีเงินนับหลายสิบสายเข้าจู่โจมใส่อสรพิษตนนั้นโดยตรง