ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 150 ความจริงใจ (2)
ตอนที่150 ความจริงใจ (2)
“ไฉนใบหน้าของเจ้าอยู่ๆ ก็อัปลักษณ์?”
หลิวซูจ้องเขม็งไปที่รอยจุดด่างดำบนใบหน้าของเซียถง และพยายามเบี่ยงประเด็นเปลี่ยนเรื่องโดยไว
เซียถงมิได้เอ่ยตอบ เพียงส่งสายตาเย็นชายิงใส่อีกฝ่ายอย่างเงียบงัน
“ไฉนถึงต้องจ้องข้าด้วยสายตาเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา? ก็แค่บังเอิญไปเห็นหญิงสาวนางนั้นกำลังอาบน้ำเท่านั้น”
พอเห็นอีกฝ่ายจับจ้องตนไม่คลายอ่อน หลิวซูก็ชักจะหมดความอดทน โบกมือปัดและกล่าวว่า
“ถึงอย่างไร หญิงสาวนางนั้นก็หุ่นดีกว่าเจ้ามากโดยเฉพาะหน้าอกหน้าใจ”
ทันทีทันใดอุณหภูมิโดยรอบพลันตกฮวบเย็นลงกะทันหัน เสมือนมีลำแสงสว่างวาบเปล่งออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเซียถง นางกระชากผมยาวสลวยสีเงินอีกฝ่ายโดยไว ก่นเสียงเย็นยะเยือกกล่าวว่า
“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอันใด?”
“ข้ากำลังจะบอกว่า เจ้าทั้งใจร้ายและอ่อนแอ! มีดีแต่จะใช้เรื่องผมข่มขู่ข้าอย่างเดียว!”
หลิวซูตะคอกใส่นางด้วยความโกรธจัด เพราะตั้งแต่ที่มันยอมรับเซียถงเป็นเจ้าของ วันๆ ก็เอาแต่ขู่เข็ญว่าจะตัดผมบ้าง ถอนผมของมันทิ้งบ้าง นอกเหนือจากนั้นคือไม่มีอะไรอื่นเลย!
เซียถงตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อได้ฟังคำกล่าวประโยคนั้น เป็นเวลาสักครู่ใหญ่ ร่างของนางพลันหยุดนิ่งค้างแข็ง สายตาเหม่อลอยไร้จุดหมายดูว่างเปล่า
“หากเจ้ากล้าถอนผมข้าจริง อย่าฝันว่าจะได้หยิบใช้กระบี่ทัณฑ์ฟ้าอีกเลย!”
นัยน์ตาสีแดงทับทิมของหลิวซูจับจ้องนางหนาแน่นไม่เสื่อมคลาย เสมือนปรากกฎเปลวไฟจางๆ สาดสะท้อนออกมาจากดวงตา
เซียถงมองหน้าหลิวซู สีหน้ายังคงดูตื่นตกใจไม่หาย นางสามารถสัมผัสได้ทั้งทีถึงความโกรธและความไม่พอใจที่สื่อออกมา ผ่านท่าทางอากัปกิริยาของมัน เป็นถึงยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาล แต่กลับถูกคุกคามด้วยวิธีแสนน่ารังเกียจเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะความอ่อนแอของผู้ถือครองอย่างนาง คล้ายว่าในเวลานี้เซียถงจะเริ่มตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว และนี่ทำให้นางรู้สึกสะท้อนใจไม่น้อย
เพราะหากนางเป็นหลิวซู ก็คงไม่ดต็มใจเช่นกันที่จะต้องมาก้มหัวรับใช้พวกอ่อนปวกเปียกที่มีดีแต่คำขู่
ทันทีทันใด นางก็ตระหนักได้ว่า วิธีที่ตนกำลังใช้อยู่มันแย่เพียงใด และนางไม่ต้องการเป็นศัตรูในสายตาของหลิวซู แต่ต้องการชนะใจเพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับ
เมื่อนึกถึงจุดนี้ เซียถงก็คลายมือปล่อยผมสีเงินยาวของหลิวซูออกทันที และกล่าวว่า
“ข้าขอโทษ”
หลิวซูที่กำลังเดือดดาลสุดขีดถึงกับชะงักชงัน เหม่อมองเซียถงด้วยสีหน้าอันว่างเปล่า มันแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง! เมื่อครู่นางกล่าวว่าอันใด? นางมารร้ายคนนี้กำลังกล่าวขอโทษมัน?!
“หลิวซู ข้ารู้ว่า วิธีการของข้ามันน่ารังเกียจเพียงใด แต่ข้าจะต้องแข็งแกร่งและแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่านี้ เพื่อให้สักวันหนึ่ง ข้าจะได้คู่ควรกับตัวเจ้าจริงๆ!”
ดวงตาของเซียถงทอประกายพราวแสงสว่างไสว สีหน้าการแสดงออกของเขาเปี่ยมล้นความมั่นใจ
“ในวันข้างหน้า ได้โปรดร่วมทางต่อสู้ไปกับข้า นี่หาใช่ความสัมพันธ์ดั่งเจ้านายและผู้รับใช้ แต่พวกเราคือสหายของกันและกัน”
เซียถงยื่นมือออกไปหาหลิวซู จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาจากใจจริง
หลิวซูเหม่อมองมือเรียวหยกขาวที่ยื่นออกมาอยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้น พลันปรากฏประกายแสงสั่นไสวผ่านนัยน์ตาสีแดงของมัน แต่หลังจากนั้นสักพัก มันก็พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ใส่นางอย่างเย็นชา และหันศีรษะเบี่ยงหนีราวกับไม่สนใจ
เซียถงมิได้คิดมากอันใดกับการกระทำนี้มากนัก ในฐานะที่เป็นถึงจิตวิญญาณแห่งยุทธ์ภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ โดยเนื้อแท้ของมันย่อมกอปรไปด้วยความหยิ่งผยองจองหอง ส่งผลให้นิสัยโดยพื้นฐานของหลิวซูเป็นแบบนี้โดยธรรมชาติ
“ตราบเท่าที่เจ้าให้สัญญากับข้าว่า จะไม่สร้างปัญหาเดือดร้อน เจ้าสามารถไปเที่ยวเล่นที่ไหนก็ได้ตามอิสระ”
เซียถงกล่าวกับหลิวซู ขณะหันหลังกลับเตรียมเดินจากไป นางยังทิ้งท้ายอีกว่า
“ข้าไม่มีอะไรจะพูดต่อแล้ว เจ้าไปเที่ยวต่อเถอะ”
มองดูแผ่นหลังของเซียถงที่ค่อยๆ เดินลาลับจากไป หลิวซูหันมาจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา และทันใดนั้น ร่างของมันก็อันตรธานหายวับไปจุดที่ยืนอยู่ แต่พริบตาต่อมา ปรากฏว่า ภายในห้วงความคิดของเซียถง กลับมีกระบี่ทัณฑ์ฟ้าที่ย่อขนาดเล็กจิ๋วคอยเคว้งคว้างอยู่
“เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
เสี่ยวฮั่วเอ่ยถามปนแววสงสัย ที่จู่ๆ ก็เห็นกระบี่ทัณฑ์ฟ้าปรากฏขึ้นกลางห้วงความคิดของเซียถง และที่สำคัญมันยังจะมาเบียดพื้นที่อยู่ติดกับมันเลย
“ข้าจะคอยเฝ้าติดตามสาวน้อยนางนี้เอง หากนางยังไม่แข็งแกร่งขึ้นอย่างที่กล่าวอ้าง อีกสักพักข้าจะหาโอกาสจัดการนางทิ้งแทนซะ!”
หลิวซูนั่งขัดสมาธิกอดแผ่นอกแน่น ขานตอบอย่างเกียจคร้าน
“ร่างวิญญาณของเจ้าถูกปิดผนึกหนาแน่ปานนั้น ยังจะกล้าพูดจาอวดดีอยู่อีก? อาศัยตัวเจ้าในเวลานี้ ไม่มีทางเอาชนะนายท่านของข้าได้หรอก”
เสี่ยวฮั่วกล่าวเสียดสีชนิดไม่ไว้หน้าสวนกลับไป
“เจ้ากำลังพูดพล่ามอันใด? ไอ้จิตวิญญาณเทพอสูรบรรพกาลที่ไม่มีแม้แต่ร่างวิญญาณอย่างเจ้า มีคุณสมบัติอะไรมากล่าวเช่นนี้ต่อหน้าข้า?”
กระบี่ทัณฑ์ฟ้าที่คอยเคว้งอยู่กลางห้วงความคิดสั่นกระเพื่อมทันที หลิวซูเหลือบมองสบประสาทอีกฝ่ายผ่ายสายตา
เซียถงกูเหมือนจะสัมผัสได้ว่า หลิวซูย้ายร่างตัวเองมาอยู่ในห้วงความคิดของตนแล้ว ขณะเดินกลับพลันปรากฏรอยยิ้มบางๆ ขึ้นบนริมฝีปาก
“นายท่าน หากกระบี่ทัณฑ์ฟ้ามันย้ายเข้ามาอยู่ในห้วงความคิดของท่านแล้ว นั่นหมายความว่า มันยอมจำนนก้มหัวรับใช้ท่านในฐานะทาสแล้ว!”
เสี่ยวฮั่วแสร้งทำเป็นไม่สนใจคำพูดคำจาของหลิวซู และเปลี่ยนไปคุยกับเซียถงแทน ซึ่งน้ำเสียงและวาจาของมัน เป็นใครได้ยินก็ล้วนทราบว่า มันกำลังกระแนะกระแหนเสียดสีหลิวซูอย่างเห็นได้ชัด
“หยุดพล่ามไร้สาระ! ใครบอกว่าข้าเป็นทาสนาง!? คนที่จะมาเป็นเจ้านายของข้าได้จำต้องเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง หาใช่สาวน้อยอ่อนปวกเปียกแบบนี้!”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของเสี่ยวฮั่ว หลิวซูก็กระโดดขึ้นชี้หน้าด่ากราดใสทันที
และทันทีที่กล่าวจบ ร่างของหลิวซูก็หายวับไปจากห้วงความคิดของเซียถงทันที แต่ก็ยังมีกระบี่ทัณฑ์ฟ้าลอยเคว้งทิ้งเอาไว้ให้
“เฮ้ออ เป็นพวกปากไม่ตรงกับใจเสียจริง”
เสี่ยวฮั่วรำพึงรำพันกับตัวเอง
เซียถงรู้สึกมีความสุขขึ้นเล็กน้อยภายในใจ น้ำเสียงและลักษณะการพูดของหลิวซูค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละนิด ซึ่งในไม่ช้าก็เร็ว ก็หวังว่านางจะเอาชนะใจอีกฝ่ายได้โดยสมบูรณ์
ในช่วงบ่าย เป็นคาบเรียนแขนวงวิชายุทธ์ และไป๋หลี่หานยังคงออกคำสั่งเหมือนเดิม คือให้ทุกคนออกไปวิ่งฝึกกำลังบนภูเขาลูกด้านหลังสถานศึกษา ไปกลับห้าร้อยรอบ หลังจากวิ่งเสร็จก็เป็นเวลาค่ำมืดแล้ว แต่สิ่งที่เซียถงดได้รับกลับมาก็คือพละกำลังและความถึกทนที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามแต่ พัฒนาการด้านลมปราณกลับคืบหน้าในอัตราที่ช้ามาก
แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วไม่ได้ปรากฏตัวในสถานศึกษามาเป็นเวลาสองวันแล้ว เซียถงไม่ได้เข้าเรียนแขนงวิชากลยุทธ์ในช่วงบ่าย นางจึงเดินทางตรงไปในป่าสน และออกสำรวจตามบึงภายในส่วนลึกพร้อมกับกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือ เป้าหมายของนางก็คือการล่าสัตว์อสูรภายในบึงแห่งนี้ เพื่อให้เสี่ยวฮั่วดูดกลืนพลังวิญญาณของพวกมันไปเป็นอาหาร และถือโอกาสนี้ได้ทดลองใช้กระบี่ทัณฑ์ฟ้าไปในตัว
เข้ามาถึงอาณาเขตหนองบึงในส่วนลึก กวาดสายตาพินิจมองหมอกชั้นหนาแนนสีขาว เซียถงเหยียดมือขวาชูออกมา และทันทีทันใดกระบี่ทัณฑ์ฟ้าก็พลันปรากฏกายตามความนึกคิด นางเหลือบสายตามองใบกระบี่ประกายคมสีแดงพิสุทธิ์สาดสะท้อนแวววับ ส่วนมืออีกข้างล้วงไปใต้อกเสื้อ หยิบโอสถเม็ดหนึ่งตบเข้าปากเพื่อปกป้องพิษที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณหนองบึง และเดินเท้าเข้าสำรวจต่อไปในส่วนที่ลึกขึ้น
ปลายเท้าไสววูบเคลื่อนออกไปเป็นสายหนึ่ง ร่างอรชรของเซียถงค่อยๆ เลือนหายไปในหมอกสีขาวตรงหน้า
“นายท่าน กระบี่ในมือนางคือกระบี่ทัณฑ์ฟ้ากระมัง?”
คล้อยหลังเซียถงหายตัวลับออกไป ไป๋หลี่หานและโม่ซวนก็ปรากฏตัวขึ้นตรงตำแหน่งเดิมที่นางเคยยืนอยู่