ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 148 หยุนซีเดือดจัด (2)
ตอนที่148 หยุนซีเดือดจัด (2)
“ข้าจะวิ่งไปทุบบ้านเรียกฮูหยินของเจ้า และฟ้องให้หมดถึงเรื่องที่เจ้าแอบดูข้าแช่น้ำในวันนี้! สงสัยจะเบื่อชีวิตมากนักกระมัง! แล้วข้าจะทำเช่นไรต่อไป? วิ่งขึ้นเขาหลังสถานศึกษาและโดดหน้าผากฆ่าตัวตายดีหรือไม่?”
หยุนซีสบถด่าไม่หยุดพร้อมฝ่ามือที่กระหน่ำทุบตีต่อเนื่อง ส่วนทางด้านแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วกลับไม่กล้าตอบโต้ใดๆ เพราะตระหนักดีว่า ตนเองเป็นฝ่ายผิดเต็มประตู สุดท้ายก็ได้แต่ยกแขนต้องป้องกันเท่านั้น
หยุนซีออกลวดลายใช้ทั้งมือทั้งเท้ากระหน่ำใส่ด้วยความโกรธจัด เป็นเวลานานสักครู่ใหญ่ก่อนที่นางจะหยุดมือในท้ายที่สุด ใบหน้าของแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วในขณะนี้ ทั้งบวมและช้ำในกลายเป็นสีม่วงอมดำปูดโปนใหญ่เท่าลูกมะนาวทั่วใบหน้า
“หยุนซีหยุดก่อน! ข้าบอกแล้วไงว่า มิได้ตั้งใจทุบบ้านเรือนของเจ้า แล้ว…แล้วมิได้ตั้งใจแอบดูเจ้าแช่น้ำเช่นกัน!”
แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วทั้งโกรธทั้งอัยอายในเวลาเดียวกัน รีบยกมือปิดใบหน้าอันร้อนผ่าวของตน
“นี่เจ้ายังกล้าบอกว่าไม่ได้ตั้งใจแอบดูข้าแช่น้ำอีกงั้นรึ?”
ได้ระบายอารมณ์ไปหนึ่งชุดใหญ่ สีหน้าที่หม่นหมองของหยุนซีเริ่มคลายความโกรธเกรี้ยวลงบ้างหนึ่งส่วน แต่พอมาได้ยินคำแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ประโยคนี้ของแม่ทัพจางเจิ้งกั๋ว ดวงตาคู่งามสีดอกท้อพลันมัวหมองลงอีกครั้ง ชั่วพริบตาเดียว รัศมีพลังสีม่วงประกายสดใสพลันระเบิดคลั่งพุ่งทะยานออกมาจากร่างของนาง โดยมีตัวนางเป็นรัศมีใจกลาง ทั้งสวนบุปผาและพฤกษานานาพันธุ์โดยรอบล้วนถูกคลื่นพลังกระแทกกวาดล้างปลิวกระจายสิ้นสารทิศ ชนิดที่ว่าบางต้นถึงกับโดนถอนรากถอนโคนในเสี้ยวอึดใจ
เมื่อเห็นภาพฉากเช่นนี้ สีหน้าของแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วยิ่งแปรเปลี่ยนในทางแย่ลงหนัก เขาเร่งหมุนตัวกลับอยากจะวิ่งหนีตายออกไปสุดใจ ไฉนเวลาหยุนซีโกรธจัดช่างน่ากลัวปานนี้!
ท่ามกลางสวนบุปผาที่โกลาหล กลีบเกสรกระจัดกระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณ หยุนซีเหยียดมือพุ่งออกไปคว้าคอของแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วอย่างเลือดเย็น ลากอีกฝ่ายกลับมากระทืบทุบตีอีกชุดใหญ่
ระดับลมปราณของแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วอยู่เพียง ขอบเขตราชันย์ม่วงครึ่งขั้นเท่านั้น และเขาหาใช่คู่มือของหยุนซีไม่เลย ยิ่งในเวลานี้ที่นางกำลังโกรธจัด มีหรือที่จะไว้เมตายั้งมือให้? ทำเอาแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วไม่กล้าต่อสู้หรือแม้กระทั่งตอบโต้กลับเลยสักนิด เพราะกลัวว่าการทำเช่นนี้จะยิ่งไปกระตุ้นความโกรธเกรี้ยวของสตรีเหี้ยมนางนี้ให้หนักเข้าไปใหญ่
เซียถงยืนมองอยู่เคียงข้างใกล้ชิดติดขอบสนาม สายตาเป็นประกายเปี่ยมไปด้วยความสนใจ แต่ผ่านไปสักพัก นางเองก็ถึงกับตะลึงงันเช่นกันที่เห็นหยุนซีทรงพลังกว่าที่จินตนาการไว้มาก! อย่าให้หญิงสาวนางนี้โกรธโดยเด็ดขาด เพราะตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้ว จากแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วผู้ยิ่งใหญ่ ในเวลานี้กลับไม่ต่างอะไรกับเด็กสามขวบที่กำลังโดนแม่ไล่ฟาดอยู่เลย!
หลังจากนั้นสักครู่ใหญ่ หยุนซีหอบหายใจตระหนี่ถี่เร็ว แสดงให้เห็นชัดเจนว่า นางในตอนนี้เหน็ดเหนื่อยเพียงใดจากการต่อสู้ ดังนั้นก็เลยหยุดมือเลิกกระทืบทุบตีแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วต่อ
ส่วนทางฝั่งแม่ทัพจางเจิ้งกั๋ว…ในปัจจุบันกำลังนอนโทรมอยู่กับพื้นพร้อมกองฝุ่นตลบใหญ่ เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าบวมเป่งราวกับลูกโป่งกำลังจะแตก สภาพดูอนาถเสียยิ่งกว่าขอทาน
“เจ้าแอบดูข้าแช่น้ำหรือเปล่า?”
หยุนซีใช้บาทาสะกิดเรียกอีกฝ่าย เตะใส้ท้องแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วไปทีหนึ่ง คำรามถามน้ำเสียงเดือดดุ
“ข้า…ข้า…ข้า…ไม่ได้…”
อย่าว่าแต่เรื่องศักดิ์ศรีเลย ในเวลานี้แค่จะเอาชีวิตให้รอดออกไปก็เกรงว่ายากแล้วสำหรับแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วคนนี้
“ยังกล้าปฏิเสธอีกงั้นรึ?!”
หยุนซีเริ่มมีน้ำโหหงุดหงิด ทั้งที่กระทืบแม่ทัพใหญ่แห่งจักรวรรดิตงหลี่ไปกว่าสิบชุด จนอีกฝ่ายนอนหมดสภาพกองกับพื้นปานนี้ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ! มันยังจะกล้าปฏิเสธว่าไม่ได้ดูนางแช่น้ำจริงๆ!
“ได้! ได้! หากเจ้ายังปากแข็งไม่ยอมรับผิดเช่นนี้ สงสัยพวกเราคงต้องไปหาคณบดีเพื่อตัดสินเสียแล้ว”
หยุนซีกลอกตามองบนไปทีหนึ่งด้วยความหน่ายใจ เอื้อมมือไปจิกผมแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วและลากอีกฝ่ายออกไปทันที
“อย่า! อย่า!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังแบกตนออกไปหาคณบดี แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วพลันตื่นตระหนักหนัก หากเรื่องในตอนนี้หลุดถึงหูโลกภายนอก เขาคงไม่มีหน้าใช้ชีวิตอยู่ในผืนพิภพแห่งนี้แกต่อไป!
“เช่นนั้นก็ตอบมา เจ้าตั้งใจแอบดูข้าแช่น้ำใช่ไหม?”
หยุนซีเอ่ยถามพร้อมยิ้มที่มิใช่รอยยิ้ม เอนตัวเคลื่อนเข้าใกล้อีกฝ่าย สีหน้าการแสดงออกมืดทมิฬน่ากลัว
แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วลอบส่งสายตาเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างกล้าๆ กลัวๆ แน่นอน เขาอยากปฏิเสธใจจะขาด แต่ก็กลัวว่าหยุนซีจะลากตัวเขาไปหาคณบดี ทว่าหากตอบว่าใช่ ชื่อเสียงของเขาที่สั่งสมมาก็เตรียมพังทลายในพริบตาได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ก็ล้วนมีจุดจบที่ไม่สวยเลยจริงๆ คิดมาถึงจุดนี้ แม่ทัพใหญ่แห่งตงหลี่แทบจะกลั้นน้ำตาไหวไม่อยู่อีกต่อไป
“ท่านอาจารย์หยุนซี เขาแอบดูท่านแช่น้ำจริงๆ ศิษย์คนนี้เป็นพยานได้”
เซียถงที่เฝ้ามองอยู่เคียงข้าง จู่ๆ ก็พูดแทรกขึ้นมา
“คิดไว้แล้วเชียว”
หยุนซีมมองค้อนใส่แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วอยู่สักครู่ ก่อนที่ใบหน้าของนางจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแจ่มใสอย่างน่าประหลาด ยื่นมือออกไปตรงหน้าอีกฝ่ายและกล่าวว่า
“จ่ายมาสามแสนเหรียญทองเป็นค่าปิดปาก มิฉะนั้นข้าจะป่าวประกาศให้คนทั้งเมืองรู้กันไปเลยว่า เจ้าแอบดูข้าแช่น้ำ!”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วแทบเป็นลม
ให้จ่ายสามแสนเหรียญทอง? ไฉนไม่ปล้นกันเลยล่ะ?!
“อย่างไรเสีย เจ้ายังต้องชดใช้ค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเรือนพักของข้าด้วย รวมไปถึงค่าสมุนไพรพฤกษาโดยรอบที่ข้าปลูกไว้ ก็เห็นแก่ที่เจ้าเป็นคนรู้จัก ฉะนั้นจะลดให้เหลือสักหนึ่งแสนเหรียญทองพอ”
หยุนซียังคงกล่าวต่อไม่หยุดยั้ง ประดับเคียงคู่รอยยิ้มอันแสนสดใส
แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วจับจ้องหยุนซีสักพักหนึ่ง ขณะกำลังจะปริปากเอ่ยขึ้น จู่ๆ ก็พลันสัมผัสได้ถึงแววเจ้าเล่ห์ที่ส่องประกายออกมาจากนัยน์ตาของนางได้โดยพลัน ดังนั้นเขาจึงรีบหุบปากในทันใด พึงทราบดี นิสัยเห็นแก่เงินอย่างเจ้าจิ้งจอกสาวเจ้าเล่ห์นางนี้ หากคิดจะเอ่ยปากต่อรอง เตรียมโดนขึ้นราคาเป็นสองเท่าทวีทันที!
เมื่อเห็นแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วรีบเก็บคำหุบปากไป หยุนซีก็ขดริมฝีปากปั้นหน้าบึ้งใส่เล็กน้อยด้วยความผิดหวัง นางกำลังรอให้อีกฝ่ายตอบโต้ต่อราคามาพอดี เพื่อหวังจะใช้โอกาสนี้ขึ้นราคาให้สูงขึ้นไปอีก
แลมองสีหน้าอันมืดหม่นของแม่ทัพจางเจิ้งกั๋ว นางยิ้มกล่าวต่ออีกว่า
“อ่อ…ข้าลืมไปว่า เมื่อครู่ข้าเผลอวางยาพิษใส่ตัวเจ้าด้วย ไม่ว่าจะกรณีใดข้าแนะนำให้เจ้ารีบกินยาถอนพิษโดยเร็วจะดีกว่า แต่ราคาค่ายาค่อนข้างสูง จำต้องจ่ายในราคาสองแสนเหรียญทอง หากไม่ยอมจ่ายล่ะก็ ก็เตรียมกลับบ้านไปรอลูกเมียรอพิษขึ้นสมองตายได้เลย”
แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วถึงกับเงยหน้ามองด้วยความตะลึงสุดขีด และเป็นลมหมดสติไปทันที
“ท่านอาจารย์หยุนซี ท่านทำให้อม่ทัพจางเจิ้งกั๋วเป็นลมเสียแล้ว”
เซียถงปริปากกล่าวพลางก้มหน้าก้มตาจับจ้องไปที่แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วที่นอนสลบอยู่บนพื้น
“ก็ใช่”
หยุนซีพยักหน้าพลางยักไหล่ให้ทีหนึ่ง หมุนตัวเดินจากเข้าเรือนพักผ่านรูโบ๋บนกำแพง สักพักหนึ่งค่อยเดินกลับมาพร้อมกับกระดาษแผ่นขาวใบหนึ่งและกล่องหมึก
“ครั้งนี้เขาเป็นหนี้ข้าค่อนข้างเยอะ จำเป็นต้องเขียนหนังสือสัญญาพร้อมให้อีกฝ่ายกดลายนิ้วมือยืนยัน”
หยุนซีคุกเข่าลงกับพื้น วางแผ่นสัญญาลงตรงหน้าแม่ทัพจางเจิ้งกั๋ว พร้อมวานให้เซียถงช่วยกางนิ้วโป้งขวาของอีกฝ่าย จัดมากดกับกล่องหมึกสีแดงแน่นอย่างแรง
ก่อนจะจับประทับ เซียถงเงยหน้าขึ้นมาอ่านสัญญาฉบับดังกล่าวและกล่าวขึ้นว่า
“ท่านอาจารย์หยุนซี แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วยังทุบโต๊ะเรียนพังไปตัวหนึ่ง”
“อ้าว? ไฉนถึงไม่รีบบอกกันก่อน?”
หยุนซีเหลือบสายตามองเซียถงอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะรีบคว้าสัญญาฉบับนั้นและวิ่งเข้าตัวเรือนพักไป ชั่วขณะหนึ่งค่อยวิ่งกลับมา เซียถงถึงกับตะลึงเช่นกันเมื่อเห็นว่า มีการเพิ่มข้อหาเข้ามาอีกหนึ่งบรรทัดในสัญญาฉบับดังกล่าว ‘ค่าความเสียหายต่อทรัพย์สินสาธารณะ สามสิบเหรียญทอง’