ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 15 พี่ใหญ่ (1)
ตอนที่15 พี่ใหญ่ (1)
เซียถงไม่ได้สนใจหรือคาดหวังแม้สักนิดว่า เมื่อพลังความแข็งแกร่งของตนฟื้นคืนกลับมาแล้ว นางจะต้องกลายเป็นจุดเด่นได้รับคววามสนใจจากผู้อื่น
ก่อนที่นางจะก้าวย่างเดินเข้าไปในประตูจวน พลันเหลือบไปเห็นชายหนุ่มในชุดสีขาวคนหนึ่งยืนมองอยู่บริเวณหน้าต่าง จับจ้องมองต้นไผ่สีเขียวด้านนอกลานกว้าง สองมือไพร่หลังอย่างสง่า
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตรงเข้ามา เขาก็หันมามองเซียถงพร้อมรอยยิ้ม กล่าวว่า
“ถงถง เจ้ากลับมาแล้วรึ?”
เมื่อพยายามระดมสมองคืบค้นจากความทรงจำของเจ้าของร่างเก่า เซียถงก็ได้รู้ว่า ชายหนุ่มในชุดสีขาวผู้นี้ชื่อ เซี่ยหลู่เฟิง เป็นพี่ชายต่างมารดาของนาง
ภายในจวนเสนาบดีทั้งหมด หากไม่นับรวมอิ๋งเอ๋อร์ คนที่ปฏิบัติต่อนางดีที่สุดคงเป็นชายหนุ่มคนนี้นี่แหละ
แตกต่างจากเซี่ยเสวี่ยเหลียนและฮูหยินเฉิงโดยสิ้นเชิง เซี่ยหลู่เฟิงคนนี้ทั้งสุภาพเรียบร้อย สมกับคำว่าสุภาพบุรุษอย่างแท้จริง และเขาก็ยังรักใคร่เซียถง เสมือนน้องสาวแท้ๆคนหนึ่ง
สำหรับชายคนนี้ เซียถงเอ่ยตอบกลับไปด้วยถ่อยคำนุ่มนวลว่า
“น้องสาวเพียงออกไปเดินเล่นรอบเมือง พี่หลู่เฟิง ข้ารอท่านกลับมาเสียนานแล้ว”
“เรื่องนานไม่นานช่างมันเถิด กลับมาครั้งนี้ข้านำสมุนไพรมอบแก่เจ้าด้วย ฟังว่ามันมีสรรพคุณผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทั้งยังเสริมภูมิคุ้มกันแก่เลือดภายในร่าง เจ้าลองนำไปต้มดื่มดู แล้วมาบอกข้าด้วยว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร?”
เซี่ยหลู่เฟิงชี้ไปยังกล่องไม้บนโต๊ะ
นับเป็นเวลาเนิ่นนาน เขาต้องออกไปปฏิบัติภารกิจของจักรวรรดิตงหลี่ และไม่ได้กลับมาจวนเสนาบดีสักพักใหญ่
คล้อยหลังกลับมา เขาก็ได้ยินผู้คนภายในเมืองกล่าวกันว่า เซียถงเข้าไปรับดาบเพื่อปกป้ององค์รัชทายาท ส่งผลให้จุดตันเถียนถูกทำลาย พอได้ยินดังนั้น เซี่ยหลู่เฟิงก็รีบแวะเข้าไปร้านขายสมุนไพร เพื่อหาของดีหวังช่วยเหลือน้องสาวคนนี้
พอเซียถงเปิดกล่องไม้ออกมา ภายในนั้นปรากฏเป็นโสมสีขาวเนียนประดุจผิวหิมะ ทั่วทั้งลำเป็นสีขาวผ่อง ดูไปดูมาก็คล้ายกับชายชรารูปร่างชายชราที่มีหนวดยาวเป็นเครา
เพียงได้เห็นพึงตระหนักทราบทันทีว่านี่เป็นของดี ทั้งยังมีสรรพคุณทางยาในการฟื้นฟูร่างกายระดับยอดเยี่ยม
“นี่ท่านมอบโสมล่ำค่าปานนี้แก่ข้าจริงรึ?”
เซียถงหรี่สายตาแคบลงเล็กน้อย จ้องมองไปทางเซียหลู่เฟิง
“ก็เจ้าเป็นน้องสาวของข้า”
เซี่ยหลู่เฟิงมองสวนกลับไปอย่างยิ้มแย้ม
“เจ้าช่วยรับคมดาบแทนองค์รัชทายาท น่าจะเสียเลือดเยอะ ดังนั้นเจ้าควรใช้มันที่สุดแล้ว”
เซียถงสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แทรกซึมเข้าสู่จิตใจ ปิดกล่องไม้และกล่าวกับอีกฝ่ายว่า
“ขอบคุณมาก!”
“เราเป็นพี่น้องกัน ไยต้องสุภาพกันปานนี้?”
มือทั้งสองข้างของเซี่ยหลู่เฟิงเข้ากดทับบริเวณไหล่ซ้ายและขวาของเซียถง ทั้งยังกล่าวปลอบโยนอีกว่า
“ถงถง ไม่ว่าเจ้าจะสามารถบำเพ็ญตบะได้หรือไม่ต่อจากนี้กลับไม่สำคัญ ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เจ้าปลอดภัยหรือไม่ บางทีการใช้ชีวิตในฐานะคนธรรมดาทั่วไป มันก็มีความสุขไปอีกแบบ ข้าเชื่อเช่นนั้น”
เขาเป็นห่วงว่า เซียถงจะเสียใจเรื่องที่จุดตันเถียนของตัวเองถูกทำลาย
เซียถงแอบขำเล็กน้อยกับตัวเอง แต่สำหรับความเป็นห่วงนี้ที่อีกฝ่ายมอบให้ นางเองก็รู้สึกประทับใจอย่างมาก
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่นางทะลุมิติมายังที่แห่งนี้ ที่มีใครบางคนพยายามปลอบใจตน
เซียถงคลี่ยิ้มบางส่งกลับไปให้ ดวงตาคู่เรียวยาวส่องประกายไสวงดงามดั่งดวงดารา
“ข้าสบายดี”
ใช่แล้ว และไม่เพียงแค่สบายดีเท่านั้น แต่นางยังแข็งแกร่งกว่าเซียถงคนก่อนไม่รู้กี่เท่า! ต่อจากนี้ไปนางจะไม่มีวันถูกใครสังหารฆ่าตายอีกแล้ว
เซี่ยหลู่เฟิงตกตะลึงเล็กกน้อยที่เห็นสายตาเช่นนั้น ตั้งแต่เมื่อใดกันที่สีหน้าการแสดงออกของเซียถงดูมั่นอกมั่นใจปานนี้?
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาชักมือกลับออกมาและกล่าวขึ้นด้วยความโล่งใจว่า
“เข้าแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดนัก”
แล้วใครกันที่อ่อนแอ?
เซียถงไม่เอ่ยตอบอันใดอีก และหยิบโสมขึ้นมาส่งให้อิ๋งเอ๋อร์เอาไปเก็บ ท่านแม่คงต้องการโสมนี้มากกว่านางมากนัก
“ตอนนี้ท่านมีอะไรในใจหรือไม่?”
แม้เซี่ยหลู่เฟิงจะมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ แต่มีหรือจะหลบสายตาของเซียถงได้? แววตาของเขาคนนี้ดูหม่นประกายลงหลายส่วน ไม่ค่อยสดใสสักเท่าไหร่นัก
เซียหลู่เฟิงถอนหายใจเสียงยาว เอ่ยเนิบนาบขึ้นว่า
“ก็ฝ่าบาทนี่สิ ดันไปหูเบาเชื่อคำพูดของอัครมหาเสนาบดีเย่หลีเทียนโดยไม่ฟังเหตุผลอันใดเลย ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่น่าเป็นห่วงมากมายนัก ส่วนข้าก็แทบจะทพอะไรไม่ได้เลย เพราะฝ่าบาทไม่ยอมเรียกใช้ออกคำสั่งแก่ข้ามานานมาแล้ว”
แม้ตัวเซี่ยหลู่เฟิงจะรับใช้อยู่ในวังหลวงมานานหลายปีแล้ว แต่เนื่องจาก ขุมพลังความแข็งแกร่งของเขาหยุดพัฒนาอยู่แค่ขอบเขตเสาหลักเขียว จึงส่งผลให้ตำแหน่งในวังหลวงไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าไหร่ และพักหลังมานี้แทบจะไม่เคยได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิให้รับผิดชอบหน้าที่ใดๆในพระราชสำนักเลย
ส่วนเย่หลีเทียนซึ่งเข้าวังหลวงมาพร้อมๆกับเขา กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เขาไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีได้อย่างรวดเร็ว แทรกหน้าคนเฒ่าคนแก่อื่นๆไม่ทิ้งฝุ่น โดยพึ่งพาวาทศิลป์และลิ้นอันเฉียมคม
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เย่หลีเทียนผู้นี้กล่าวได้ว่า เป็นขุนนางกังฉิน(พวกไม่ซื่อสัตย์) นิสัยชั่วช้าเกินกว่าจะจินตนาการได้
“หากพลังความแข็งแกร่งของท่านกลับมามีพัฒนาการอีกครั้ง และทะลวงผ่านขอบเขตเสาหลักเขียวขึ้นไปได้ บางทีฝ่าบาทอาจกลับมาเรียกใช้ท่านมากขึ้นกระมัง?”
เซียถงที่รับฟังมาตลอด ยามนี้ก็ตั้งคำถามเอ่ยออกมา
“อย่างน้อยก็ดีกว่าตอนนี้แน่นอน”
เซี่ยหลู่เฟิงคลี่ยิ้มอย่างขมขื่นใจนัก
“แต่แทบเป็นไปไม่ได้แล้วที่ตอนนี้ข้าจะทะลวงฝ่าขอบเขตเสาหลักเขียวขึ้นไปได้ ด้วยพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของข้า ต่อให้ใช้ทั้งชีวิตน่าจะเลื่อนขั้นขึ้นเป็นขอบเขตเสาหลักฟ้าครึ่งขั้นเท่านั้น”
“แต่ท่านยังมีสิ่งที่เรียกว่า พรแสวง”
เซียถงกล่าวปลอบใจอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันก็ลอบถามเสี่ยวฮั่วผ่านห้วงความคิดอย่างลับๆ เพื่อเสาะหาวิธีช่วยให้เซี่ยหลู่เฟิงทะลวงฝ่าขอบเขตเสาหลักเขียวไปให้ได้
ทั้งสองพูดคุยกันอีกประมาณสองสามคำ ก่อนที่เซี่ยหลู่เฟิงจะขอตัวจากออกไป
เซียถงนำโสมที่ได้มา เดินทางไปยังกระท่อมหลังน้อยด้านหลังสุดของจวนเสนาบดี สั่งให้อาจูเคี่ยวโสมผสมลงในน้ำแกงไก่ และนำไปให้ท่านแม่ของนางดื่ม
“ถงเอ๋อร์ นี่เจ้าเอาโสมล้ำค่านี้มาจากไหน?”
คล้อยหลังที่ไม่ต้องทนดื่มยาพิษทุกวันดั่งแต่ก่อน สีหน้าผิวพรรณของฮูหยินหลี่เองก็ดูดีขึ้นมาก
“พี่ใหญ่นำมามอบให้แก่ข้า”
เซียถงนั่งลงข้างเตียงท่านแม่ หลังจากตรวจสอบอากาศอย่างระมัดระวังอยู่สักพัก ก่อนจะพบว่าไม่มีพิษสีดำเพิ่มจำนวนภายในร่างกายและใบหน้าอีกต่อไป นางก็อดมีความสุขมิได้
“ถงเอ๋อร์ โสมชนิดนี้มีค่าอย่างยิ่ง ทางที่ดีเจ้าควรเก็บไว้รับประทานเอง แล้วครั้งหน้าเจ้าก็ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมาหาข้าแล้ว ครั้งล่าสุดเจ้าทำให้ท่านพ่อของเจ้าโกรธเกรี้ยวนี่นับว่าโชคดีมาก ที่อีกฝ่ายไม่เอาความอันใด”
“ต่อไปก็อย่าเถียงทม่านพ่อของเจ้าอีกเข้าใจหรือไม่? นั้นมิได้ส่งผลดีต่อตัวเจ้าเลย”
ฮูหยินหลี่กุมมือของเซียถงเอาไว้ พลางลูบไล้ด้วยความรักใคร่
“ข้าไม่ต้องการพ่อเช่นนั้น และข้าก็ไม่รับคนอย่างมันเป็นพ่อเช่นกัน”
เซียถงไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวของท่านแม่เลยสักนิด ก่อนจะเปลี่ยนไปกำมือท่านแม่ตัวเองกระชับแน่นและกล่าวว่า
“ข้าจะดูแลท่านเป็นอย่างดี”
ในระหว่างนั้นเอง เซียถงก็เห็นอาจูเดินตรงเข้ามา สายตาคู่นั้นที่จับจ้องกลายเป็นเย็นยะเยือกลงในชั่วอึดใจ ทางด้านอาจูพลันรู้สึกเย็นสะท้านจับขั้วกระดูกวาบหนึ่ง รีบยกมือไหว้เนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุดด้วยความหวาดกลัว เอ่ยน้ำเสียงสั่นเครือขึ้นว่า
“คะ-คุณหนู…ข้า…ข้าทำอะไรผิดอีกแล้ว?”
เซียถงมองดูนางอย่างเงียบงัน ทว่าแสงสีเย็นที่ส่องสะท้อนออกจากดวงตากลับยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อาจูถึงกับทรุดตัวลงอยู่กับพื้น ยังคงพยมมือขึ้นมาไหว้ถูไถไปมาไม่หยุดหย่อน
“ถงเอ๋อร์ อย่าทำร้ายอาจูอีกเลย นางพยายามดูแลแม่คนนี้อย่างดีที่สุดแล้ว”
เมื่อเห็นภาพฉากดังกล่าว ฮูหยินหลี่ก็รีบตบหลังเรียกเซียถงเบาๆ
เซียถงยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร คล้อยๆคล้ายมือออกจากฮูหยินหลี่ ลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้าพร้อมกวาดสายตาไปรอบห้อง จนสะดุดเข้ากับสิ่งๆหนึ่งที่ถูกแขวนไว้ตรงหัวเตียง
กลางม่านสีขาวปรากฏถุงสีม่วงที่ส่งกลิ่นหอมออกมาห้อยไว้อยู่