ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 145 ยั่วโมโห (1)
ตอนที่145 ยั่วโมโห (1)
“ข้าเคยเห็นของสิ่งนี้ในยามที่เป็นทูตเดินทางไปยังจักรวรรดิหรูหรานเพื่อสัมพันธ์มันตรี ถั่วเซียงซีมีสรรพคุณเสริมสร้างธาตุหยินหยางแก่เพศชายหญิงที่สูงมาก ฟังว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกอีกฝ่ายป้อนถั่วเซียงซีเข้าปาก คนๆ นั้นจะตกหลุมรักแก่ผู้ที่ป้อนสุดหัวใจ หลับตาฝันก็ยังเห็นใบหน้าของผู้ที่ป้อนถั่วเม็ดนี้เข้าไปชนิดที่ว่าไม่มีทางลืมเลือนเสมือนโดนทำของใส่ ส่วนใหญ่ถั่วเซียงซีจะถูกใช้ในทางการเมืองเพื่อแย่งชิงอำนาจ”
เซี่ยหลู่เฟิงกล่าวอธิบาย ทั้งยังเผยร่องรอยความเจ็บช้ำปรากฏขึ้นผ่านสายตาคู่คมเข้มของเขาอีกด้วย
“ถั่วเซียงซีเม็ดนี้…หรือว่าฉีหมิงเยว่จะเป็นคนทำตกเอาไว้?”
เซียถงสบสายตามองเซี่ยหลู่เฟิงด้วยความเห็นอกเห็นใจแทน ไม่เพียงแค่ยามนี้ อีกฝ่ายต้องมาคอยเป็นกังวลในเรื่องความปลอดภัยของฉีหมิงเยว่เท่านั้น แต่ยังต้องมาคิดหนักเกี่ยวกับเรื่องถั่วเซียงซีที่ตกออกมาจากตัวนางเม็ดนี้อีกด้วย
เซี่ยหลู่เฟิงพยักหน้าตอบ ในคราวนี้เผยแววความเจ็บปวดรวดร้าวสะท้อนผ่านดวงตาของเขาอย่างชัดแจ้ง
ตั้งแต่วันนั้น หลังจากที่เขาบังเอิญไปเห็นถั่วเซียงซีเม็ดนี้ร่วงตกลงมาจากตัวฉีหมิงเยว่ในขณะที่ย่าเฟิงพาหนี หัวใจของเขาแทบแตกสลายในทันที ปรากฏว่าหญิงสาวผู้อ่อนโยนนางนี้เป็นถึงองค์หญิงแห่งจักรวรรดิหรูหราน!
หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ในวันนั้น จุดประสงค์ที่แท้จริงของนางก็คือ การหลอกล่อให้องค์รัชทยาทกลืนถั่วเซียงซีลงไป? นั่นหมายความได้ว่า เป้าหมายที่นางเข้ามาในสถานศึกษาก็เพื่อหาโอกาสใกล้ชิดกับองค์รัชทายาทมาโดยตลอด? และทั้งหมดก็เพื่อหยิบยืมขุมพลังอำนาจของจักรวรรดิตงหลี่ภายใต้อิทธิพลขององค์รัชทายาทในการฟื้นฟูจักรวรรดิหรูหรานให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง?
เซี่ยหลู่เฟิงคิดได้เช่นนั้น มันก็อดนึกย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อนมิได้ เพราะเมื่อสามปีที่แล้ว เขาได้รับการแต่งตั้งให้ไปเป็นทูตที่ต้องเดินทางเข้าไปสายสัมพันธ์กับจักรวรรดิหรูหรานพอดิบพอดี แต่เมื่อเดินทางไปถึง เซี่ยหลู่เฟิงก็พบว่า จักรวรรดิหรูหรานถูกกองทัพจากภูมิภาตตะวันตกเข้าโจมตีและรุกรานอย่างหนัก ส่งผลให้จักรวรรดิหรูหรานได้ล่มสลายลงในท้ายที่สุด แต่โชคยังดีที่เขาไปช่วยองค์หญิงแห่งหรูหรานท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายได้ทันท่วงที สืบเนื่องให้นางรอดพ้นจากความตายได้อย่างปาฏิหาริย์
ในครั้งหนึ่ง เขาเคยกล่าวกับองค์หญิงผู้สิ้นหวังท่านนั้นไว้ว่า
“รอข้าอยู่ที่นี่ก่อน อีกไม่นานข้าจะกลับมาและพาท่านออกไปแน่นอน”
เพราะก่อนที่เขาจะเอ่ยประโยคนั้นขึ้นมา องค์หญิงผู้มีเนื้อตัวเปียกชโลมไปด้วยเลือดสีแดงฉานเอาแต่จับมือของเขาไว้แน่นไม่ปล่อย ราวกับว่า ความหวังทั้งหมดที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้จะสูญหายไปทันทีหากปล่อยมือจากเขาไป จนท้ายที่สุด เซี่ยหลู่เฟิงไม่รู้จะทำอย่างไร จึงกล่าวประโยคนี้ขึ้นมา
สายตาคู่งดงามทว่าหม่นประกายแสงขององค์หญิง เอาแต่จับจ้องมาที่เขาไม่กะพริบ คล้ายกับว่าพอเข้าใจอะไรขึ้นบ้าง แววความฉลาดฉาดฉายสว่างวาบอยู่ครู่หนึ่ง และนางถึงจะยอมปล่อยมือที่รั้งไว้แน่นออกมา
องค์หญิงผู้ไร้ซึ่งความหวังดูเหมือนจะเชื่อใจในตัวเขา แต่จะอย่างไรนี่เพิ่งเป็นครั้งแรกเท่านั้นที่ทั้งสองได้พบหน้าเจอกัน และเนื่องจากใบหน้าของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดทั่วทุกจุด เซี่ยหลู่เฟิงก็เลยมองเห็นโฉมหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดเจนเท่าที่ควร
แม้ว่าจะมองโฉมหน้าไม่ชัดแจ้ง แต่ดวงตาที่สิ้นหวังและเศร้าหมองคู่นั้น กลับยังสลักฝังลึกอยู่ภายในจิตใจของเขาเสมอมา มันคือความสิ้นหวังที่ปราศจากที่พึ่งใดอีกแล้วบนผืนพิภพ เป็นความเศร้าหมองประดุจเหลืออยู่เพียงลำพังในโลกอันกว้างใหญ่ ไม่ว่าใครได้พบเห็นต่างต้องรู้สึกหดหู่อย่างที่สุด
และต่อมาเขาก็พลาดสัญญานัดหมายกับอีกฝ่าย…
ทุกความคิดที่เคลื่อนขยับ คู่คิ้วของเซี่ยหลู่เฟิงยิ่งขมวดคิ้วแน่นจนเผยปรากฏรอยยับย่นลึกขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าซีดขาวอ่อนลงอย่างไร้เหตุผล ร่องรอยความเจ็บปวดที่สุดจะบรรยายส่งสะท้อนออกมาจากนัยน์ตาของเขาชัดเจนจนสังเกตได้โดยง่าย
“พี่ใหญ่! พี่ใหญ่!”
เซียถงเรียกเซี่ยหลู่เฟิงอยู่หลายครา ทั้งสีหน้าน้ำเสียงค่อนข้างกังวล
เซี่ยหลู่เฟิงสะดุ้งเฮือกฟื้นคืนจกาภวังค์ความรู้สึก เร่งกักขังความทรงจำสีเลือดเหล่านั้นกลับลงสู่ก้นบึ้งของจิตใจ สีหน้าการแสดงออกมวลรวมค่อยๆ กลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
“นี่สำหรับเจ้า ในกรณีที่ยังอยู่ หากพบเจอกับฉีหมิงเยว่อีกเมื่อใด จงมอบสิ่งนี้กับนางและบอกให้นางรีบหนีไปจากจักรวรรดิตงหลี่โดยเร็วที่สุด”
เซี่ยหลู่เฟิงนำถั่วเซียงซียัดใส่มือของเซียถงเอาไว้ และหันหลังเดินแช่มจากออกไปอย่างช้าๆ
เรียกได้ว่า เขาเดินช้ามากจริงๆ ทั้งศีรษะและไหล่ทั้งสองข้างห่อลงทิ้งไปข้างหน้า ทุกย่างก้าวสืบกางยากลำบากยิ่งยวดราวกับบนหลังกำลังแบกก้อนหินยักษ์หนักร้อยตัน
เซียถงได้แต่ส่งสายตามองอีกฝ่ายแปลกๆ ไฉนพี่ใหญ่ถึงต้องรู้สึกเจ็บปวดทรมานหัวใจปานนั้น? ถึงแม้ว่าเขาในตอนนี้จะมีใจให้แก่ฉีหมิงเยว่แล้วจริงๆ และกำลังเป็นกังวลในด้านความปลอดภัยของนางเพียงใด แต่เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นขนาดนี้ราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบเลย เมื่อเซี่ยหลู่เฟิงเดินจากไปไกลลับเส้นสายตา เซียถงก็เก็บถั่วเซียงซีเม็ดในมืออย่างระมัดระวัง
ก่อนหน้านี้ นางคาดเดาไปว่า ฉีหมิงเยว่กับย่าเฟิงน่าจะทิ้งจักรวรรดิตงหลี่จากไปแล้ว แต่ในเมื่อถั่วเซียงซีเม็ดนี้เป็นถึงสมบัติประจำจักรวรรดิหรูหราน เซียถงมั่นใจสิบเต็มสิบส่วนเลยว่า ฉีหมิงเยว่จะต้องกลับมาตามหาเจ้าสิ่งนี้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม ทั้งที่เซี่ยหลู่เฟิงรู้ถึงจุดประสงค์ของฉีหมิงเยว่ที่คิดจะใช้ถั่วเซียงซีเม็ดนี้อยู่แล้ว ไฉนเขายังจะมอบถั่วเม็ดนี้แก่นางเพื่อไปคืนให้ฉีหมิงเยว่อีก? นี่เขากำลังคิดบ้าอะไรอยู่?
หรือทั้งหมดจะเป็นเพียงความน้อยใจที่มีต่อฉีหมิงเยว่? ไม่ก็ต้องการให้ฉีหมิงเยว่ดำเนินภารกิจนี้ต่อไปเพื่อสานฝันให้เป็นจริง? เพราะท้ายที่สุดนี้ ในฐานะองค์หญิง นางยังมีภารกิจอันใหญ่ยิ่งอย่างการฟื้นฟูจักรวรรดิให้กลับมารุ่งเรืองรออยู่เบื้องหน้า
ร่างอรชรของหญิงสาวยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไปอีกสักครู่เพราะกำลังครุ่นคิด จวบจนถึงคาบเรียนแขนงวิชากลยุทธ์ในช่วงเช้า เซียถงค่อยเดินทางไปที่ชั้นเรียนกวิชากลยุทธ์ ทันทีที่เซียถงเข้ามาภายในห้อง สายตาคู่อาฆาตไร้ปรานีของไป๋หลี่เย่ก็สาดเข้าใส่นางอย่างแน่นหนาไม่มีคลายอ่อนใดๆ
เมื่อวานนี้ ไป๋หลี่เย่ไม่เห็นหัวเซียถงโผล่ออกมาเลยแม้แต่เงา เขาจึงคิดไปว่า ตั้งแต่นังอัปลักษณ์นั่นได้เห็นปรมาจารย์เสวี่ยอยู่ข้างกายติดตามเขาตลอด นางจึงกลัวจนไม่กล้าปรากฏกายขึ้นมาอีกเลย ในทีแรก ไป๋หลี่เย่เองก็แอบนึกเสียดาย แต่ใครจะไปคิดว่า วันนี้นังนั่นยังกล้าโผล่หน้ามาจริงๆ เห็นเป็นเช่นนี้แล้ว ในไม่ช้าก็เร็ว เขาจะต้องใส่ไฟกระตุ้นให้ปรมาจารย์เสวี่ยลงมือจัดการเซียถงทิ้งในสักวัน
ตระหนักได้ถึงสายตาที่จับจ้องของไป๋หลี่เย่ เซียถงพลันหันขวับมองสวนกลับไปทันทีพร้อมรอยยิ้มบางอันเยือกเย็น ทว่านางกลับมิได้ทอดสายตามองไปที่องค์รัชทายาท แต่จับจ้องไปยังปรมาจารย์เสวี่ยที่นั่งอยู่เคียงข้างเขา
ปรมาจารย์เสวี่ยนั่งถัดไปจากไป๋หลี่เย่ กอดอกหลับตานิ่งสนิท แต่ทันทีทันใดที่สัมผัสได้ถึงสายตาคู่เยียบเย็น เขาก็เปิดเปลือกตาฉายแววผยองเดชปะทะชนกลับไป
สองคู่สายตากำลังเผชิญหน้ากันดุเดือด ชั่วครู่ถัดมาเซียถงพลันรู้สึกใจสั่นขึ้นเล็กน้อยเกินจะหักห้าม
รัศมีแรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมาจากดวงตาของปรมาจารย์เสวี่ยช่างรุนแรงโดยแท้ ไม่รู้เลยว่า ลมปราณระดับชั้นราชันย์ม่วงของเขาจะบรรลุถึงขอบเขตไหนแล้ว? อย่างน้อยที่สุดก็ขอบเขตราชันย์ม่วงชั้นต้นแน่นอน
ปรมาจารย์เสวี่ยเหลือบสายตามองเซียถงอยู่สักพัก จึงค่อยหลับตาลงอีกครั้งและนอนหลับตามอัธยาศัยต่อไป
ต่อให้อาศัยกระบี่ทัณฑ์ฟ้าค่อยช่วยเหลืออีกแรง แต่หากไม่รู้จักเลือกสรรกลยุทธ์ต่อสู้ให้เหมาะสมกับอีกฝ่าย ก็เกรงว่าโอกาสชนะท่าจะต่ำเช่นกัน เซียถงยังมีข้อมูลเกี่ยวกับปรมาจารย์เสวี่ยน้อยเกินไป ท้ายที่สุดจึงจำต้องถอนสายตาออกมาและเลือกตำแหน่งโต๊ะที่ยังว่างพร้อมนั่งลง
ทันทีที่เซียถงย่างเท้าก้าวเข้ามาในห้องเรียน นังอัปลักษณ์นี่เอาแต่จับจ้องไปที่ปรมาจารย์เสวี่ยที่นั่งอยู่ข้างๆ โดยไม่แม้แต่เหลียวแลมองมาทางไป๋หลี่เย่สักนิดเดียว ราวกับมิได้สนใจการมีตัวตนอยู่ของเขาเลย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยิ่งเพิ่มพูนความเกลียดชังภายในใจของเขาเป็นเท่าทวี สองมือกำหมัดแน่น สิบนิ้วจิกเล็บกินลึกเข้าเนื้อ ได้ยินเพียงเสียงกัดฟันดังกรอดออกมาจากตัวไป๋หลี่เย่เท่านั้นในขณะนี้
สักวันหนึ่ง! สักวันหนึ่งข้าจะทำให้นางยอมศิโรราบคุกเข่าต่อแทบเท้าของเขาเพื่อขอความเมตตา!
หลังจากเสียงเริ่มชั้นเรียนดังขึ้น แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วก็เดินเข้ามาในห้องเรียนโดยทันที ดวงตาคู่คมกริบประดุจคมดาบตกลงใส่ร่างของเซียถง สายตาที่จับจ้องนางมีแต่ความเย็นชาอยู่เปี่ยมล้น ซึ่งเซียถงเองก็มิได้กลัวเกรงใดๆ มองสวนกลับไปอย่างเยือกเย็นเป็นการตอบโต้
ทั้งสองต่างจ้องหน้ากันและกันอยู่นาน และเป็นฝั่งของแม่ทัพจ้างเจิ้งกั๋วที่ประกายสายตายิ่งฉายแววมืดทมิฬเข้มขึ้นเรื่อยๆ ประดุจคมดาบแหลม ส่วนเซียถงเองก็จับจ้องตอบโดยปราศจากความเกรงกลัวใดๆ
ในสายตาของนางแล้ว แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วก็ไม่ได้ดีไปกว่าไป๋หลี่เย่เท่าไหร่นัก สำหรับคนเฉกเช่นนี้ เซียถงรู้สึกคร้านใจเกินกว่าจะใช้พลังงานชีวิตไปยุ่มย่ามหรือมีประติสัมพันธ์ด้วยจริงๆ ส่วนแรงกดดันที่ส่องสว่างจากสายตาอีกฝ่าย นางสามารถเล่นจ้องหน้ากับเขาได้ทั้งวัน เพียงว่าตัวเองมิได้มีเวลาใช้ทิ้งใช้ขว้างขนาดนั้น