ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 147 หยุนซีเดือดจัด (1)
ตอนที่147 หยุนซีเดือดจัด (1)
ทันทีที่ประโยคข้อความดังกล่าวเปล่งออกมา ชั้นเรียนพลันบังเกิดเป็นความโกลาหลขึ้นทันใด แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วผู้สร้างปัญหาให้แก่เซียถงไม่เว้นวาย ทว่าตัวเขาเองก็ยังไม่เคยเห็นนางแข็งข้อถึงปานนี้มาก่อน ดูท่าแล้ว หลังจากที่สาวน้อยอัปลักษณ์นางนี้หายหน้าหายตาไปสักพักใหญ่ น่าจะไปเสาะพบผู้ทรงอำนาจค่อยเกื้อหนุนอยู่ด้านหลัง ถึงมีจิตใจหาญกล้าท้าทายแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วอย่างเหตุการณ์ในขณะนี้
จู่ๆ หลายต่อหลายคนเริ่มจับกลุ่มนิทนากันในทันใด เสียงส่วนใหญ่เดากันไปถึงไป๋หลี่หาน เพราะครั้งสุดท้ายที่จำความกันได้ ก็เป็นไป๋หลี่หานนี่แหละที่มาช่วยเหลือเซียถง สำหรับเรื่องดังกล่าว ระยะหลังมานี้เริ่มมีคนพูดถึงจนหนาหูขึ้นมา
ไป๋หลี่เย่ประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม ไฉนเซียถงถึงกล้ายั่วยุแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วได้? แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใดถึงทำให้นางมีจิตใจหาญกล้าเพิ่มพูนขึ้นปานนี้ แต่เขาก็หวังแต่ว่า ทั้งสองจะหันมาใช้กำลังต่อสู้กัน
“แม่ทัพจาง เซียถงนางนี้นับว่ามีตาหามีแววไม่แล้ว! ท่านควรสั่งสอนนางให้ดีสักหนึ่งบทเรียน!”
ไป๋หลี่เย่ฉวยโอกาสนี้ราดน้ำมันบนกองเพลิง หันไปกล่าวยั่วยุกระตุ้นความโกรธของแม่ทัพจางเพิ่มเสริมทันที
ก่อนที่ไป๋หลี่เย่จะพูดจบด้วยซ้ำ จู่ๆ แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วก็ระเบิดความโกรธออกมาเต็มพิกัด กระโจนเข้าใส่เซียถงโดยใช้มือขวาหวังจะคว้าตัวนางมาสั่งสอน
เงาร่างของเซียถงแปรเปลี่ยนเป็นประกายสายหนึ่ง รุดหนีร่นถอย หลบเลี่ยงความเกรี้ยวกราดของแม่ทัพจางจิ้งกั๋ว ส่งผลให้ฝ่ามือขวาที่พุ่งออกไปคว้าร่างของเซียถงหวืดกลางอากาศ พลันทุบเข้าใส่โต๊ะเรียนจนแหลกเป็นเสี่ยงๆ ประดุจค้อนหนักพันตันกระหน่ำทุบกลางโต๊ะไม้
คล้อยหลังที่เซียถงหลบออกมาพ้นระยะ นางก็เลือกที่จะไม่สู้ นำมือทั้งสองข้างไขว้หลังอย่างหยิ่งผยอง เหลือบแลสายตาไปทางกองเศษไม้ที่แหลกเละเป็นเสี่ยง หันมาส่งยิ้มให้แม่ทัพจาง กล่าวว่า
“แม่ทัพจาง ทำลายทรัพย์สินสาธารณะของสถานศึกษาเช่นนี้ ข้าจะนำเรื่องดังกล่าวไปฟ้องกับท่านอาจารย์หยุนซี ให้นางมาเก็บค่าปรับกับท่านเป็นสองเท่า!”
พูดจบ คู่เท้าขออนางกระตุกวูบ ปราดพุ่งหนีออกไปทางประตูชั้นเรียน ทิ้งทวนแค่เพียงเงาประกายสีครามเข้มสายยาว
เมื่อได้ยินเซียถงกล่าวถึงหยุนซี สีหน้าการแสดงออกของแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วยิ่งทมิฬมืดหมองคล้ำหนักยิ่งขึ้น เขายกเท้าเร่งความเร็วออกไป ไล่ตามเซียถงด้วยความโมโหสุดขีด
หลังจากที่เซียถงและแม่ทัพจางเจิ้งกัวออกจากชั้นเรียน ทั้งคู่ก็วิ่งออกมาจากตัวอาคารแขนงวิชากลยุทธ์ ร่างเงาทั้งสองสายพัลวันปะทะกันท่ามกลางสวนบุปผา ทางเดินระหว่างอาคาร ลากยาวจนไปถึงอาณาเขตหอพักด้านหลังสถานศึกษา มีบางช่วงบางตอน นางลอบหยิบก้อนดินในกำมือปาใส่อีกฝ่ายเป็นครั้งคราว
ถึงแม้เศษดินเหล่านี้จะไม่สามารถทพอันตรายต่อแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วได้เลยก็จริง แต่มันก็ยิ่งไปกระตุ้นต่อมความโกรธของเขา จนทำให้รัศมีบารมีความเป็นแม่ทัพนำศึกผู้ยิ่งใหญ่ค่อยๆ จางหายออกไป และสิ่งที่ทำให้เขาเดือดดาลโกรธจัดเข้าไปใหญ่ก็คือ คำพูดคำจาเสียดสีเย้ยเยาะต่างๆ นานาที่หลุดออกมาจากปากของเซียถงขณะวิ่งหนี
“แม่ทัพจาง ไยเล่าถึงต้องวิ่งไล่เด็กผู้หญิงตัวน้อยเช่นข้าด้วยความโกรธเกรี้ยวเช่นนี้? แถมยังไล่ตามข้าไม่ทันเสียด้วย! เวลามีศึกสมรภูมิสู้รบ หากช้าเป็นเต่าคลานเช่นนี้ เกรงว่าศีรษะของท่านคงตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูแล้ว!”
“แม่ทัพจาง ข้าสงสัยเสียเหลือเกินว่า ตอนที่ท่านสู้รบอยู่ในสมรภูมิ ท่านใช้มือหรือปากในการสัประยุทธ์ต่อสู้?”
“แม่ทัพจาง ท่านเคยถือดาบออกไปสู้กับชาวบ้านชาวช่องบ้างหรือไม่? มิใช่ว่ามีดีแต่ใช้ปากสั่งให้ลูกน้องออกไปตายแทน ส่วนตัวเองก็กลับมาพร้อมกับชื่อเสียงเกียรติยศ? นี่มิได้เรียกว่าชุบมือเปิบหรอกรึ? ด้วยความหวังดีของศิษย์คนนี้ เลิกเป็นทหารเสียเถิด หากท่านมีจิตใจขี้ขลาดขนาดนั้น”
เกือบทุกคำพูดของเซียถง ล้วนแต่สร้างบาดแผลกรีดลึกลงไปในหัวใจของแม่ทัพจางเจิ้งกั๋ว เขาหรือกลัวตายตั้งแต่เมื่อใด? เขาหรือไม่เคยสวมชุดเกราะกับดาบไปสู้รบเสี่ยงตาย? นี่เขากลายเป็นพวกขี้ขลาดตั้งแต่เมื่อใดกัน?!
อาชีพที่เส้นทางเต็มไปด้วยการนองเลือด นักรบผู้ควบทะยานม้าเหล็กอย่างเขาล้วนกอปรขึ้นด้วยชื่อเสียง ความภาคภูมิใจและเกียรติยศ! ทว่าฝีปากของเซียถงในปัจจุบันกลับทำให้ภาพลักษณ์ของเขาต้องหม่นหมอง
แทบจะรอไม่ไหวแล้ว! เขาแทบจะรอฉีกปากของสาวน้อยนางนี้ไม่ไหวแล้ว! อย่างน้อยที่สุดก็ต้องจับนางมาสั่งสอนเพื่อบรรเทาความเกลียดชังภายในจิตใจ! เพียงแต่ว่า สาวน้อยใบหน้าอัปลักษณ์นางนี้ เหตุไฉนถึงมีความพลิ้วไหวและคล่องแคล่วประดุจนางแอ่นร่อนนภาปานนี้? เป็นหลายต่อหลายครั้งแล้วที่แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วระดมพลังเร่งความเร็วออกไปพุ่งจับ ทว่านางก็ยังหนีรอดออกไปได้เรื่อยมา
ขณะที่ทั้งสองกำลังวิ่งไล่ล่ากันอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน ทัศนีภาพโดยรอบเริ่มปรากฏพฤกษาและบุปผาในจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งต้นไผ่เขียว บุปผาชนิดแปลกประหลาดหาดูได้ยากหลากสีสันหลายหลาก พอสังเกตบรรยากาศโดยรอบที่เปลี่ยนไป เซียถงก็เงยหน้ามองดูป้ายชื่อเรือนพักที่ติดอยู่เหนือศีรษะ พร้อมกับกระตุกยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ออกมา
บนป้ายดังกล่าวเขียนว่า เรือนพักหยุนซี
“แม่ทัพจาง นี่ท่านไต่เต้าขึ้นมาเป็นระดับแม่ทัพใหญ่ได้อย่างไรกัน? ขอเดาว่ามิน่าใช่ฝีมือแต่น่าจะเป็นเพราะ…เลียแข้งเลียขาคนอื่นเก่ง?”
ในที่สุดเซียถงก็หยุดฝีเท้าลง มองย้อนกลับไปที่แม่ทัพจางเจิ้งกั๋ว ปรายหางตามองฉายแววสบประมาทเย้ยเยาะ
สีหน้าของแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วในเวลานี้กลายเป็นสีตับหมูไปแล้วก็มิปาน เมื่อเห็นว่าเซียถงหยุดวิ่งหนีเสียที เขาก็ตบฝ่ามือโจมตีใส่ทันทีโดยไม่คิดเลย คลื่นกระแทกหอบใหญ่ชักนำสายลมกระโชกรุนแรงอัดใส่ทางเซียถง
เซียถงอาศัยความยืดหยุนของร่างกาย กระโดดหมุนตัวหลายตลบกลางอากาศเลี่ยงหลบคลื่นกระแทกจากฝ่ามือของอีกฝ่ายได้หวุดหวิด จะมีก็แค่ชายเสื้อยาวบางส่วนที่ถูกสายคมชักนำติดพันมาด้วยจากฝ่ามือ เข้าฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น สีหน้าการแสดงออกของแม่ทัพจางเจิ้งกัวก็เผยแสดงความสุขออกมาบ้างเล็กน้อยแล้ว วิ่งไล่นางไปตามทางเดินในเรือนหลังนั้น และชักกำปั้นขึ้นแนบลำตัว เร่งเร้าระดมพลังลมปราณจัดจ้าน ระเบิดใส่ทางเซียถงที่วิ่งหนีอยู่ตรงหน้าเต็มพิกัด
เซียถงเหลียวหลังมองไปที่คลื่นกำปั้นสีจัดจ้านที่ไล่ล่าติดตามอยู่เบื้องหลัง รอยยิ้มแฝงนัยแปลกๆ พลันเชิดปรากฏขึ้นบนมุมปากของนางอีกครั้ง เสี้ยวอึดใจก่อนที่กำปั้นอันทรงพลานุภาพกำลังจะถึงตัวนาง จู่ๆ เซียถงก็เร่งความเร็วเต็มสูบ วิ่งไต่กำแพงกระโดดม้วนตัวกลับหลัง ปล่อยให้กำปั้นของจางเจิ้งกั๋วพุ่งทุบกำแพงไม้เบื้องหน้า แหลกสลายกลายเป็นรูโบ๋ขนาดมหึมา ซึ่งด้านหลังกำแพงแห่งนี้ก็คือ…
หลังจากเสียงดังระเบิดตูมตาม เศษไม้ก็ทยอยร่วงลงมาจากรูโบ๋บนกำแพง เต็มไปด้วยฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ เครื่องไม้เครื่องเรือนที่ประดับตกแต่งภายในบ้านถูกเปิดเผยออกมาจนหมด และทันทีที่แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วเคลื่อนสายตามองไปภายในตัวเรือน เขาต้องถึงกับหน้าซีด!
เพราะตรงหน้าของแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วปรากฏเป็นอ่างอาบน้ำไม้ลวดลายประณีต พร้อมกับสตรีหุ่นสวยเพรียวที่กำลังนอนแช่อย่างสบายอารมณ์อยู่ภายใน ผิวน้ำทั่วทั้งอ่างเต็มไปด้วยกลีบบุปผานานาชนิดหลากสีสัน ส่วนสตรีหุ่นสวยเพรียวแสนเย้ายวนในอ่างไม้นางนั้น…ก็กำลังมองมาทางเขาด้วยสีหน้ามืดทมิฬสุดกู่
“ท่านอาจารย์หยุนซี เขาเป็นคนทุบกำแพง!”
เมื่อแลเห็นเปลวไฟที่โหมปะทุเดือดดุขึ้นในแววตาคู่นั้นของหยุนซี เซียถงก็รีบยกมือชึ้นชี้นิ้วไปหาแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วโดยไม่ลังเล
“ขะ-ข้า…ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจจะ…”
จากนั้นแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่า เรือนไม้แห่งนี้ก็คือที่พักอาศัยของหยุนซี เนื่องด้วยจิตสมาธิของเขามุ่งมั่นอยู่กับแต่การไล่ล่าจับตัวเซียถงมาลงโทษ จนมิได้สนใจสภาพแวดล้อมโดยรอบให้ดี แล้วในตอนนี้ เขาก็ดันทุบทำลายผนังเรือนพักของหยุนซีโดยมิได้ตั้งใจ แต่ที่ซวยยิ่งกว่าคือ นางบังเอิญแช่น้ำอยู่ในอ่าง ผมเผ้ายาวสลวยของหยุนซีดูยุ่งเหยิงเปียกชุ่ม เนื่องจากกำลังแช่น้ำร้อนจนมีเหงื่อหยาดใสรินหยดลงมาจากปอยผมสู่หน้าผากอันขาวผ่องของนาง
“ไม่ได้ตั้งใจ? ไม่ได้ตั้งใจงั้นรึ? อาจารย์หยุนซี เขากำลังแอบดูท่านแช่น้ำอยู่ชัดๆ!”
เซียถงกล่าวเสริมเติมไฟจากด้านหลัง
“แล้วยังจะยืนดูอยู่ตรงนี้หาพระแสง?”
หยุนซีเลิกคิ้วกระตุกขึ้นอย่างแรง คำรามเสียงดังสนั่น และลุกขึ้นพรวดจากอ่างไม้ที่แช่อยู่ด้วยความโกรธจัด ชั่วขณะอึดใจ น้ำร้อนกลิ่นสมุนไพรบุปผาพลันสาดกระเซ็นไปทั่วสารทิศตามการเคลื่อนไหวของร่างอรชรสวย ทำเอาแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วรีบยกแขนเสื้อยาวขึ้นมาปิดตาโดยไว
หยาดน้ำร้อนสองสามหยดกระเด็นเข้าพรมใบหน้าของเซียถง เสมือนกับความเกรี้ยวโกรธโมโหของหยุนซีในขณะนี้จะมีปริมาณมหาศาลซะจนแทรกซึมผ่านหยาดน้ำร้อนที่สาดกระเซ็น
หยุนซีเหินทะยานขึ้นจากอ่างไม้ คว้าเสื้อผ้าที่พาดอยู่บนฉากกั้นด้านหลังมาคลุมร่าง ปราดพุ่งลุไปถึงตรงหน้าแม่ทัพจางเจิ้งกั๋ว นางระดมพลังลมปราณขุมใหญ่ตบฝ่ามือกระหน่ำเข้าใส่กว่าหลายกระบวน
การเคลื่อนไหวเหล่านี้รวดเร็วมากซะจนเซียถงเกือบจะมองตามไม่ทัน ทันทีทันใด เสียงตบหน้าดังแสบแก้วหูก้องกังวานสนั่นไปทั่วบริเวณ