ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 140 ขู่เข็ญ
ตอนที่140 ขู่เข็ญ
เซียถงมองหน้าอาหานที่กำลังตื่นตระหนกมึนงงและระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น เห็นเช่นนี้แล้ว คราวหน้าคราวหลังยังคิดจะฉวยโอกาสกันอีกหรือไม่? รอยยิ้มพิมใจของเซียถงในยามนี้ประดุจดั่งบุปผางามที่กำลังเบ่งบานอย่างเงียบๆ โลกทั้งใบถูกความอ่อนโยนเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไป
อาหานปรายสายตามองหญิงสาวตรงหน้า โดยมิได้นำพาเรื่องนี้เก็บงำมาใส่ใจ จากนั้นไม่นานเขาก็ทำในสิ่งที่นางไม่คาดคิด!
เขากลืนดินเหล่านั้นในปากลงคอไปโดยไม่มีลังเล!
“เจ้ากลืนดินเข้าไปจริงๆ เหรอ?!”
เสียงหัวเราะขำขันของเซียถงถึงกับชะงักค้าง เบิกตาโตจับจ้องอีกฝ่ายตะลึงงัน
“ข้ากลืนได้แม้แต่พิษที่เจ้าป้อน ในคราวนี้เป็นแค่ดินยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
อาหานกล่าวตอบน้ำเสียงหนักแน่น
เอ่อ…
เซียถงสมองรวนชั่วขณะหนึ่ง ได้แต่จ้องห้าอาหานแต่กลับพูดไม่ออกสักคำ เมื่อทั้งคู่สบสายตากัน ก็เป็นฝ่ายของอาหานที่นัยน์ตาค่อยๆ ทอแสงเป็นประกายสาดส่องออกมาเสมือนดาราจรัสแพรวพราว ขณะที่กำลังยื่นมือออกไปหวังเพียงจะแตะสัมผัสใบหน้างามเฉิดฉายของเซียถง นางก็หมุนตัวกลับหันหลังให้ทันท่วงที และเดินตรงไปหาหลิวซูแทน
หากเซียถงมองย้อนกลับในเวลานี้ นางจะพบว่า ทั้งสีหน้าและแววตาของอาหานฉายร่องรอยความผิดหวังออกมาเล็กน้อย ได้แต่ระบายยิ้มจางๆ กับตัวเอง กระทั่งตัวเขาก็ยังถามใจตนเองเช่นกัน ไม่รู้ว่าภาพใบหน้าของหญิงสาวนางนี้ สลักลึกตราตรึงอยู่ภายในใจของข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน?
เซียถงเดินไปหยุดอยู่ข้างหลิวซูและย่อดเข่าก้มตัวลง เฝ้ามองอีกฝ่ายที่กำลังนอนแหงนหน้าขึ้นฟ้า เหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย ประดับคู่กับผมเผ้ายาวสลวยสีเงินระยิบระยับกระจายอย่างอิสระทั่วพื้น นางเอ่ยถามขึ้นคำหนึ่งว่า
“หลิวซู เจ้าตัดสินใจได้หรือยัง? ตกลงจะติดตามเดินทางร่วมกับข้าหรือไม่?”
หลิวซูยังคงนอนแน่นิ่งอยู่แบบนั้น ทำหูทวนลมราวกับไม่เคยได้ยินคำถามของนางมาก่อน
“หากเจ้ายอมรับข้าในฐานะเจ้าของ ข้าจะไม่จำกัดอิสรภาพกับเจ้า เว้นเสียว่าในยามที่ข้าต้องการหยิบยืมพลังของกระบี่ทัณฑ์ฟ้าจริงๆ นอกจากนั้น เจ้าจะอยากไปไหนก็สามารถไปได้ทุกเมื่อ”
เซียถงพยายามกล่าวโน้มน้าวต่อไป
หลิวซูหูผึ่งขยับเล็กน้อย แต่ทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะเดิมอีกครั้ง เซียถงยังคงกล่าวต่ออีกว่า
“กระบี่ทัณฑ์ฟ้าเป็นถึงยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์สมัยบรรพกาล นี่เจ้าเต็มใจใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในห้วงมิติมายาอันน่าเบื่อเช่นนี้จริงๆ งั้นรึ? ไม่อยากออกไปท่องโลกกว้าง แสดงความเฉิดฉายให้เป็นประจักษ์ต่อทุกคนบนผืนพิภพ? บนโลกภายนอกมีอีกหลายสิ่งอย่างที่น่าสนใจกว่าในนี้มากมายนัก…”
หลิวซูนอนนิ่งอยู่บนพื้น ปราศจากปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
เซียถงร่ายยาว กล่าวร่างภาพวาดฝันต่างๆ นานาอยู่สักครู่ใหญ่ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายก็ยังนิ่งเฉยไม่สนใจใดๆ นางก็เริ่มเดือดขึ้นมา คว้ากระชากผมเผ้าสีเงินประกายสลวยขึ้นมาพันรอบแท่นแขนจนตึง แทบจะดึงหนังหัวหลิวซูหลุด
“ไอ้หลัวซู หากยังไม่ยอมจำนน ข้าจะกระชากผมของเจ้าให้หนังหัวหลุดติดออกมาด้วยเลย! อยากจะเห็นเสียเหลือเกิน จิตวิญญาณกระบี่ทัณฑ์ฟ้าหัวโล้นเนี่ย!”
“นังหนูสกปรกเหม็นสาบ! ปล่อยผมข้า! นังสารเลว!”
หลิวซูรีบเชิดหน้าสูงโหย่งตัวไปตามแรงดึง แหวกปากโวยวายสาดเสียเทเสียใส่เซียถงอย่างดุเดือด
“หากเจ้ายอมรับข้าในฐานะเจ้าของ ข้าจะปล่อยทันที”
เซียถงเหลือบหางตามองอย่างเจ้าเล่ห์นัก จงใจกระตุกท่อนแขนสูงขึ้น รวบผมสีเงินเปล่งประกายจนตึง กวาดสายตาเชยชมความเงางามของเส้นผม ส่งยิ้มบางๆ กล่าวอีกว่า
“นี่เป็นเส้นผมที่งดงามที่สุดตั้งแต่ข้าเคยเห็นมา สวยดั่งพระจันทร์สีเงินยามราตรี”
ทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของเซียถง พลันปรากฏร่องรอยความภาคภูมิใจเผยขึ้นบนใบหน้าของหลิวซู เพราะในบรรดาส่วนต่างๆ บนร่างกาย มันรู้สึกภาคภูมิใจที่สุดแล้วกับเส้นผมสีเงินสว่างแพรวพราวนี้
“แต่…”
เสมือนโดนสาดน้ำเย็นจัดอัดใส่หน้า เซียถงฉีกยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มขึ้นกว้าง กล่าวถ้อยคำฟังแล้วช่างเศร้าสร้อยว่า
“…น่าเสียดายนัก เพราะอีกไม่นานข้าก็ต้องตัดออกมาแล้ว อืม…เอามาถักทอเป็นชุดแพรพรรณมาใส่ดีหรือไม่?!”
ขณะเอ่ยกล่าว เซียถงก็ออกแรงดึงจนตึงเปรี๊ยะ ผมเผ้าเหล่านั้นถูกยืดออกเสมือนแทบขาดได้ทุกเมื่อ
“อย่า! อย่า! อย่า! ข้าขอร้อง!!”
หลิวซูถึงกับตัวเซถอยหลังเกือบล้ม หน้าถอดสีซีดเซียว เอ่ยเสียงสั่นคลอนประหม่าสุดขีด คู่คิ้วขมวดแน่นเป็นปมหนา
“เช่นนั้นก็ยอมรับข้าในฐานะเจ้านาย และจากนี้ต่อไป ข้าจะไม่แตะต้องกับเส้นผมของเจ้าอีก แต่หากเจ้าเล่นแง่เล่นกลกับข้า เตรียมตัวโล้นได้เลย!”
เซียถงหรี่ตาแคบ ทอแสงเย็นตาส่องสะท้อนออกมาบางๆ
“อย่าได้ฝัน! กระบี่ทัณฑ์ฟ้ายอมก้มหัวแค่เพียงมหาอำนาจสูงสุดแห่งผืนพิภพเท่านั้น!”
พูดจบ ร่างของหลิวซูก็อันตรธานหายวาบไปต่อหน้าต่อตา เบื้องหน้าเซียถงหลงเหลือแค่เพียงความว่างเปล่า
โอะ! ลืมไปสนิทเลยว่า เจ้าหมอนี่มีวรยุทธข้ามมิติ! เซียถงร้องอุทานขึ้นในใจ
“จ๊ากก!!?”
แต่ทันใดนั้นเอง ก็พลันได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นมาจากหลิวซูที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ใบหน้าแนบชิดติดกับกำแพงโปร่งใสเปล่งแสงสีเงินจางๆ บางเบา เมื่อหันศีรษะกวาดออกไปโดยรอบ เซียถงก็พึงตระหนักได้ว่า อาหานหยิบยืมพลังลมปราณหลอมสร้างเป็นกำแพงแสงล้อมรอบตัวนางกับหลิวซูมิให้หนีออกไปไหนภายในรัศมีที่กำหนด ต่อให้เป็นวรยุทธข้ามมิติของหลิวซู มันก็ไม่สามารถฝ่ากำแพงแสงที่ถูกสร้างขึ้นโดยยอดปรมาจารย์ระดับชั้นจักรพรรดิครามฟ้าได้
เห็นเป็นดังนั้น เซียถงรู้สึกโล่งอกโล่งใจขึ้นมาก ก้าวแช่มเดินติดตามเข้าไปใกล้หลิวซู กระชากผมสีเงินยาวสลวยของมันดึงกลับมาอีกครั้ง ก่นน้ำเสียงเย็นชาเปล่งดังขึ้นข้างหูอีกฝ่ายว่า
“เร็วเข้า จะยอมรับข้าในฐานะเจ้านาย หรือจะยอมหัวโล้นไปตลอดกาล?”
“เดี๋ยวก่อน! ข้าจะยอมรับคนที่มีคุณสมบัติ สามารถสังหารอสรพิษน้อยลงได้เท่านั้น! เจ้า! เจ้าคนนั้น! จะยอมรับข้าเป็นผู้ติดตามหรือไม่? เร็วเข้า! รีบตอบตกลง! ก่อนที่หัวข้าจะโล้น!!”
จู่ๆ หลิวซูก็เปล่งเสียงตะโกนใส่ทางอาหานทันควัน
เซียถงถึงกับใจสั่นเต้นผิดจังหวะ รีบหันขวับมองไปทางอาหานด้วยสีหน้ากังวลใจยิ่ง ชายผู้นี้เคยให้คำสัญญากับนางไว้ว่า จะไม่ลอบตลบหลังเพื่อแย่งชิงกระบี่ทัณฑ์ฟ้ามาครอบครองเป็นของตน ทว่าในปัจจุบัน กลับเป็นกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเสียเองที่เอ่ยปากร้องขอให้อีกฝ่ายยอมรับในฐานะผู้รับใช้ติดตาม ตราบใดที่เขาปริปากตกลง อภิสิทธิ์การครอบครองกระบี่ทัณฑ์ฟ้าโดยชอบธรรมจะตกเป็นของเขาทันที!
“ข้ามีกระบี่จันทร์หิรัญอยู่แล้ว ไม่ต้องการอาวุธอีกชิ้นมาแบกให้หนักเป็นภาระ”
อาหานเหลือบมองเซียถงไปทีหนึ่งและเอ่ยตอบเบาๆ กลับไป
พอได้ยินคำตอบของอาหาน เซียถงถึงกับลอบถอนหายใจโล่งอก ทั้งยังส่งยิ้มให้อีกฝ่ายเป็นการขอบคุณตอบกลับไป ถึงชายผู้นี้จะชอบฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งนางอยู่บ่อยครั้ง แต่อย่างน้อยก็เป็นคนมีคุณธรรมนำใจอยู่บ้าง และทำตามสัญญาที่ให้ไว้คำไหนคำนั้น
ความประทับใจกระแสอุ่นรินไหลผ่านเข้ามาในหัวในดวงนี้ของเซียถง บางทีในอนาคตต่อไป นางคงต้องพยายามเชื่อใจเขาให้มากขึ้นแล้ว
เซียเหลือบสายตาย้อนกลับมา จับจ้องไปที่เส้นผมยาวสีเงินสว่างไสวของหลิวซู ออกแรงดึงจนรวบตึงเปรี๊ยะอีกครา กล่าวน้ำเสียงเฉียบขาดโดยปราศจากท่าทีลังเลใดๆ ว่า
“ข้าจะนับถึงสาม หากยังไม่ยอมจำนนต่อข้า เตรียมถูกกระชากให้ขาดในคราเดียวได้เลย!”