ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 144 ค่าหัว
ตอนที่144 ค่าหัว
“เช่นนั้นข้าขอตัวไปแช่อ่างสมุนไพรบุปผาดีกว่า นานมากแล้วที่มิได้ลงแช่ด้วยสมุนไพรบุปผา วันนี้ตั้งใจว่าจะลงอ่างไปแช่เนื้อแช่ตลอดช่วงเช้า”
หยุนซีถอดถอนสายตาและรัศมีแรงกดดันทั้งหมดคลี่คลายออกมา หมุนตัวกลับและเดินจากออกไปพลางบิดขี้เกียจไปทีหนึ่ง
ปรากฏว่าหยุนซีมาที่นี่เพราะเป็นห่วง กลัวว่าเซียถงยังกลับมาเท่านั้น แต่เมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ของนางปลอดภัยดี จึงเดินจากออกไปโดยตรงและไม่พูดพร่ำอันใดอีก มองดูแผ่นหลังของหยุนซีที่เคลื่อนจากออกไป เบื้องลึกภายในจิตใจของเซียถงรู้สึกได้ถึงกระแสความอบอุ่นที่ส่งผ่านเข้ามาจากใจสู่ใจ
“คุณหนู อาจารย์หยุนซีท่านนี้เป็นคนจิตใจเหี้ยมโหดโดยแท้ เมื่อวานที่บ่าวออกตามหาท่านรอบสถานศึกษา ก็สัมผัสได้เลยกันว่า อาจารย์หยุนซีท่านนี้แอบเฝ้าติดตามมาโดยตลอด แถมยังออกมาบอกอีกด้วยว่า บ่าวทำให้ภาพลักษณ์ของสถานศึกษาต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ขูดรีดข้าไปสองเหรียญทอง!”
เมื่อเห็นหยุนซีจากออกไปลับสายตาแล้ว อิ๋งเอ๋อร์จึงค่อยปริปากบ่นพึมพำเจือทีท่าหงุดหงิด
จู่ๆ เงินจำนวนมากถึงสองเหรียญทองก็หลุดลอยหายไปโดยไม่ทันรู้ตัว ความขื่นขมนี้ยังคงฝังลึกอยู่ในใจของนางจวบจนวันนี้
“หากคราวหน้าคราวหลัง อาจารย์หยุนซีพยายามใส่ความยัดข้อหาให้เจ้าเสียเงิน เจ้าไม่จำต้องพูดอันใด จ่ายไปตามที่นางร้องขอได้เลย”
เซียถงหันหน้ามากล่าวกับอิ๋งเอ๋อร์
“อ่า?”
ดวงตากลมโตของอิ๋งเอ๋อร์เบิกกว้าง จับจ้องมาทางเซียถงด้วยความเจ็บปวดหัวใจ ถึงแม้คุณหนูของนางจะมีเงินมีทองใช้ไม่ขาดมือแล้วในยามนี้ แต่ก็ไม่ควรสิ้นเปลืองจนเกินตัวจริงหรือไม่?
“อิ๋งเอ๋อร์ เจ้านำเหรียญทองไปซื้อเสื้อผ้าแพรพรรณที่ถักทอจากผ้าไหมชั้นเยี่ยมมาใส่สักสองสามชุดเถอะ ขอเพียงเจ้ารู้สึกชอบ อย่าไปสนใจเรื่องราคา ข้าอนุมัติให้ซื้อได้เลย”
เซียถงเหลือบสายตาจับจ้องไปที่ชุดเสื้อผ้าเนื้อกระสอบหยาบบนเรือนร่างของอิ๋งเอ๋อร์อยู่สักพัก ถึงค่อยเอ่ยกล่าวออกมา
แม้ว่านางจะมอบเหรียญทองให้แก่อิ๋งเอ๋อร์ไปจำนวนมากมาย ทว่าสาวน้อยนางนี้ก็ยังใช้ชีวิตสมถะและประหยัดแทบทุกระเบียบนิ้ว
“คุณหนู! ไม่ได้นะเจ้าค่ะ…”
อิ๋งเอ๋อร์รีบตอบปฏิเสธออกไปทันควัน แต่ถูกเซียถงพูดแทรกขัดสวนทันที
“ข้าจะกลับมาหาในตอนกลางคืน และจะรอดูชมเสื้อผ้าชุดใหม่ของเจ้า”
เซียกล่าวกลัวว่า สาวน้อยนางนี้จะลังเลจนไปเลือกซื้อชุดราคาถูกมาใส่แทน ดังนั้นก็เลยกล่าวเสริมขึ้นต่อว่า
“เนื้อผ้าต้องเป็นไหมเท่านั้น”
เซียถงเดินจากหอพักภายใต้สายตาคู่สั่นไสวของอิ๋งเอ๋อร์ที่เผยให้เห็นถึงคลื่นอารมณ์ต่างๆ มากมายส่องสะท้อน เมื่อมาถึงโรงอาหาร นางก็นั่งประจำที่พลางเคี้ยวซาลาเปาลูกอุ่นๆ ในมือ ในเวลาแบบนี้พลันอดคิดถึงซีหมิงเยว่ขึ้นมามิได้ มิทราบเลยว่า ปัจจุบัน ฉีหมิงเยว่ไปอยู่ที่ไหนแล้ว? เพราะอย่างไร นางประสบความล้มเหลวสำหรับภารกิจในการหลอกล่อองค์รัชทายาท และในความคิดของนาง บางทีย่าเฟิงอาจพาฉีหมิงเยว่ออกจากจักรวรรดิตลงหลี่ไปแล้ว และน่าจะกำลังมองหาองค์รัชทายาทคนใหม่เพื่อดำเนินการหลอกล่อต่อไป
เมื่อนึกถึงภาพฉากในป่าค่ำคืนนั้นที่ฉีหมิงเยว่เผยสีหน้าการแสดงออกอันสิ้นหวังออกมา เซียถงก็ถอนหายใจสุ้มเสียงยืดยาวออกมา เห็นได้ชัดแจ้งว่า ฉีหมิงเยว่เป็นหญิงสาวที่มีจิตใจอ่อนโยนเกินกว่าจะมาทำเรื่องอะไรพวกนี้จริงๆ
อาลัยนึกถึงอีกฝ่ายขึ้นมา เซียถงก็พลันเหลือบสายตาหันออกไปมองทางหน้าต่างโรงอาหารบานนั้นโดยมิตั้งใจ และเมื่อเคลื่อนสายตามองไปทางนั้น นางก็บังเอิญสบเห็น เงาร่างสีขาวบริสุทธิ์กำลังยืนอยู่ใต้ร่มเงาต้นบุปผาจากระยะไกล ซึ่งอีกฝ่ายกำลังจับจ้องมาทางนี้เช่นกันด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
“พี่ใหญ่”
เซียถงร้องอุทานเสียงต่ำเบาๆ ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ยาวและเดินจากโรงอาหารโดยไว ตรงไปหาเซี่ยหลู่เฟิงอย่างรวดเร็ว ถึงจะหยุดลงต่อหน้าอีกฝ่ายแล้วก็ตาม ทว่าก็ยังเห็นว่าเขาเอาแต่เงยหน้าจับจ้องหน้าต่างบานนั้นของโรงอาหารไม่เสื่อมคลายประดับพร้อมรอยยิ้มสีจาง มุมปากกระตุกเชิดอ่อน คู่คิ้วแข็งค้างเสมือนตกลงสู่ภวังค์ไปชั่วขณะหนึ่ง
หน้าต่างบานนั้น… หันมองติดตามทิศที่สายตาของอีกฝ่ายจับจ้อง เซียถงพึงจำได้ทันที นี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยหลู่เฟิงกับฉีหมิงเยว่สบตากันและกันผ่านหน้าต่างบานนี้
“พี่ใหญ่”
ยืนอยู่ต่อหน้าเซี่ยหลู่เฟิงอยู่สักครู่ เห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะถอดถอนสายตาออกมาเสียที เซียถงจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้เสียงเรียกอีกฝ่าย
เซี่ยหลู่เฟิงเร่งถอดถอนสายตากลับออกมาโดยไว มองไปทางเซียถงที่โผล่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า พอเห็นว่า น้องสาวคนนี้จ้องตนไม่กะพริบแถมยังมองด้วยสายตาแปลกๆ เขาก็รู้สึกราวกับมีไข้รุมๆ ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นเล็กน้อย ร้อนตัวรีบกล่าวปัดอย่างตื่นตระหนักขึ้นทันทีว่า
“เปล่า เปล่า ข้ามิได้ทำอะไร เพียง…เพียงชมทิวทัศน์เท่านั้น”
“ข้ายังไม่ได้ถามท่านเลยสักคำว่าทำอะไรอยู่? ไฉนถึงร้อนตัวร้อนใจรีบกล่าวอธิบายปานนี้?”
เซียถงเลิกคิ้วกระตุกขึ้นมองอีกฝ่าย ทันทีทันใดพลันเผยปรากฏรอยยิ้มแปลกๆ ผุดขึ้นมาบนมุมปาก
“เอ่อ…งั้นรึ งั้นรึ ฮ่าฮ่า”
เซี่ยหลู่เฟิงยกมือเกาศีรษะมีท่าทีประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะกล่าวตอบตามน้ำแบบขอไปที
“เกิดอะไรขึ้นกับสถานศึกษาหรือไม่? ท่านถึงมาที่นี่?”
เซี่ยหลู่เฟิงเงยหน้าขึ้นสบตากับเซียถงอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าแววตาสั่นไสวดูลังเลใจและในที่สุดก็ยอมปริปากถามขึ้นว่า
“หมู่นี้เจ้าพบเห็นฉีหมิงเยว่บ้างหรือไม่?”
“ไม่เลย”
เซียถงส่ายหัวตอบ เนื่องจากครั้งล่าสุด ฉีหมิงเยว่ถูกย่าเฟิงนำตัวจากออกไป ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีโอกาสได้พบเจอกันอีกเลย
“ข้าไม่รู้ว่าพวกนางในตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว บางทีอาจลี้ภัยออกจากจักรวรรดิตงหลี่เป็นที่เรียบร้อย”
ได้ฟังคำตอบจากปากเซียถง ดวงตาคู่คมเข้มของเซี่ยหลู่เฟิงฉายแววผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน กล่าวน้ำเสียงเศร้าสร้อยออกมาประโยคหนึ่ง
“ลี้ภัย? เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นกันแน่?”
เซียถงเงยหน้าจับจ้องอีกฝ่ายและเอ่ยถามทันที
“ฝ่าบาทตั้งค่าหัวประกาศจับนางกับหญิงชรานิรนามคนนี้ในจำนวนเงินที่สูงมาก ตราบเท่าที่พวกนางยังอยู่ในจักรวรรดิตงหลี่ จะต้องมีนักล่าฆ่าหัวจำนวนมากที่ตามล่าทั้งสองกันให้ควั่ก”
เซี่ยหลู่เฟิงกล่าวขึ้น สีหน้าการแสดงออกดูกังวลใจอย่างมาก
ฝ่าบาทได้ดำเนินการตั้งค่าหัวนำจับฉีหมิงเยว่และย่าเฟิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว? แต่จะว่าไป…ในวันนั้น ย่าเฟิงทั้งทรมานและทำร้ายร่างกายไป๋หลี่เย่สารพัดจนเกือบตาย คงเป็นเรื่องแปลกมากกว่า หากฝ่าบาทตัดสินใจไม่ออกประกาศจับและตั้วค่าหัวเช่นนี้
“ข้าคิดว่า พวกเขาน่าจะทิ้งจักรวรรดิตงหลี่ไปแล้ว”
เซียถงยกมือขึ้นกอดอกครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะกล่าวตอบออกไป
“ไม่จำเป็นต้องคาดเดาให้เสียเวลา”
จู่ๆ เซี่ยหลู่เฟิงก็ส่ายหัว คู่คิ้วถักแน่นขมวดแทบชนกัน
“ท่านรู้ได้อย่างไร?”
เซียถงเอ่ยถามอย่างสงสัย
เซี่ยหลู่เฟิงยื่นกำมือซ้ายออกมา สายตาคู่นั้นสบเข้ากับเซียถงและค่อยๆ คลายนิ้วทั้งห้าออก เผยให้ถั่วสีแดงขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนฝ่ามือต่อหน้าต่อตานาง
“นี่คือ…?”
เซียถงกะพริบตาปริบมองหน้าเซี่ยหลู่เฟิงดั่งมีเครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
“ถั่วเซียงซี สมบัติประจำจักรวรรดิหรูหราน”
เซี่ยหลู่เฟิงเคลื่อสายตาลงมองถั่วขนาดเล็กสีแดงในมือ คู่คิ้วของเขายิ่งขมวดแน่นติดกัน
เซียถงเงยหน้ามองอีกฝ่าย รอฟังเขาอธิบายต่อ