ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 143 ตราผนึกสองชิ้น
หนูน้อยหนังไข่สุนัข?
มุมปากเซียถงกระตุกอย่างแรง สายตาเย็นเฉียบของนางที่จ้องหลิววูเขม็งยิ่งดูน่าสะพรึงกว่าเมื่อครู่ ทำเอาตัวหลิวซูเองรู้สึกเสียวซ่านด้านชาไปทั้งแผ่นหนังศีรษะ ชักจะกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเส้นผมสีเงินสลวยของตนเต็มแก่ เขารีบยกสองมือขึ้นมาปิดป้องศีรษะโดยไว สีหน้าซีดเซียวระทึกขวัญ
เซียถงยังคงจ้องหน้าหลิวซูเขม็งไม่คลายอ่อน เพียงหนึ่งความคิดเคลื่อนขยับ ร่างของหลิวซีก็หายวับไปจากจุดที่ยืนอยู่ แปรสภาพกลายมาเป็นกระบี่เล่มแดงในมือขวาของนาง จะเห็นได้ว่า ตัวกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในเวลานี้สั่นเทาไม่หยุดราวกับกำลังเสียขวัญสั่นประสาทปนร่องรอยความไม่เต็มใจ ซึ่งเซียถงสามารถรู้สึกได้ทันทีถึงความไม่เต็มใจของตัวกระบี่เล่มนี้ที่ส่งมาหา พึงจำไว้ว่า มันยอมให้เซียถงขึ้นเป็นเจ้านายของมันโดยมิได้เต็มใจ และในอนาคตก็มีความเป็นไปได้เช่นกันที่ มันจะมีเจตนาไม่ให้ความร่วมมือแก่นางเต็มที่เท่าที่ควร
นึกได้เช่นนั้น นางก็กำกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือไว้แน่น อัดฉีดพลังลมปราณขุมใหญ่ไหลทะลักพรั่งพรูใส่ตัวกระบี่เล่มยาวที่สั่นสะท้านอยู่หลายระลอกชนิดไม่มียั้งมือ จนในที่สุดกระบี่ในมือก็ยอมศิโรราบสงบลง
ไม่ว่าหลิวซูจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม แต่มันก็ไม่มีทางเลือกให้เดินนอกเหนือจากนี้อีกแล้ว และสิ่งที่นางกระทำไปเมื่อครู่คือการป้อนพลังลมปราณให้แก่ยุทธภัณฑ์ในมือ จะว่าไปแล้วก็นึกภาพไม่ออกเลยว่า พลานุภาพของกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเล่มนี้จะทรงพลังรุนแรงเพียงใด สงสัยพรุ่งนี้คงต้องลองไปหาสถานที่เงียบสงบสักแห่งหนเพื่อทดสอบขุมพลังของเจ้ากระบี่เล่มนี้เสียหน่อยแล้ว คิดได้ดังนั้น นางก็ปล่อยให้กระบี่ทัณฑ์ฟ้าออกไปหายวับไปจากมือ
“คุณหนู เมื่อครู่ท่านกำลังสนทนาอยู่กับผู้ใดรึ?”
หลังจากที่แช่เนื้อแช่ตัวเสร็จเรียบร้อย เซียถงก็เดินออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนหนึ่ง ซึ่งอิ๋งเอ๋อร์กำลังทำความสะอาดพื้นอยู่แถวบริเวณนั้นพอดี จึงเอ่ยปากถามขึ้นชักสีหน้างุนงง เพราะตอนที่คุณหนูของนางกำลังแช่น้ำร้อนอยู่ นางเหมือนจะได้ยินสุ้มเสียงสนทนาเปล่งดังออกมาจากภายในห้องอาบน้ำ และนั่นทำเอานางอึ้งไปชั่วขระ อดสงสัยมิได้เลยว่า คุณหนูกำลังคุยกับใครในนั้น?
เซียถงมุ่นปากครุ่นคิดอยู่สักพัก และกล่าวกับอิ๋งเอ๋อร์ว่า
“อิ๋งเอ๋อร์ หากในอนาคตต่อจากนี้ เจ้าเห็นหนุ่มน้อยดวงตาสีแดงและไว้ผมยาวสีเงินเดินเพ่นพ่านก็อย่าได้ตกใจไป เขาเป็นจิตวิญญาณกระบี่ของข้าเอง และมันไม่ทำร้ายเจ้า”
เนื่องด้วยเซียถงเคยให้คำสัญญากับหลิวซูว่าจะมอบอิสรภาพแก่มัน ดังนั้นแล้ว ตัวมันเองย่อมสามารถปรากฏตัวไปที่ใดก็ได้ตามต้องการ และในไม่ช้าก็เร็ว มันจะต้องชนเข้ากับอิ๋งเอ๋อร์เข้าสักวัน ดังนั้นกล่าวทักอิ๋งเอ๋อร์บอกให้รู้ก่อนย่อมดีที่สุด
“โอ้? เจ้าค่ะ!”
อิ๋งเอ๋อร์พยักหน้าเคียงคู่ไปกับสีหน้าอันว่างเปล่า แม้นางจะไม่รู้ว่าจิตวิญญาณกระบี่ที่ว่าคืออะไร แต่อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่า สิ่งนั้นมิได้มีพิษมีภัยต่อตัวนางและตัวคุณหนูของนางแน่นอน
หลังจากอธิบายให้อิ๋งเอ๋อร์ได้รับทราบ เซียถงก็แยกย้ายเข้านอนในห้องพักใหญ่ที่อยู่ด้านในสุด นางลองสื่อจิตเรียกเสี่ยวฮั่วผ่านห้วงความคิด ทั้งยังตระหนักได้ว่า กลุ่มแสงสีม่วงในขณะนี้ได้กลับมาสว่างไสวดังเดิมแล้ว นี่เท่ากับว่า เสี่ยวฮั่วน่าจะตื่นจากสภาวะหลับแล้วเช่นกัน
“นายท่าน ข้าตื่นแล้ว”
ได้ยินเสียงเรียกของเซียถง เสี่ยวฮั่วก็ส่งเสียงตอบรับกลับมาหาทันที เหมือนกำลังจะกล่าวอะไรสักอย่าง แต่มันพลันหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเปล่งเสียงเจือร่องรอยเศร้าสร้อยว่า
“น่าเสียดายนัก จิตวิญญาณกระบี่ทัณฑ์ฟ้ายังมีตราผนึกพันธนาการเอาไว้อยู่ ส่งผลให้ไม่สามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่นี่ก็ถือเป็นโชคดีเช่นกัน เพราะหากจิตวิญญาณกระบี่เล่มนี้มิได้ถูกตราผนึก เกรงว่านายท่านเองคงไม่สามารถทำให้มันยอมจำนนได้เช่นกัน”
“มิใช่ว่าตราผนึกถูกคลายออกจากแผ่นศิลาภายในถ้ำแล้วหรอกรึ?”
เซียถงจำได้ว่า อาหานเคยกล่าวเอาไว้ จิตวิญญาณกระบี่ทัณฑ์ฟ้ามีผนึกพันธนาการติดตัวอยู่ ซึ่งการที่นางสามารถนำกระบี่ติดตัวออกจากห้วงมิติมายาได้ ก็มิได้หมายความว่า ตราผนึกที่ว่าถูกคลี่คลายลงแล้วหรอกรึ?
“กระบี่ทัณฑ์ฟ้าเล่มนี้มีตราผนึกสองชิ้นพันธนาการไว้อยู่ ชิ้นแรกคือ ผนึกแผ่นศิลาที่กักขังจิตวิญญาณกระบี่ไว้ในห้วงมิติมายา แต่เพราะในเวลานั้น ท่านได้ร่วมมือกับชายลึกลับผู้นั้นจนคลายผนึก พากระบี่ทัณฑ์ฟ้าออกมาสู่โลกภายนอกได้ แต่ก็ยังหลงเหลือตราผนึกชิ้นที่สองซึ่งติดตัวจิตวิญญาณกระบี่ทัณฑ์ฟ้าตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนวิธีคลายผนึกออกนั้นกลับยากเย็นมิใช่น้อย”
เสี่ยวฮั่วกล่าวอธิบายให้ฟัง
“แล้ววิธีที่ว่าคืออย่างไร?”
เซียถงเอ่ยถามต่อทันที
“ข้าจะบอกท่านอีกครั้งในยามที่แกร่งกล้ามากกว่านี้ ถึงแม้ปัจจุบันท่านจะสามารถคลายผนึกที่ว่าออกมาได้ แต่จิตวิญญาณกระบี่ทัณฑ์ฟ้าจะต้องพยศต่อท่านแน่นอน เนื่องจากมันมิได้เต็มใจรับใช้ท่านเป็นเจ้านาย ทันทีที่มันฟื้นคืนพลังกลับมา เกรงว่าท่านจะถูกมันฆ่าทิ้งในทันที”
เสี่ยวฮั่วกล่าว
เซียถงพยักหน้าเข้าใจ ทุกถ้อยคำที่เสี่ยวฮั่วกล่าวมาล้วนเป็นความจริง ในเวลานี้นางยังมีพลังความแข็งแกร่งไม่เพียงพอ ปล่อยให้ขุมพลังที่แท้จริงของจิตวิญญาณกระบี่ถูกผนึกต่อไปก่อนดีกว่า
“ถึงแม้ขุมพลังที่แท้จริงของจิตวิญญาณกระบี่เล่มนี้จะถูกปิดผนึกอยู่ แต่ขึ้นชื่อว่ากระบี่ทัณฑ์ฟ้า ย่อมมีพลังอำนาจเพียงพอที่จะต่อกรกับยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ในระดับชั้นเดียวกัน อย่างน้อยที่สุด ท่านก็จะไม่เสียเปรียบในด้านอาวุธแน่นอน”
เสี่ยวฮั่วกล่าวอธิบายอีกครั้ง
เมื่อได้ยินที่ว่า ภายในใจเซียงก็รู้สึกดีขึ้นมาก พูดคุยกับเสี่ยวฮั่วได้สักพัก นางก็ปีนขึ้นเตียงนอนหลับพักผ่อน และตื่นขึ้นในช่วงเช้าตรู่ สิ่งแรกที่ทำเลยก็คือ ลุกขึ้นมาป้ายยาสมุนไพรสีดำแต่งแต้มทั่วใบหน้า
“คุณหนู ท่านต้องปกปิดรูปลักษณ์ต่อไปเช่นนี้ไปตลอดเลยงั้นรึ?”
อิ๋งเอ๋อร์ปั้นหน้ารวนเร เอ่ยถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนักเมื่อได้เห็นรอยจุดด่างดำอันน่าเกลียดทั่วใบหน้าของเซียถง
เห็นได้ชัดแจ้ง คุณหนูของนางในปัจจุบันคือสตรีงามถล่มเมืองประดุจนางฟ้านางสวรรค์ แต่ไฉนถึงต้องออกไปเผชิญหน้ากับโลกอันสกปรกโสมม ภายใต้ฉายาสตรีอัปลักษณ์ที่สุดแห่งจักรวรรดิตงหลี่ด้วย? นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ไม่ยุติธรรมกับคุณหนูของนางเลยจริงๆ
“เมื่อถึงเวลาที่สมควร ข้าย่อมต้องเปิดเผยรูปโฉมที่แท้จริงให้เป็นประจักษ์ ดังนั้นแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องร้องเรียกความยุติธรรมแทนข้า”
เซียถงกล่าวปลอบใจอีกฝ่าย ย่อมทราบดีว่าอิ๋งเอ๋อร์คนนี้กำลังคิดอะไรอยู่
อิ๋งเอ๋อร์พยักหน้างึกงัก ตั้งแต่บัดนี้ นางจะตั้งตารอวันที่คุณหนูของนางเผยโฉมมาถึง อยากจะใช้รูปโฉมอันแสนงดงามนี้ ตบหน้าพวกที่เคยเยาะเย้ยดูถูกสารพัดให้สาแก่ใจ
พูดจบ เซียถงก็เดินไปทางประตูเตรียมจะออกไป แต่ยังเดินไม่ถึงด้วยซ้ำ กลับมีเสียงเคาะประตูดัง ‘ตุบ ตุบ’ ขึ้นมา ไม่สิ…ระดับความแรงที่ทำเอากลอนประตูสั่นสะท้านแทบพังออกมาเช่นนี้ น่าจะใช้ตีนถีบเลยมากกว่า…
ใครมันรีบร้อนอะไรปานนั้น?
เซียถงรีบตรงเข้าไปเปิดประตู ก่อนจะเห็นเป็นหยุนซีที่ยืนอยู่ด้านนอก และเมื่ออีกฝ่ายค้นพบว่า คนที่มาเปิดประตูให้เป็นเซียถง หยุนซีก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาชั่วขณะ ยืนกอดอก กวาดสายตาเหล่มองหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ท่านอาจารย์หยุนซี มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่?”
หยุนซีเอ่ยปากถามหยุนซี
“สองวันที่ผ่านมาเจ้าหายตัวไปไหน? บ่าวรับใช้ของเจ้าวิ่งวุ่นตามหาไปทั่วราวกับเป็นบ้าไปแล้ว”
หยุนซีกล่าวตอบ ทว่าสายตายังคงจับจ้องเซียถงไม่คลายอ่อนลงเลย
“มีธุระส่วนตัวเล็กน้อยเท่านั้น แต่จะว่าไป…ข้าหายไปตั้งสองวันเชียว?”
เซียถงย่ำเสียงเข้มกับประโยคท้ายหลังขึ้นเล็กน้อย
หยุนซีพยักหน้า เหลือบสายตาเคลื่อนหยุดลงที่มือทั้งสองข้างของเซียถงที่ถูกพันแผลด้วยผ้าขาวเป็นชั้นหนา กล่าวอีกว่า
“เช่นนั้นค่อยไปรับสารภาพที่หลังโทษฐานที่ทำให้สถานศึกษาเกิดเหตุวุ่นวาย แล้วอย่าหายตัวไปโดยไม่บอกกล่าวใครอีก เพราะนี่อาจทำให้สถานศึกษาเสื่อมเสียชื่อเสียงได้”
“ภาพลักษณ์ของสถานศึกษาสำคัญกว่าชีวิตของคุณหนูอีกรึเจ้าค่ะ?”
จู่ๆ อิ๋งเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังเซียถงก็เปล่งเสียงตอบโต้สวนหยุนซีกลับมาทันที
หยุนซีมิได้ปริปากตอบใดๆ เพียงปรายสายตาสีดอกท้อคู่สวยใส่ทางอิ๋งเอ๋อร์ไปทีหนึ่ง ทอประกายสีเย็นยะเยือกแฝงภัยคุกคามอยู่อัดแน่น ทำเอาอิ๋งเอ๋อร์เนื้อตัวสั่นเทาโดยมิอาจจะควบคุม รีบก้มหน้าก้มตาลงและไม่ส่งเสียงใดๆ ขึ้นมาอีกเลย
“ศิษย์เข้าใจแล้ว”
เซียถงขยับตัวเข้ามาบดบังรัศมีสายตาของหยุนซีที่จับจ้องใส่อิ๋งเอ๋อร์อย่างใจเย็น