ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 137 ปะทะอสรพิษมหึมา (1)
ตอนที่137 ปะทะอสรพิษมหึมา (1)
อสรพิษมหึมาเห็นว่าเป็นอาหานผู้ที่ตัดลิ้นของมันจนด้วน มันก็ฉาดฉายแววอาฆาตผ่านดวงตากลมโตสีมรกตเย็นยะเยือกออกมา เคลื่อนร่างเลื่อนเข้าประสานงานโจมตีด้วยความเกลียดชังสุดหัวใจ
หนึ่งชายปะทะหนึ่งสัตว์ร้าย พบสบกันกลางนภากาศ หนึ่งคมกระบี่โบกร่าย ท่วงท่าดั่งคมเขี้ยวสีเงินประกายสาดไสวฟันฟาดออกไป คลื่นกระบี่สีเงินเย็นเยียบหลากคลื่นระบายสุมกันเป็นหลายชั้นแซ่ซ้อนกลางอากาศ ภาพฉากในขณะนี้ช่างดูวิจิตรพิสดาร ความเร็วร่ายรำกระบี่ของอาหานนับว่าเหนือชั้นอย่างแท้จริง
เห็นว่าอาหานสามารถรับมือกับอสรพิษมหึมาตนนั้นได้ไม่ยากเย็นนัก เซียถงก็เริ่มกวาดสายตาเพ่งมอง จดจ่อไปทั่วทั้งบริเวณพฤกษาป่าไม้เพื่อจะมองหาหลิวซู ผ่านไปครู่หนึ่ง พลันค้นพบอีกฝ่ายอยู่บนซากต้นไม้ยักษ์ที่หักโค่นลงมาเพราะอสรพิษตนนั้น
เขากำลังยืนอยู่บนกิ่งไม้หักก้านหนึ่ง เงยหน้ามองไปที่อาหานที่กำลังสัประยุทธ์อยู่กับอสรพิษมหึมากลางเวหานภากาศ ผมยาวสลวยสีเงินเสมือนหลับใหลอยู่กลางแผ่นหลังอย่างเงียบงัน ประดุจแสงจันทราเย็นสีเงินที่งดงามและชดช้อย
แลเห็นเลือดสดสีแดงฉานพุ่งทะลักออกมาจากกลางศีรษะของอสรพิษ หลิวซูรีบหยิบขลุ่ยใบไม้ขึ้นมาจากใต้แขนเสื้อ นำมาแนบชิดติดกับริมฝีปากกำลังจะเป่าเรียกโดยไง ทว่าทันทีทันใด กลับมาเรียวมือสีขาวผ่องที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์เข้ามาคว้าไหล่กระตุกอย่างแรงจนเสียการทรงตัว ส่วนมืออีกข้างหนึ่ง คว้าขลุ่ยใบหน้าฉกฉวยไปจากมือของเขาโดยไว
เมื่อเหลียวหลังกลับมามอง หลิวซูก็สบเข้ากับดวงตาใสบริสุทธิ์งดงามของเซียถง
“เจ้านี่ช่างนี่รังเกียจสิ้นดี! ถึงกับต้องเรียกยอดฝีมือมาช่วยเหลือ!”
หลิวซูพยายามคว้าเอาขลุ่ยใบไม้มาจากมือเซียถงคืน และนางก็ซ่อนมันเก็บไว้อยู่ข้างหลัง ทำเอาอีกฝ่ายสบถด่าออกมาด้วยความขุ่นเคือง
ชั่วขณะที่หลิวซูโถมตัวเข้ามาหวังจะฉกฉวยขลุ่ยใบไม้คืน เซียถงใช้จังหวะนี้กระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายขึ้นมาโดยไว จับลอยค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ
“แล้วคนที่ขอยืมพลังจากอสรพิษมหึมาเพื่อจัดการข้าล่ะ? เจ้าเองก็น่ารังเกียจไม่ต่างจริงหรือไม่? หากต่อสู้กันจริงๆ แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ในจุดนี้ตัวเจ้าหาใช่คู่มือของข้าเลยไม่”
“นังหนูเหม็นสาบ เจ้ารู้อะไรหรือไม่ หากมิใช่เพราะขุมพลังความแกร่งกล้าในกายวิญญาณของข้าถูกปิดผนึก อาศัยเพียงนิ้วเดียว ข้าสามารถบดขยี้เจ้าให้เละดั่งขยะได้ทันที!”
มือไม้ของหลิวซูปัดกวาดออกไปไร้ทิศทาง เสมือนแมวที่โดนเหยียบหาง สีหน้าการแสดงออกบิดเบี้ยวน่าเกลียด จ้องตาเซียถงเขม็งด้วยความโกรธจัด
“แต่ตอนนี้กลับเป็นข้าที่สามารถบดขยี้เจ้าได้โดยอาศัยเพียงนิ้วเดียว!”
เซียถงอัดฉีดพลังลมปราณที่ฟื้นกลับมาเต็มเปี่ยมลงไปที่นิ้วทั้งห้า ระเบิดรัศมีแห่งขุมพลังขอบเขตเสาฟ้าออกมาเต็มพิกัด กระชากคอเสื้อของหลิวซูแน่น ทั้งยังกล่าวต่ออย่างเย็นชาขึ้นว่า
“ในตอนนี้ เจ้าหาใช่คู่มือของข้าอีกต่อไป ยอมจำนนแต่โดยดี แล้วข้าจะยอมปล่อยเจ้าไป”
“อย่าลำพองตนจนเกินไป! กระบี่ทัณฑ์ฟ้าจะยอมรับใช้แค่เพียงมหาอำนาจสูงสุดบนผืนพิภพเท่านั้น!”
หลิวซูตอบปฏิเสธกลับทันทีโดยไม่คิด ดวงตาสีแดงพิสุทธิ์ใสดุจมณีทับทิมของมันทวีรัศมีเกรี้ยวโกรธเข้มข้นจัด
“ข้านี่แหละจะกลายมาเป็นมหาอำนาจแห่งพิภพในภายภาคหน้า ปัจจุบันข้าอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น แต่มีระดับพลังอยู่ที่ขอบเขตเสาหลักฟ้าแล้ว ขอเพียงมีเวลามากพอในอนาคต ข้าย่อมทะลวงขึ้นกลายเป็นยอดผู้มืผู้ไร้เทียมทานได้ไม่ยาก!”
ประกายแสงที่อัดแน่นแววความมั่น ส่องสว่างสาดทะลุออกมาจากดวงตาคู่สวยของเซียถง เรียวคิ้วยาวทั้งสองเร้นแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งดั่งผู้มีชัยเหนือทุกสรรพสิ่ง สบเข้ากับดวงตาสีแดงของหลิวซูด้วยความร้อนแรงเกินควบคุม
“เจ้าไม่เบื่อห้วงมิติมายาที่ผนึกเจ้าบ้างรึไง? หรือไม่อยากออกไปผจญภัยในโลกกว้างอีกครั้ง?”
หลิวซูเหม่อมองไปที่หญิงสาวตรงหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจเกินคนา เสี้ยวอึดใจหนึ่ง คล้ายปรากฏแววความลังเลเผยสะท้อนขึ้นในดวงตาของเขา ดั่งระลอกคลื่นอารมณ์ขุมหนึ่งสั่นไสวผ่านสายตาคู่นั้น แต่ชั่วครู่ต่อมา แววความลังเลใจเหล่านั้นพลันอันตรธานหายสิ้น เขาขมวดคิ้วแน่นพ่นวาจาสบประมาทใส่เซียถงต่อไปว่า
“กระบี่ทัณฑ์ฟ้าจะไม่ยอมก้มหัวให้เด็กน้อยอย่างเจ้า! หยุดฝันได้แล้ว!!”
ทันทีที่พูดจบ หลิวซูก็หายวับไปจากฝ่ามือของเซียถง
พอนางเงยหน้าขึ้นมองอย่างร้อนใจ เป็นที่แน่นอนว่าเงาร่างสีแดงได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งบนกลางศีรษะของอสรพิษมหึมาตอนนั้น หลิวซูเหลือบมองมาทางเซียถงอยู่หนึ่งปราด คว้าใบไม้ขจีเขียวอันใหม่ขึ้นมาเป่า ท่วงทำนองเสียงขลุ่ยพิสดารดังออกมาผ่านช่องริมฝีปากของเขา
อสรพิษมหึมาที่ยามนี้ถูกอาหานสาดกระบวนโจมตีกระหน่ำใส่ไม่หยุดหย่อนจนเนื้อตัวโชกเลือดสดและแววตาที่ดูอ่อนล้า แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงขลุ้ย ดวงตาสีเขียวมรกตของมันพลันโพล่งกว้างสว่างวาบขึ้นทันใด ท่าทีที่ดูอ่อนล้าแปรเปลี่ยนไปพร้อมพลังวังชาที่กลับคืน อสรพิษมหึมาฉีกปากกว้างดั่งบ่อโลหิตคาว เปิดฉากโจมตีใส่อาหานเป็นคำรบสอง
รัศมีแสงสีเงินที่เจิดจรัสบนร่างของอาหานยิ่งทวีเข้มข้นขึ้นเป็นเท่าตัว ระดมพลังลมปราณหล่อเลี้ยงกระบี่จันทร์หิรัญในมือจนเปล่งแสงประกายเฉิดฉาย ยืนค้างเติ่งกลางเวหา กดสายตามองดูอสรพิษที่อยู่เบื้องล่างต่ำกว่าหนึ่งระดับ หันคมกระบี่เข้าจู่โจมใส่ทางหลิวซูที่ยืนอบู่บนศีรษะอสรพิษ ยิงพลังแสงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็นเข้าชนปะทะกับร่างสีแดงจนปลิวกระเด็น ในขณะเดียวกัน เงาร่างของอาหานแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสายหนึ่ง พุ่งโฉบเฉียวดิ่งพสุธาลงมาราวกับอินทรีร่อนนภา เลี่ยงหลบหางอสรพิษลำหนาที่ตวัดเข้าใส่ ฟันฟาดคลื่นคมกระบี่โจมตีซ้ำเข้าใส่หลิวซูที่กำลังเสียท่ากลางอากาศ
หลิวซูเงยมองคลื่นคมกระบี่ประกายสีเงินที่ดิ่งเข้าหา ก่อนที่ห้วงความคิดจะประมวลสิ่งใดได้ทัน คลื่นคมกระบี่ดังกล่าวก็ฟันฟาดเข้าใส่กลางลำตัวของเขาอย่างจัง แรงกระแทกอันทรงอานุภาพทำลายล้างจากกระบี่จันทร์หิรัญ ตอกอัดร่างของหลิวซูดิ่งพสุธากระแทกจมดิน แต่โชคยังดีที่อสรพิษยังใช้หางรับร่างของอีกฝ่ายไว้ได้ทันท่วงที
เพราะความช่วยเหลือของอสรพิษตนนั้น จึงช่วยลดทอนแรงกระแทกที่ตกจากที่สูงได้ไม่น้อย ร่างของหลิวซูปลิวกระเด็นดีดเด้งออกไป หมุนตลบพลิกตัวกลางอากาศ ร่อนลงพื้นได้อย่างสวยงาม แต่ยังไม่ทันจะทรงตัวยืนหยัดได้ดี เงาร่างของเซียถงปราดโฉบเข้าถึงด้านหลังของเขาเสียแล้ว ก่อนที่จะเอื้อมมือออกไปคว้าไหล่หลิวซู จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายแหกปากกรีดร้องเสียงดังสนั่น บาดแก้วหูแทบฉีกสะบั้น เซียถงตื่นตระหนกฉับพลัน รีบระดมพลังลมปราณขุมใหญ่ขึ้นมาปิดป้องใบหูทั้งสองข้างโดยไว เนื้อตัวแข็งค้างประหลาดใจ แต่จับจ้องร่างสีแดงตรงหน้าด้วยความตะลึงงัน
ผมเผ้ายาวสลวยสีเงินประดุจจันทร์เย็นทอแสงประกายกระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรง มีบางส่วนยาวห้อยลงมาปิดหน้าปิดตา
เกือบทั่วใบหน้าถูกผมเผ้ายาวปิดปกคลุม เซียถงไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ในขณะนี้ได้เลยว่า เกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย แต่นางสัมผัสได้ถึง ความหดหู่และความเสื่อมโทรมผ่านสีหน้าการแสดงออกของอีกฝ่ายชัดเจน
“เจ้า…เจ้าอะไรขึ้นกับเจ้า?”
เซียถงปั้นหน้างุนงงกับลักษณ์ท่าทางที่แปลกไปของอีกฝ่าย เฝ้ามองอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
“ผม…ผมของข้า!!”
หลิวซูแหกปากคำรามลั่นอย่างสุดจะเวทนานัก ค่อยๆ ยกมือขวาที่อุ้มชูปล่อยผมกำหนึ่งหันไปทางเซียถง ซึ่งบนนั้นปรากฏเป็นเรียวผมยาวเสมือนเส้นด้ายสีเงินสว่างที่มีบางจุดเหมือนถูกคมกระบี่ตัดออกไป
“ผม? ผมเจ้าเป็นอะไรไป?”
เซียถงเลิกคิ้วมอง เอ่ยถามออกไปอย่างว่างเปล่า จวบจนตอนนี้นางก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี ไม่ว่าจะตั้งใจมองอย่างไร ก็เหมือนจะมีปอยผมเพียงไม่กี่เส้นเท่านั้นที่ขาด
“ขาดแล้ว…”
หลิวซูกล่าวตอบพร้อมทีท่าเศร้าใจมาก คว้าปอยผมสีเงาเป็นประกายระยิบระยับจำนวนไม่กี่เส้นเหล่านั้น นำมากอดแน่บแผ่นอกแน่น และร่างก็ทรุดลงไปกับพื้นด้วยความอาลัย
ถึงกับเจียนจะเป็นลมล้มพับไปกับพื้นทั้งแบบนั้น หลิวซูยกมือทั้งสองข้างปิดบังใบหน้าเหมือนจะร้องไห้ เนื้อตัวสั่นสะท้านไม่หยุดหย่อน ราวกับเศษปอยผมจำนวนไม่กี่เส้นที่เพิ่งขาดไป มันคือเรื่องเศร้าสลดที่สุดในชั่วชีวิตที่เคยเผชิญพบมา
เซียถงได้แต่ยืนมองอีกฝ่าย พูดไม่ออกอยู่นาน กับอีแค่ปอยผมไม่กี่เส้น…ทำเอาอาการหนักปานนี้เชียว?
แสดงว่าเจ้าหนุ่มนี้ไม่รู้เลยใช่ไหมว่า เวลาผู้หญิงหวีผมแต่ละที โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีผมหลุดร่วงติดหวีออกมามากแค่ไหน?
“เจ้าไม่จำต้องเศร้าถึงปานนั้น ก็แค่ผมขาดเล็กน้อยเท่านั้น”
หลังจากยืนอึ้งอยู่นาน เซียงถงก็มิอาจทานทนเฝ้ามองต่อไปได้อีก จึงเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าอีก และย่อตัวลงกล่าวปลอบประโลมพลางลูบแผ่นหลังอย่างอ่อนโยน