ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 142 รับเป็นเจ้าของ (2)
ตอนที่ 142 รับเป็นเจ้าของ (2)
“แม้เจ้าจะช่วยเหลือข้าเอาไว้ แต่ก็มิได้หมายความว่า เจ้าจะสามารถคิดล่วงเกินอันใดกับข้าได้ตามใจอิสระ”
เซียถงสะบัดมืออาหานหลุดออก แลมองสายตาเย็นชาปนผสมเปลวเพลิงโทสะที่ลุกโชนขึ้นผ่านดวงตาทั้งสองข้างของนาง
ชอบแสดงกิริยาสกปรกเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เห็นนางเป็นพวกขี้เล่นขี้ยั่วยวนรึยังไงกัน?
อาหานผงะไปชั่วขณะ สีหน้าเผยแววตื่นตะลึงชัดเจน ทอดสายตามองหญิงสาวเบื้องหน้า กล่าวน้ำเสียงแหบแห้งด้วยความรู้สึกผิดว่า
“ข้าขอโทษ! ข้าไม่ได้ตั้งใจยั่วโมโหเจ้า่จริงๆ!”
ไม่ได้ตั้งใจ? นี่เรียกว่าเจตนาชัดๆ!
เซียถงมองค้อนใส่อาหานไปทีหนึ่ง ทันใดนั้นเอง คล้ายกับว่านางเพิ่งนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้โดยพลัน รีบก้มศีรษะลงในทันใดเพื่อตรวจสอบสภาพร่างกาย ก่อนจะพบว่า เสื้อผ้าแพรพรรณของนางในเวลานี้เปียกชุ่มแนบติดเรือนร่างชนิดประกบแน่น จนเผยให้เห็นชุดชั้นในสีแดงปรากฏให้เห็นลางๆ นางรีบยกมือทั้งสองข้างปิดป้องอย่างรวดเร็ว โฉมสะคราญโค้งเว้าสมบูรณ์แบบ เคียงคู่มากับทรวดทรงองเอวที่เพรียวบาง เนื้อกายละเอียดสีขาวนวลประดุจหิมะนุ่มนิ่ม ยิ่งมีแสงจันทร์ฉาดฉายส่องลงมา ก็ยิ่งเพิ่มพูนเสน่ห์เย้ายวนเกินบรรยาย
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉน ชายผู้นี้ถึงต้องมองนางด้วยสายตาที่เร่าร้อนปานนั้น
เซียถงมิได้สนใจเรื่องไร้สาระเฉกเช่น เรื่องเสียผี หรือแอบเผยกายให้แก่บุรุษเพศได้เห็น เพียงว่า ปฏิกิริยาท่าทางของอาหานในตอนนี้ มันน่ากลัวจนทำเอานางอดระแวงมิได้จริงๆ
เซียถงใช้มือข้างหนึ่งปิดป้องบริเวณเอวน้อยอรชรของตน เอ่ยขึ้นว่า
“อีกสิบวันเจอกัน”
จากนั้นนางก็รีบเดินจากออกไป
กลับมาถึงสถานศึกษาเซิงหลิง นางแอบย่องเงียบเข้าห้องพักของนาง เพียงว่าบังเอิญไปเห็นอิ๋งเอ๋อร์ที่กพลังนอนร้องห่มร้องไห้อยู่บนเตียง เซียถงจึงค่อยๆ ย่างเท้าตรงเข้าไปหาและสะกิดไหล่ของนางเบาๆ กล่าวขึ้นว่า
“อิ๋งเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น? มีใครรังแกเจ้ารึ?”
ทันทีที่ได้ยินว่าเป็นสุ้มเสียงของเซียถง อิ๋งเอ๋อร์ก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจยิ่งยวด เร่งหันมากระโดดกอดเซียถงที่เนื้อตัวเปียกโชก ยกใบหน้าซุกไซร้ไปมาในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ทั้งรู้สึกคิดถึงและเป็นห่วงในเวลาเดียวกัน
“คุณหนูหายไปไหนมาทั้งคืน? ข้าวิ่งออกไปตามหาท่านทุกหนแห่งแต่กลับไม่เจอท่านเลย บ่าว…บ่าวเป็นห่วงมากจริงๆ!”
เซียถงตบหลังอิ๋งเอ๋อร์อย่างแผ่วอ่อน กล่าวปลอบโยนว่า
“ข้าสบายดี ข้าสบายดี คุณหนูของเจ้าอยู่นี่แล้ว”
“ฮึกๆ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วคุณ….”
อิ๋งเอ๋อร์ปาดน้ำตาที่รินอาบบนแก้ม พลางถอนกอดออกจากอ้อมแขนและเงยหน้าขึ้นมองเซียถง ขณะเอ่ยกล่าวได้ไปครึ่งประโยค นางถึงกับหยุดชะงักค้างฉับพลัน ดวงตาเบิกโตแทบแหก อ้าปากค้างเติ่งชนิดที่ว่าขากรรไกรแทบร่วงกราวตกกระแทกลงพื้น จากสีหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความกังวลเป็นห่วง ถูกแทนที่ด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด
“มีอะไรผิดปกติงั้นรึ?”
เซียถงเอ่ยถามขึ้นเจือสีหน้าฉงนสงสัย แต่ทันใดนั้นเอง นางก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ตนลืมแต้มยาสมุนไพรสีดำบนใบหน้าเพื่้อปกปิดรูปโฉมที่แท้จริง! นึกได้ดังนั้น นางได้แต่ส่งยิ้มแห้ง กล่าวอธิบายสัั้นๆ อย่างช่วยไม่ได้ว่า
“ลืมบอกเจ้าไป จุดด่างดำบนใบหน้าของข้าถูกรักษาจนหายแล้ว”
“ทะ-ท่าน…ท่านใช่คุณหนูเซียจริงๆ งั้นรึ?”
อิ๋งเอ๋อร์เอ่ยถา่ม ราวกับมีเครื่องหมายคำถามแขว้งค้างอยู่บนคู่คิ้วทั้งสองของนาง
“ตัวปลอมกระมัง?”
เซียถงส่งยิ้มเบาบางมอบแก่อิ๋งเอ๋อร์ สีหน้าดูขำขันที่อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาตะลึงปานนี้
อิ๋งเอ๋อร์รู้สึกเพียงว่า เบื้องหน้าของนางปรากฏเห็นเป็น สวนบุปผานับไม่ถ้วนกำลังเบ่งบานงดงาม ห้วงสมองความนึกคิดของนางพลันหยุดทำงานไปชั่วขณะ เหลือเพียงความว่างเปล่าในหัว ร่างกายแข็งทื่อกลายเป็นรูปปั้นหินแข็งในทันใด ตั้งแต่เกิดมา นางยังไม่เคยพบเห็นหญิงสาวนางใดที่ครอบครองความสวยงดงามปานนี้มาก่อนเลย อิ๋งเอ๋อร์พูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า เซียถงสวยกว่าคุณหนูรองแห่งจวนเสนาบดีเซี่ยหลายขุม
“เจ้าไม่มีความสุขเลยรึที่เห็นคุณหนูของเจ้าสวยขึ้น?”
เห็นว่าอิ๋งเอิ๋อร์ยังคงจับต้องนางตาค้างแข็งดูว่างเปล่าอยู่แบบนั้น เซียถงจึงสะกิดถามเจือน้ำเสียงเย้าหยอก
เสียงของเซียถงเปล่งดัง อิ๋งเอ๋อร์ถูกปลุกจากภวังค์ความหลงใหลในทันที หลังจากที่กวาดสายตาสอดส่องทั่วเรือนร่างของอีกฝ่ายอยู่หลายที ในที่สุดนางก็ตระหนักได้ว่า สาวงามนางนี้แหละก็คือ คุณหนูที่สุดแสนคุ้นเคยของนางจริงๆ
อิ๋งเอ๋อร์ยกมือป้องปาก สีหน้าคงร่องรอยความตื่นตะลึงไม่เลือนหาย กล่าวทั้งน้ำตาด้วยความปีติยินดีว่า
“คุณหนู…คุณหนู…ท่านในตอนนี้ช่างงดงามยิ่งนัก!”
“แต่อย่าบอกให้ใครรู้เด็ดขาดว่า รูปโฉมของข้าในยามนี้สวยสดงดงามแล้ว เพราะความงามของอิสตรีมักชักนำปัญหาไม่เข้าเรื่องมาได้เสมอ เข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่?”
เซียถงกล่าวสีหน้าเคร่งขรึม ย้ำเข้มกับอิ๋งเอ๋อร์
อิ๋งเอ๋อร์เร่งพยักหน้าตอบปั้นหน้าจริงจังขึ้นทันที
“บ่าวไม่พูดแน่นอนคุณหนู ต่อให้มีใครก็ตามเอามีดจี้คอ บ่าวก็จะไม่มีวันปริปากแพร่งพรายเด็ดขาด”
เซียถงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม พึงทราบเช่นกันว่า อิ๋งเอ๋อร์ข่านกล่าวกับนางด้วยความสัตย์จริงทั้งสิ้น
อิ๋งเอ๋อร์เลื่อนสายตาแช่มช้ามองลงไปที่แขนเสื้อของเซียถง แต่ทันทีที่เห็นบาดแผลฉกรรจ์มากมายอยู่ทั่วทั้งมือและแขน นางก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก ร้องอุทานยกใหญ่
กล่าวว่า ต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งกว่าจะปลอบขวัญอิ๋งเอ๋อร์ให้สงบลง จากนั้นเซียถงค่อยวานให้อีกฝ่ายไปเตรียมน้ำร้อนเติมลงอ่างไม้ให้เรียบร้อย ไม่นานเกินรอ อิ๋งเอ๋อร์ก็ตละเตรียมทุกอย่างเสร็จสรรพ
เซียงเดินเข้าไปปิดประตู ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกทั้งหมด และลงแช่ตัวในอ่างไม้
เซียถงนอนหลับตาสนิทสองข้างในทางที่สบายที่สุด ศีรษะพักพิงอยู่ตรงขอบถังไม้ กำลังเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาแห่งความสงบสุข ณ ปัจจุบัน แต่ทันใดนั้นเอง เปลือกตาทั้งสองพลันเปิดโพล่งขึ้นฉับพลัน ปราดพุ่งไปตรงขอบถังไม้ปลายเท้าพร้อมด้วยนิ้วทั้งห้าเข้าตะปบเงาดำตะคุม ทุกภาพฉากเกินขึ้นไวมากประดุจสายฟ้า พอคว้ามาได้ก็ส่งแรงไปที่เรียวนิ้วหยกทั้งห้าบีบคอเงาดำตรงหน้าไว้แน่น
พอควันร้อนที่อบอวลในห้องอาบน้ำเริ่มจางลง ก็เห็นโฉมหน้าของเงาดำดังกล่าวชัดเจนยิ่งขึ้น เซียถงถึงกับตะลึงงัน ปรากฏว่า อีกฝ่ายมิใช่ใครอื่นแต่เป็นชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีแดงและผมยาวสลวยสีเงินสว่าง บัดซบโดยแท้ ทีแรกนางคิดว่าเป็นพวกชายโรคจิตแอบถ้ำมองอยู่รอบหอพักศิษย์หญิง
“นี่เจ้าแอบดูข้าแช่น้ำอยู่งั้นรึ?”
ปลายคิ้วเซียถงกระตุกเต้นไม่หยุด จ้องหน้าหลิวซูตาเขม็ง
หลิวซูเหลือบสายตาปรายมองนางเล็กน้อย กล่าวปนน้ำเสียงรังเกียจว่า
“ใครจะไปโรคจิตแอบดูเจ้าแช่น้ำกัน? ข้าเพียงออกมาเดินเล่นเท่านั้น!”
จากนั้นเขาก็เหลือบมองอีกครา และกล่าวเสริมว่า
“จะอย่างไรก็เถอะ สภาพร่างกายของเจ้าตอนนี้ดูไม่ได้เลย”
เซียถงคลายนิ้วทั้งห้าออกจากลำคอของอีกฝ่าย เอนตัวกลับไปแช่น้ำดังเดิมพร้อมกล่าวว่า
“หากครั้งหน้าเจ้ายังกล้าแอบดูข้าแช่น้ำอีก ข้าจะบรรจงถอนผมที่รักนักรักหนาของเจ้าทีละเส้นเลยคอยดู!”
ช่วงท้ายทอยพักพิงกับบริเวณขอบอ่างไม้ เซียถงค่อยหลับตาพักผ่อน แต่ปากก็ยังคงขยับเปล่งเสียงต่อไป
“นังหนูเหม็นสาบ หากเจ้ากล้าถอนผมจากหัวข้า ก็อย่าได้ฝันว่าจะได้หยิบใช้กระบี่ทัณฑ์ฟ้า!”
หลิวซูลุกขึ้นยืนตรง ยกเท้าเท้าสะเอวจ้องหน้าเซียถงตาเขม็งด้วยความโกรธจัด
“หรืออยากลอง?”
เซียถงหรี่ตาข้างหนึ่งลอบมองไปที่หลิวซู เสมือนมีประกายแสงเย็นชาถูกยิงออกมาจากตาดวงนั้น
หลิวซูถึงกับเหงื่อตก กัดฟันหงุดหงิดหงุ่นง่านอยู่ภายในใจแต่ทำอะไรมิได้ มันเชิดหน้าขึ้นสูงกล่าวอย่างดื้อรั้นขึ้นว่า
“ข้าขี้เกียจเกินกว่าจะมาเสวนาไร้สาระกับหนูน้อยหนังไข่สุนัขอย่างเจ้าแล้ว!”