ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 141 รับเป็นเจ้าของ (1)
ตอนที่141 รับเป็นเจ้าของ (1)
แลเห็นแสงสีประหลาดฉายแวบออกมาผ่านดวงตาสีแดงทับทิมของหลิวซู เซียถงก็ยิ่งจับจ้งออีกฝ่ายเขม็งเย็นชา กล่าวว่า
“หากเจ้ายังคิดที่จะสำแดงใช้วรยุทธ์ข้ามมิติอีก ครั้งต่อไปที่ข้าจับผมเจ้าได้…กระชากทิ้งทันที!”
ประกายสายตาของเซียถงแน่วแน่มั่นคงจนทำเอาหลิวซูเกิดอาการลังเลชั่วขณะ เป็นความจริงที่มันต้องการจะใช้วรยุทธ์ข้ามมิติหนีให้พ้นนางปีศาจน้อยคนนี้ แต่พอได้ฟังคำขู่ถึงกับประหม่าหวาดกลัวสุดขีด
“หนึ่ง… สอง… สาม…!”
เสียงนับสามเปล่งดังขึ้น พอเห็นว่าหลิวซูยังคงแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน เซียถงก็เตรียมกระชากผมฉีกออกจากหนังศีรษะทันที!
“เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน!! ที่เจ้ากล่าวว่า…จะมอบอิสรภาพแก่ข้าเป็นความจริงใช่หรือไม่?”
หลิวซูรีบยกมือขึ้นหยุดเซียถง เอ่ยปากถามขึ้นโดยไว
“เป็นความจริง”
เซียถงกล่าวตอบกลับไปทันที มองผ่านสายตาคู่สีแดงไสว แลเห็นถึงร่องรอยความลังเลไม่แน่ใจของหลิวซู
“จะยอมรับข้าหรือไม่?”
เซียถงกระตุกผมสีเงินในมือขึ้นสูงอย่างแรง ราวกับพร้อมกระชากทิ้งได้ทุกเมื่อ
หนังศีรษะถูกดึงจนตึงลามไปยังผิวหน้า แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ครั้งต่อไปนางจะไม่มีปรานีเมตตาใดๆ อีกแล้ว
“จะยอมรับข้าเป็นนายท่านของเจ้าหรือไม่?”
เซียถงเปล่งเสียงเย็นชาแผดดังกังวาน
“ตะ-ตกลง…ยอม…ยอมรับท่านเป็นเจ้านายของข้า!”
หลิวซูที่โดนกระชากผมแสนรักจนตึงเปรี๊ยะ ตกใจจนตาแทบถลนออกมาแล้ว เนื้อตัวทั่วทั้งร่างของมันสั่นเทาไม่หยุด เปล่งเสียงกล่าวยอมรับเซียถงในฐานะเจ้านายทั้งน้ำตา และพอเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่มีทีท่าที่จะปล่อยผมยาวสลวยของตนลงมา มันจึงกล่าวเสริมด้วยความเศร้าสร้อยยิ่งว่า
“จากนี้…จากนี้ต่อไป ท่านคือเจ้าของกระบี่ทัณฑ์ฟ้าที่แท้จริง”
น้ำเสียงที่ดังออกมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่ยินยอมเต็มใจปนผสมไร้หนทางที่พึ่ง แต่เซียถงกลับมิได้สนใจมันเลย พร้อมปล่อยมือออกจากผมยาวสลวย สีหน้ายิ้มแย้มดูเปี่ยมสุข
ทันทีที่เซียถงปล่อยมือ ร่างของหลิวซูก็ล้มคะมำลงกับพื้น และชั่วขณะอึดใจที่ ตัวแตะสัมผัสกับพื้นหญ้า พลันปรากฏแสงสว่างไสวสีแดงจรัสเฉิดฉายขึ้น ร่างกายมนุษย์ของหลิวซูแปรสภาพกลายมาเป็นกระบี่เล่มยาวเปล่งประกายแวววับ นอนนิ่งอย่างเงียบงันอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวขจี
นี่รึกระบี่ทัณฑ์ฟ้า? เซียถงหยิบกระบี่เล่มยาวตรงหน้าขึ้นมาด้วยความตื่นอกตื่นเต้น กวาดสายตาไล่มองตั้งแต่ด้ามจรดปลายกระบี่แหลมคมในมือไม่คลายอ่อน ใบกระบี่ทั้งเล่มเป็นสีแดงทับทิมประดุจถูกสร้างขึ้นจากอัญมณีล้ำค่า บิดพลิ้วเบี่ยงองศาเล็กน้อย คมแสงสีแดงสดใสบนใบกระบี่พลันทอแสงสะท้อนแพรวพราว และทันใดนั้นเอง บนข้อมือของเซียถงจู่ๆ ก็มีบางสิ่งคล้ายเส้นด้ายสีแดงเลื่อยชอนไชออกมาจากด้ามกระบี่ เข้าพันธนาการกับท่อนแขนของนางเอาไว้ หากพินิจมองใก้ลๆ จะสังเกตเห็นว่า ภายในเส้นด้ายสีแดงจะมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว ซึ่งนั่นคือพลังชีวิตที่กำลังโคจรหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายแผ่นท่อนแขน
เซียถงสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ สัญชาตญาณแรกคือนางต้องการปล่อยมือออกจากเจ้าสิ่งนี้โดยพลัน แต่ปรากฏว่าเส้นด้ายสีแดงเหล่านั้นกลับพันธนาการฝังลึกติดกับท่อนแขนของนางไว้แน่นหนา
“จิตวิญญาณกระบี่กำลังหลอมรวมพลังชีวิตของมันกับโลหิตในกายเจ้า และหลังจากนี้ต่อไป เจ้าจะสามารถสื่อจิตเชื่อมความคิดไปถึงจิตวิญญาณกระบี่เล่มนี้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ”
อาหานแหวกม่านกำแพงโปร่งแสงสีเงินจางๆ เข้ามา เดินตรงมาหาเซียถงพร้อมกล่าวอธิบาย
ได้ฟังดังนั้น เซียถงก็หยุดทุกอากัปกิริยาลงและปล่อยให้กระบี่ทัณฑ์ฟ้าถ่ายเทพลังชีวิตเข้ามาเพื่อหลอมรวมกับโลหิตในกายนางต่อไป กระบวนการเหล่านี้ใช้เวลาประมาณหนึ่งก้านธูปเศษ หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จสรรพ เส้นด้ายสีแดงเหล่านั้นก็ได้จางหายไป ใบกระบี่ทัณฑ์ฟ้าสีแดงสดใสสั่นสะท้อนเปล่งเสียงแหลมออกมาอย่างแผ่วเบา และทันทีทันใด ก็มีม่านแสงสีแดงสว่างไสวพุ่งออกมาจากตัวกระบี่ เข้าปกคลุมร่างกายของเซียถลอาหานโดยตรง
เมื่อม่านแสงสีแดงดับลง ตำแหน่งที่ทั้งสองคนยืนอยู่ก็ถูกเปลี่ยนกลายมาเป็นแผ่นศิลาภายในถ้ำที่คุ้นเคย เซียถงกวาดสายตามองไปโดยรอบอยู่สักครู่ ก็พึงตระหนักได้ว่า พวกเขาเดินทางกลับมายังถ้ำที่ใช้ปิดผนึกกระบี่ทัณฑ์อีกครั้งแล้ว
แต่ว่าไปแล้ว จะเก็บกระบี่ทัณฑ์ฟ้าติดกับตัวยังไงในเมื่อไม่มีฝักกระบี่? พอคิดถึงจุดนี้ นางก็พลันนึกถึงภาพฉากที่จู่ๆ กระบี่จันทร์หิรัญก็ปรากฏกายขึ้นบนมือของอาหานในระหว่างการต่อสู้ เซีถถงครุ่นพินิจถึงเรื่องดังกล่าวอยู่สักพักจนได้ข้อสันนิษฐานหนึ่งขึ้นมา จึงลองหลับตามุ่งจิตให้กระบี่เล่มนี้หายไป ซึ่งกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือของนางก็หายไปต่อหน้าต่อหน้าต่อตาจริงๆ พอมุ่งจิตให้มันกลับมา มันก็ปรากฏขึ้นอยู่บนมืออีกครั้ง
“โดยทั่วไปแล้ว ตราบเท่าที่ยุทธ์ภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ยอมรับผู้ถือครองเป็นนาย มันจะสามารถหายตัวและปรากฏขึ้นมาได้ทุกเมื่อตามคาวมประสงค์ของผู้เป็นนาย”
อาหานที่ยืนอยู่เคียงข้าง กล่าวอธิบาย
“ขอบคุณ”
เซียถงมุ่งจิตเก็บกระบี่ทัณฑ์ฟ้าให้หายไป เงยหน้ามองอาหาน ความประทับใจต่ออีกฝ่ายที่มีมาตั้งแต่แรกจนตอนนี้ฉายแววปรากฏขึ้นผ่านดวงตาคู่สวยของนางดั่งบุปผาพลิบานออกมา
แรกเห็น ประกายแสงที่จรัสจ้านับไม่ถ้วนก็รินไหลออกมาจากสายตาคู่นั้นของอาหาน มองไปที่หญิงสาวผู้ถือครองใบหน้างามประดับรอยยิ้มหวานซึ้งตรึงจิตตรงหน้า เสมือนบัวหิมะกำลังเบ่งบานขึ้นภายในใจของเขา ช่างเป็นแรงเสน่ห์หาที่สุดแสนจะดึงดูดใจอะไรปานนี้ ชั่วขณะอึดใจ ดั่งตัวของเขาได้ดิ่งสู่ภวังค์ลึกโดยมิทันรู้ตัว ก่อเกิดแรงปรารถนาอันเร่าร้อนขึ้นโดยพลัน ต้องการจะช้อนร่างอุ้มนางมากอดไว้แน่นในอ้อมแขน
“กลับกันเถอะ ไม่รู้เลยว่า ช่วงเวลาที่เราติดอยู่ในห้วงมิติมายา เวลาภายนอกมันล่วงเลยผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว อิ๋งเอ๋อร์น่าจะเป็นห่วงข้าน่าดู ต้องรีบแล้ว”
เซียถงมุ่นคิ้วครุ่นคิดอยู่กับตัวเองเล็กน้อย ก่อนเอ่ยปากเรียกให้อีกฝ่ายกลับออกไปด้วยกัน
เซียงย่างเท้าจุ่มลงในบ่อน้ำ อาหานลงมาตามลำดับ กระโดดลงไปแหวกว่ายดำลงไปในช่องทางใต้บ่อลึกที่จากกันมา ทั้งนี้คลื่นลมระลอกใต้น้ำในยามนี้ค่อนข้างสงบลงมาก ส่งผลให้เซียถงสามารถดำน้ำมุดกลับไปยังที่เดิมได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
หลังจากขึ้นจากน้ำ สิ่งแรกที่ทั้งคู่ได้ยินก็คือเสียงน้ำตกดัง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ในเวลานี้ได้กลับออกมาสู่ถ้ำชั้นนอกเป็นที่เรียบร้อย
ระหว่างทางเดินออกจากตัวถ้ำ อาหานปิดปากเงียบตลอดไม่แม้แต่ส่งสายตาปรายมองเซียถงเสียด้วยซ้ำ ทั้งยังเร่งฝีเท้าแซงหน้านาง ดูรีบร้อนราวกับพยายามหลีกหนีนางออกไป พอออกมาถึงปากถ้ำเสร็จสรรพ เขาก็เดินจากออกไปโดยตรงไม่มีแม้กระทั่งคำล่ำลา
“อาหาน!”
เซียถงกล่าวหยุดอีกฝ่ายเอาไว้
อาหานเหลียวหลังกลับมามอง เอ่ยถามขึ้นว่า
“มีอะไร? ต้องการให้ช่วยอันใดอีก?”
“เจอกันที่นี่ในอีกสิบวัน”
เซียถงกล่าวกับอาหาน วันนี้ตัวนางได้รับความช่วยเหลือจากชายผู้นี้มาตั้งมากมาย ดังนั้นนางจึงต้องการกลอมกลั่นโอสถบำรุงร่างกายดีๆ สักเม็ดมอบให้แก่เขา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าการแสดงออกของอาหานก็กลับมาสดใสร่าเริงขึ้นอีกครั้ง เขายิ้มถามขึ้นว่า
“โอ้? คิดอีท่าไหนล่ะถึงอยากเจอหน้าข้าอีก?”
ทันทีที่ดวงตาเรียวคมของเขาสัมผัสกระทบร่างอรชรเพรียวบางของเซียถง ก็พลันก่อเกิดแววความเร่าร้อนสาดสะท้อนออกมาทันใด และย่างเท้าตรงเข้าไปใกล้นาง
เซียถงหวั่นเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับสายตาอันเร้าร้อนของอีกฝ่าย ทำเอาขนลุกซูวไปทั่วร่าง อดร่นถอยก้าวกหนีมิได้ กล่าวขึ้นน้ำเสียงปนกลัวเกรงอยู่หนึ่งส่วนว่า
“เจ้าช่วยเหลือข้าก็มาก ในอีกสิบวันหลังจากนี้ ข้าอยากจะตอบแทนเจ้า”
“ตอบแทนด้วยอะไรงั้นรึ? ด้วยร่างกายของเจ้า?”
จู่ๆ อาหานก็คว้าเรียวแขนยาวของเซียถงเข้ามาทาบแผ่นอก พร้อมโน้มศีรษะหอมแก้มนางอย่างประณีตบรรจง
จากที่กลัวเกรง เซียถงรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นทันใด ยกมือทั้งสองข้างโบกสะบัดขึ้นทุบตีอีกฝ่ายพัลวันไร้ระเบียบ ผายมือเตรียมจะทุบตีได้ครึ่งทาง พลันถูกอาหานจับกุมเอาไว้แน่น ฉวยจังหวะนี้ ออกแรงเบาๆ ดึงร่างบางของหญิงสนาวเข้ามาในอ้อมแขน ระยะห่างถูกย่นจนชิดใกล้ ใบหน้าของทั้งคู่สบผสานเข้าหากันและกัน จับจ้องเซียถงพร้อมแววตาเป็นประกาย อาหานเปล่งน้ำเสียงสุดนุ่มลึก กล่าวว่า
“ก็เจ้าเป็นฝ่ายยั่วยวนข้าเอง ไยต้องโกรธโมโหร้ายกันด้วย?”