ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 139 ปรับอารมณ์
ตอนที่139 ปรับอารมณ์
บริเวณที่อาหานเจาะทะลวงไปนั้นคือลิ้นสามนิ้วของอสรพิษมหึมา ซึ่งเป็นจุดตายของสัตว์เลื้อยคลานจำพวกงู อสรพิษมหึมาดีดดิ้นทุรนทุราย ร่างยาวเป็นลำหนาบิดเกลียวทรมานอยู่บนพื้นดิน สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วสารทิศผืนป่า เศษดินเศษฝุ่นฟุ้งขจร หุบเขาและธารน้ำโดยรอบสนั่นหวั่นไหว ต้นไม้ขนาดยักษ์แผ่กิ่งก้านสาขาเกินคนาจำนวนมากมายถูกโค่นลงในพริบตา ทั้งยังถูกร่างยาวลำหนาของมันกดทับ บดขยี้แหลกเละเป็นผุยผง
หลิวซูกระโดดลงมาจากศีรษะของอสรพิษตนนั้นร่อนลงสู่ภาคพื้น พยายามใช้ขลุ่ยใบไม้ในมือเป่าจ่อกับริมฝีปาก ทว่าถึงแม้เสียงขลุ่ยจะเปล่งดังเป็นท่วงทำนองต่อเนื่องเพียง แต่อสรพิษมหึมาตนนั้นกลับมิได้เชื่อฟังคำสั่งขอขลุ่ยอีกต่อไป ลำตัวขนาดมหึมายักษ์ใหญ่ยังคงดิ้นคลุกพื้นทุรนทุรายเจ็บปวด ก่อเกิดให้บรรยากาศโดยรอบมีแต่ฝุ่นฟุ้งกระจายแผดขยายกว้างไม่มีสิ้นสุด
หลิวซูเหม่อมองอสรพิษที่นอนดีดดิ้นสุดจะทนทุกข์ทรมานด้วยสายตาอันว่างเปล่า และในท้ายที่สุด มือข้างนั้นที่กำลังเป่าขลุ่ยแนบริมฝีปากก็ค่อยๆ ถถอดอนเก็บกลับลงมา ดั่งใจดวงนี้มอดไหม้เป็นผงธุลี ในขณะเดียวกัน ลำตัวขนาดยักษ์ของอสรพิษที่ยังคงทุรนทุราย พลันกลิ้งเข้ามาทับหาตัวเขา แน่นอนว่าหลิวซูย่อมสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายที่ใกล้เข้ามา อย่างไรเสีย แทนที่จะเบี่ยงตัวเลี่ยงหลบให้พ้นทาง เขากลับยืนหลับตาเฝ้ารอความตายอย่างเงียบบงัน
เสี้ยวพริบตาเดียวก่อนที่ลำตัวมหึมาของอสรพิษจะล้มทับ จู่ๆ ก็มีเรียวมือหยกสีขาวผ่องพุ่งเข้ามา คว้าคอเสื้อกระชากเข้ามากอดไว้แน่น และอุ้มทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว
เซียถงคว้าร่างพาหลิวซูหลบได้ทันท่วงที เร่งความเร็วเต็มพิกัดจนมิทันระวัง สะดุดเข้ากับตอไม้ที่โค่นถล่มขวางกั้นเส้นทาง ร่างปลิวกระเด็นไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ยักษ์อย่างแรง ยังโชคดีที่มีพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่มคอยรองรับทั้งคู่เอาไว้
นางค่อยๆ คลายอ้อมกอด มองหน้าหลิวซูที่กำลังซบอยู่ในเนินอกขาวประดุจหิมะอันนุ่มนิ่ม
หลิวซูเทน้ำหนักเอนกายล้มลงจากอ้อมอก ใบหน้าจมเข้ากับพื้นหญ้า นอนคว่ำหน้าหัวจุมดินอยู่เช่นนั้นไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
“เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง?”
เซียถงพลิกตัวหลิวซูเปลี่ยนเป็นท่านอนหงายขึ้นฟ้า ทั่วร่างตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไม่มีปฏิกิริยาขยับเขยื้อนใดๆ เลย
เห็นเป็นเช่นนั้น นางจึงขมวดวคิ้วจมลึกแทบชนกัน เขย่าไหล่อีกฝ่ายไปสองสามทีพลางเอ่ยถามต่อว่า
“เจ้าไม่บาดเจ็บตรงไหนกระมัง?”
อย่าว่าแต่เขย่าไหล่หรือยิงคำถามเรียกอีกฝ่ายต่างๆ นานา สภาพของหลิวซูในขณะนี้นอนนิ่งอย่างกับศพโดยปราศจากปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น ในท้ายที่สุดนี้ เซียถงเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเช่นกัน นอกจากเอนกายนอนอยู่เคียงข้างอีกฝ่าย เหลียวมองอยู่เป็นระยะ ขอดูหน่อยว่า อีกฝ่ายกำลังคิดอะไรกันแน่?
“เจ้าหนุ่มนี่ยังไม่ยอมจำนนต่อเจ้า?”
หลังจากนั้นไม่นาน อาหานก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเซียถง เอ่ยถามออกไปประโยคหนึ่ง พลางเหลียวสายตามองหลินซูที่ในเวลานี้พลิกตัวคว่ำหน้า นอนฝังอยู่กับพื้นดินอีกแล้ว
สภาพชุดเสื้อคลุมที่อาหานแต่งกายในตอนนี้เหมือนใหม่แกะกล่อง ปราศจากสิ่งปนเปื้อนใดๆ แม้กระทั่งฝุ่นสักเม็ด สีหน้าการแสดงออกดูสงบนิ่งอย่างมาก หากนำมาเปรียบกับสีหน้าที่ดูไม่จืดของเซียถงในปัจจุบัน อีกฝ่ายดูเหมือนเพิ่งอาบน้ำแต่งหล่อเสร็จก็มิปาน สรุปแล้วคนที่เพิ่งสัประยุทธ์เดือดกับอสรพิษมหึมาตนนั้นเสร็จหมาดๆ เป็นเขาหรือนางกันแน่?
“อสรพิษตนนั้นสิ้นใจแล้ว?”
เซียถงเอ่ยถามอาหานที่ยืนจ้องหน้าตนอยู่
ทันทีที่ได้ยินคำถามประโยคนี้ของเซียถง หลิวซูเริ่มมีปฏิกิริยาเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นจากพื้นหญ้าทันที
“มันตายแล้ว ดูเหมือนว่า อสรพิษยักษ์ตนนั้นจะเป็นสัตว์วิญญาณที่ค่อยพิทักษ์ผนึกจองจำของกระบี่ทัณฑ์ฟ้า ในยามนี้สังหารมันสิ้นแล้ว ก็หมายความว่า เจ้าสามารถนำกระบี่เล่มนั้นออกไปจากห้วงมิติมายาแห่งนี้ได้แล้วเช่นกัน”
แลมองหลิวซูที่มีท่าทีตอบสนองอยู่หนึ่งปราด อาหานพยักหน้ากล่าวกับเซียถง
ขณะที่ทั้งสองกำลังจะสนทนากันต่อนั้นเอง จู่ๆ ก็มีลมหายใจถอดถอนออกมาเฮือกใหญ่จากทางหลิวซู
“ตลอดผ่านมาที่ข้าถูกกักขังอยู่ที่นี่ ในยามเปลี่ยวเหงา ก็มีแต่สัตว์วิญญาณผู้พิทักษ์ตนนี้ที่คอยเป็นเพื่อนเล่นกับข้า”
ทั้งอาหานและเซียถงต่างหันหน้า ส่งสายตาสะท้อนแววความเห็นใจมองมาทางหลิวซูโดยพร้อมเพรียง ก่อนที่จะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้นัก สำหรับเรื่องนี้แล้วคงไม่มีอะไรต้องพูดอีกต่อไป อาหานถอดถอนหายใจเสียงอ่อน กำลังจะโน้มตัวลง นอนข้างกายหญิงสาว ต่าทว่าเซียถงกลับดีดตัวขึ้นมาอยู่ในท่ายืนเสียก่อน หันขวับสบสายตากับอีกฝ่ายราวกับมีนัยสำคัญบางอย่าง
“มีอะไรรึเปล่า?”
เผชิญกับแววตาเร้นแฝงนัยผิดวิสัยเฉกเช่นนี้ อาหานเอ่ยปากถามทันทีด้วยความประหลาดใจ
“จากนี้ต่อไป เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ห่างจากข้าเกินครึ่งลี้”
เซียถงมองค้อนใส่อีกฝ่ายไปทีหนึ่ง กล่าวออกคำสั่งด้วยสีหน้าเมินเฉยเย็นชา
“หากบังเอิญเกินขึ้นมา ข้าจะโดนอะไรงั้นรึ?”
อาหานยิ้มถามเจือน้ำเสียงกวนประสาทอยู่หนึ่งส่วน
ทว่าปราศจากสุ้มเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากทางเซียถง มีแค่เพียงใบหน้าอันเย็นชาของนางเผยปรากฏ จากนั้นก็เดินไปนั่งด้านตรงข้ามกับอาหานและหลิวซูที่กำลังนอนแผ่กายนิ่ง
อาหานยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ และนั่งลงกับพื้นหญ้า ต่างฝ่ายต่างสบสายตากันอยู่ด้านตรงข้ามกันและกัน บรรยากาศเงียบสงัด ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ ทั้งนางและอาหานต่างเบนสายตาเคลื่อนไปจับจ้องหลิวซูที่จวบจนตอนนี้ก็ยังนอนแผ่กายอยู่บนพื้นนิ่งเงียบ ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องรอให้หลิวซูปรับอารมณ์ทำใจเสียก่อน
ก็ไม่รู้หรอกว่า มันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว แต่หลิวซูก็เอาแต่นอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลย จนเซียถงค่อยๆ หมดความอดทนเต็มแก่แล้ว หากหลิวซูยังทำตัวงี่เง่าเช่นนี้ต่อไป นางคงรอไม่ไหวแล้วเช่นกัน ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นก็ปรายสายตาหันไปหาอาหานเช่นกัน แต่ก็ดันพบว่า ชายคนนี้กำลังนั่งยิ้มจับจ้องใบหน้าของนางชนิดไม่มีละสายตาออกเลย พอเห็นเป็นเช่นนั้น ก็เกรงว่าก่อนที่จะกล่าวดุหลิวซู สงสัยต้องด่าหมอนี่ก่อนสักยก
“นี่เจ้าไม่ทราบรึว่า การจ้องคนอื่นเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา มันเป็นเรื่องเสียมารยาท?”
“ข้า…อ๊ะ!! อ๊ากก…ปวดท้อง!!”
ยังไม่ทันที่อาหานจะอ้าปากพูด จู่ๆ เขาก็ล้มตัวนอนลงไปกับพื้น ยกมือทั้งสองข้างกุมหน้าท้อง ขดตัวห่อกายแน่นหนาด้วยสีหน้าเจ็บปวดแสนสาหัส
“นี่เจ้าเป็นอะไรไป?!”
เซียถงดีดตัวขึ้นจากพื้นโดยไว วิ่งเข้ามาดูอาการอีกฝ่ายทันที
“พิษ…โอสถพิษที่เจ้าเอาให้ข้ากิน…มันกำเริบแล้ว โอ๊ย…ข้าปวดท้องเหลือเกิน!”
อาหานแหงนหน้ามองไปทางเซียถงด้วยท่าทีแสนยากลำบาก เผยให้เห็นถึงใบหน้าซีดเผือดของเขาอย่างชัดเจน
“แต่ข้าให้โอสถถอนพิษแก่เจ้าไปแล้วมิใช่รึ?”
เซียถงเลิกคิ้วมอง เอ่ยถามกลับไปทันทีด้วยความสงสัย
“ข้ารีบไป…จัดการอสรพิษตนนั้นแก่เจ้า…ก็เลย…ก็เลยยังไม่มีเวลากินมัน…”
ยิ่งคุยกันนานเท่าไหร่ สีหน้าของอาหานชักไม่ค่อยสู้ดีไปทุกขณะแล้ว และขณะเดียวกัน เขาก็ควักโอสถเม็ดกลมเกลี้ยงที่เซียถงมอบให้ ยื่นให้แก่นางอยู่ตรงหน้า กล่าวต่อว่า
“ตอนนี้พิษในกายข้ากำเริบหนักแล้ว ข้า…ข้าไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะกลืนโอสถ ช่วย…ช่วยป้อนข้าที”
มือไม้ข้างที่หยิบยื่นโอสถแก่นางเริ่มสั่นเทิ่มเกินจะควบคุม ส่วนอีกข้างคว้าจับข้อมือของเซียถงอย่างไร้เรี่ยวแรง จับจ้องพร้อมสายตาเปี่ยมล้นไปด้วยประกายความหวัง
พอได้ฟังเช่นนี้ แววความวิตกกังวลบนใบหน้าของเซียถงพลันหายวับไร้ร่องรอย ทอดสายตามองไปที่อาหานอย่างเย็นชา รอดูซิว่า ยังจะพูดอะไรต่อไป
“เร็วเข้า…ข้า…ข้าไม่ไหวแล้ว…”
อาหานยังคงร้องอวดโอยไม่หยุด
ไอ้หมอนี่…
“ได้เลย”
เซียถงตอบตกลงทันที คว้าโอสถเม็ดนั้นจากฝ่ามือของอีกฝ่ายกระฉับกระเฉงรวดเร็ว ทั้งยังส่งยิ้มหวานเอ่ยขึ้นว่า
“อ้าปากสิ”
พอเห็นว่าเซียถงพูดดีด้วย อาหานพลันบังเกิดขึ้นสงสัยภายในใจทันควัน เหม่อมองรอยยิ้มหวานฉ่ำสดใสตรงหน้า ภายในใจพยายามคาดเดาจุดประสงค์ของนาง
“เจ้าไม่เชื่อใจข้าแล้วรึ?”
เซียถงลดสายตาลงเจือแววเศร้าสร้อยเล็กน้อย
“ไม่ใช่แบบนั้น! ไม่ใช่แบบนั้นเลย! ข้าเชื่อใจเจ้า!”
กล่าวจบ อาหานอ้าปากกว้างจนเผยให้เห็นฟันซี่ขาวสะอาดเรียงตัวสวยงาม
“หลับตาลง”
เซียถงขานสั่งน้ำเสียงหวาน
อาหานหลับตาลงตามคำกล่าวของเซียถงอย่างว่าง่าย บนพื้นผิวใบหน้าอันงดงามของเซียถงยังคงปรากฏรอยยิ้มหวานประดับประดา นางเห็บโอสถถอนพิษเม็ดนั้นใส่ใต้แขนเสื้และก้มตัวลงพื้นไปหยิบบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาแทน กำไว้ในมือแน่นและประเคนยัดใส่ปากของอาหานโดยตรง สัมผัสแรกคือความสาดกระด้างที่รู้สึก ตามมาด้วยรสขมปี๋เหม็นเขียวเกินบรรยาย อาหานถึงกับหน้ายู๋บิดเบี้ยวจนเสียทรง รีบโพล่งตาลืมขึ้นมองเซียถงที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาฉายแววตกตะลึงสุดขีด
นางหยิบดินมายัดใส่ปากของเขา…