ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 153 ความต่างชั้น
ตอนที่153 ความต่างชั้น
นางไถลตัวรอดหว่างขาของพวกมันโดยตรง คมแสงเย็นวาบผ่ากลางนภากาศ ก่อนที่เสือโคร่งเหมันต์ตนนั้นจะพุ่งจู่โจม นางกลิ้งตัวหนึ่งตลบเลี่ยงหลบ พร้อมตวัดกระบี่ทัณฑ์ฟ้าฟันร่างของมันจนขาดครึ่ง เนื้อในประกายแสงสีครามจัดจ้านยังปรากฏให้เห็นรัศมีสีเหลืองอำพันจางอ่อน ย่างก้าวต่อจากนั้นที่เซียถงเคลื่อนไหว ร่างของนางแปรสภาพกลายเป็นเงาแสงพิสดาร ความเร็วทวีเร่งเร้าเป็นเท่าตัว พุ่งโฉบเฉียวร่ายระบำกระบี่ทัณฑ์ฟ้าต่อเนื่องหลากกระบี่ ทิ้งทวนเพียงเส้นแสงสีแดงสดใส
ก่อนที่บรรดาเสือโคร่งเหมันต์จะได้รู้สึกฟื้นตัว ร่างของพวกมันก็ถูกนางฟันสะบั้นขาดออกเป็นชิ้นๆ แล้ว เส้นทางเบื้องหน้าปรากฏเป็นตอไม้ขัดขวาง เซียถงมิได้หวั่น ทั้งยังใช้สองเท้าค้ำยันเปลี่ยนเป็นแรงถีบ ดีดตัวเหินเวหาขึ้นฟ้า กระโดดขึ้นกิ่งก้านสาขาบนกิ่งไม้และเริ่มวิ่งหนีไปโดยเร็ว
หลังจากหลุดออกจากวงล้อมของฝูงเสือโคร่งเหมันต์ได้แล้ว เซียถงไม่มีเวลามานั่งถอนหายใจโล่งอก กระโดดข้ามกิ่งต่อกิ่งจนไม่เหลือให้กระโดดต่อไป สุดท้ายจำต้องลงภาคพื้นเพื่อวิ่งหนี ทว่าทันใดนั้น นับว่าดวงซวยอย่างแท้จริง เพราะเท้าข้างหนึ่งของนางดันเผลอไปเหยียบทรายดูด ขาทั้งข้างจมดิ่งลงไปฉับพลัน พันธนารการการเคลื่อนไหวโดยสมบูรณ์
บัดซบ!
เซียถงพยายามออกแรงยกขาขึ้นโดยสัญชาตญาณอย่างสุดกำลัง ทว่าราวกับภายใต้ทรายดูดมีบางสิ่งกำลังจิกกัด ทั้งยังมีแรงดึงดูดมหาศาลหวังจะดึงร่างทั้งร่างของนางให้จมลง
ในไม่ช้า ท่ามกลางห้วงทรายดูดร่างของนางก็จมลงถึงเอวแล้ว และถัดไปคงเป็นส่วนอกถึงส่วนคอในอีกไม่ช้าเช่นกัน
เสมือนมีสิ่งมีชีวิตอะไรบางอย่างอยู่ใต้ห้วงทรายดูดดังกล่าวจริงๆ มันไม่เพียงแต่กัดขาของนางเท่านั้นและยังพยายามฉุดร่างของนางให้จมลงไปหวังจะกินนางทั้งเป็น ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ภายในห้วงทรายดูดแบบนี้จะมีสัตว์อสูรคอยเร้นซ่อนแฝงตัวอยู่ข้างใต้….ช่วงเวลาดังกล่าว ใบหน้าอันงดงามของนางค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีซีดขาว
แต่ทันใดนั้นเอง คลื่นกระบี่สีเงินประกายพลันปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา กระหน่ำทิ่มแทงยัดใส่ห้วงทรายดูดที่ร่างของนางจมลงไปไม่มียั้งมือ แขนข้างขวาของเซียถงถูกฉุดดึงในทันที ร่างทั้งร่างถูกกระชากดึงออกจากห้วงทรายดูดในพริบตา
ทันทีที่เซียถงทรงตัวยืนขึ้นได้ ก็พลันไปเห็นอาหานที่กำลังกุมมืออยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายส่งยิ้มให้เล็กน้อย จึงค่อยหันไปจัดการกับห้วงทรายดูบ่อดังกล่าวต่อ เขาสำแดงใช้กระบี่จันทร์หิรัญในมือ ระเบิดคลื่นพลังทำลายล้างสีเงินสว่างไหว ชำระล้างสรรพสิ่งที่อยู่ในห้วงทรายดูดสิ้นสูญ
ขณะถือกระบี่จันทร์หิรัญในมือ เขาเหลียวหลังหันมาส่งยิ้มอบอุ่นมอบแก่เซียถง ชั่วขณะนั้นเอง ประหนึ่งมีดอกไม้ไฟท่ามกลางเทศกาลฤดูร้อนถูกยิงขึ้นฟ้าจ้าจรัสเฉิดฉาย แววตาแสนลึกล้ำของอีกฝ่าย ไฉนในยามนี้ถึงดูอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยรักและห่วงใยปานนี้กัน? เสี้ยวอึดใจถัดมา จู่ๆ ก็มีเสียงร้องแปลกประหลาดดังขึ้นจากใจ้ห้วงทรายดูด สีหน้าอบอุ่นหัวใจของอาหานพลันแปรเปลี่ยนกลายเป็นเย็นชาในทันใด หันศีรษะขวับ ยิงเส้นสายตาสีเย็นเยียบคมกริบเข้าใส่
หนึ่งเพลงกระบวนเคลื่อนขยับ กระบี่จันทร์หิรัญบินทะยานออกจากมือของเขา สาดแสงประกายเงินพราวระยิบ พุ่งปักเข้ากลางห้วงทรายดูดเสียบทะลวงโดยตรง ทันใดนั้นเอง พื้นผิวทรายดูดพลันเคลื่อนไสวคล้ายระลอกคลื่นทะเลขึ้นลงไปมา ราวกับว่ามีตัวอะไรบางอย่างดิ้นทุรนทุรายอยู่ใต้ล่าง
หลังจากนั้นไม่นาน จู่ๆ ก็มทีเลือดสีแดงฉานเผยปรากฏออกมา ย้อมห้วงทรายดูดจนกลายเป็นสีแดงฉานไปทั่ว เสี้ยวอึดใจนั้นเอง กระบี่จันทร์หิรัญจึงค่อยบินกลับเข้ามือของอาหานอีกครั้ง สองคู่สายตาหล่อสวยต่างจับจ้องไปที่ห้วงทรายดูดต่อหน้าอย่างสงบเงียบ ท้ายที่สุดค่อยเป็นอาหานที่ละสายตาออกมา และถอยหลังกลับไปดูอาการบาดเจ็บของเซียถง
เซียถงมองดูอีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่ปริปากกล่าวใดๆ เพราะมิทราบว่าตนควรจะพูดอะไรอยู่พักหนึ่ง ตั้งแต่ที่ตัวนางถูกอีกฝ่ายช่วยเหลือเอาไว้นัดต่อนัด เกรงว่าเพียงคำขอบคุณคงไม่เพียงพอแล้วจริงๆ
อาหารรีบกวาดสายตาสำรวจร่างกายของเซียถงด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหยุดลงที่เท้า จับจ้องเป็นประกายอยู่สักพักและรีบเบี่ยงมองไปทางอื่น กล่าวว่า
“เท้าของเจ้ายังขยับได้หรือไม่?”
เซียถงมองลงไปที่เท้าของนางเอง จึงพบว่า เท้าของนางข้างหนึ่งมีรอยฟันของสัตว์อสูรใต้ทรายดูดขบกัดเป็นแผลค่อนข้างลึก แต่ใจหนึ่งก็แปลกใจเล็กน้อย ไฉนเห็นแผลแล้วอีกฝ่ายต้องรีบเบี่ยงสายตาหนีเช่นนั้น พอมองไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเข้าใจ กระโปรงบางพริ้วของนางเองก็โดนกัดรุ่ยจนสั้นเตียน เผยให้เห็นขาอ่อนสีขาวผ่องประดุจหิมะ ยิ่งตอนนี้อยู่ในท่านั่งพับเพียบด้วยแล้ว ทำให้นางดูร้อนแรงและเร้าอารมณ์มิใช่น้อยเลยจริงๆ
เซียถงรีบยกมือไม้ปิดซ่อนขาอ่อนของตนโดยไว ส่วนเรื่องบาดแผลที่โดนสัตว์อสูรในทรายดูดกัดกลับมิได้เป็นอันตรายมากมายขนาดนั้น จึงส่ายหัวกล่าวตอบอาหานไปว่า
“ไม่เป็นไร”
อาหานพยักหน้า ทอดสายตามองไปทางฝูงเสือโคร่งเหมันต์ที่ไล่ล่าติดสอยมาท้ายหลัง และจู่ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นว่า
“จิตวิญญาณดวงนั้นที่กำลังดูดพลังวิญญาณจากศพเสือโคร่งเหมันต์ด้านหลัง…เป็นของเจ้ากระมัง?”
เซียถงได้ยินแบบนั้นก็ตื่นตระหนกยิ่งยวด รีบหันไปมองติดตามทิศทางที่อาหานมองออกไปโดยไว ระยะไม่ถึงครึ่งลี้ด้านหลังนาง ปรากฏฝูงเสือโคร่งเหมันต์ที่กำลังจับจ้องมายังนางด้วยสายตาดเดือดดุ แต่หากมองข้ามทะลุฝูงพวกมันไปอีกที ก็จะสังเกตเห็นได้ว่า เสี่ยวฮั่วกำลังม่วนอยู่กับการดูดกลืนพลังวิญญาณของเหล่าเสือโคร่งเหมันต์ที่ตายลงไปแล้วอย่างเอร็ดอร่อย
มันลอยออกจากห้วงความคิดนางตั้งแต่เมื่อใด?
“เอ่อ…ใช่!”
เซียถงกล่าวตอบอย่างจนใจ
“เจ้าคงมาล่าสัตว์อสูรที่นี่ก็เพื่อป้อนพลังวิญญาณให้แก่จิตวิญญาณดวงนั้น?”
เซียถงพยักหน้าเบาๆ
“เช่นนั้น เจ้าถึงมาที่นี่อยู่แทบทุกคืน?”
อาหานกล่าวจบก็หยุดนิ่ง สบสายตากับเซียถงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบกระบี่จันทร์หิรัญและเดินแช่มตรงไปหาฝูงเสือโคร่งเหมันต์ด้านหลังอย่างช้าๆ
เซียถงเหม่อมองแผ่นหลังอีกฝ่ายอย่างว่างเปล่า เอ่ยถามประโยคหนึ่งติดน้ำเสียงฉงนใจเล็กน้อยว่า
“แล้วเจ้ามาที่นี่ทำไม?”
“ล่าสัตว์อสูร”
อาหานกล่าวตอบ
“แล้วไฉนถึงต้องมาล่าสัตว์อสูรที่นี่?”
เซียถงก็ยังเอ่ยถามอีกครั้งด้วยความฉงนใจไม่เสื่อมคลาย
“เพราะหัวใจของข้าอยู่ที่นี่”
อาหานเบือนสายตาหันไปส่งยิ้มเป็นคำตอบ
เซียถงถึงกับอ้าปากค้างพูดไม่ออกทันที เพราะหัวใจของข้าอยู่ที่นี่? นี่มันหมายความว่าบ้าอะไร? ก็คือต้องการจะบอกว่า จากนี้ต่อไปตนจะมาล่าสัตว์อสูรที่นี่ทุกคืน? ริมฝีปากสีอมชมพูอวบอิ่มเม้มติดกันเล็กน้อย ต้องการจะกล่าวอะไรตอบกลับไปสักคำ ทว่าสุดท้ายกลับคายคำมิได้พูดไม่ออก
“ข้าต้องการล่าสัตว์อสูรที่นี่เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของตนเอง เช่นนั้นแล้ว ต่อไปนี้พวกเราจะมานักเจอกันที่นี่ทุกคืนดีหรือไม่? อืม…ข้าว่าเป็นเรื่องที่ดีมากเลย”
อาหานพูดเองเออเองพร้อมพยักหน้ากับตัวเองอยู่หลายที เขาเองพึงทราบดีว่า หญิงสาวนางนี้กำลังคิดอะไรอยู่ จึงย่อมแถลงไขให้คายความสงสัยให้ฟังโดยธรรมชาติ
เซียถงเบิกตาโพล่งกว้าง เนื้อตัวแข็งค้างกระด้างราวกับรูปปั้นหิน เอาจริงเหรอ? ระดับชั้นพลังสูงส่งถึงขอบเขตจักรพรรดิครามฟ้า แต่จะมาล่าสัตว์อสูรปราณชั้นสูงพวกนี้น่ะรึ? นี่มิได้เรียกว่าการล่าแล้ว เรียกว่า การทารุณกรรมสัตว์เถอะ!
เหตุผลไม่แย่เกินไปหน่อยเหรอ!
เมื่อเห็นปฏิกิริยาการแสดงออกของเซียถง เขาก็ระบายยิ้มกว้างออกมา แววความสุขเปี่ยมสะท้อนออกมาจากดวงตาคู่หล่อเหลา จากนั้นเขาก็หันศีรษะกลับเข้ามาตรงหน้า ย่างสามขุมเดินเข้าหาฝูงเสือโคร่งเหมันต์นับหลายร้อยตน แต่อย่างไรก็ตาม ทุกย่างเท้าที่เขาก้าวออกไป กลับเป็นฝูงเสือโคร่งเหมันต์เสียเองที่ตื่นกลัวสุดขีด จนต้องร่นเท้าถอยหนีออกไปอย่างอดมิได้
อาหานย่างเท้าก้าวเดินหน้าสิบก้าว พวกมันเองก็ร่นเท้าถอยหนีไปสิบก้าวเช่นกัน
ทันใดนั้นเอง อาหานพลันชะงักฝีเท้าหยุดเดินลง สาดสายตาเข้าเผชิญหน้ากับเสือโคร่งเหมันต์ทั้งฝูงที่ขจรหนาแน่นอยู่ตรงหน้า ชั่วอึดใจขณะ ชายเสื้อคลุมทั่วร่างของเขาพลันโบกสะบัดพัดไสวรุนแรง เกลียวสายลมโคจร หมุนกระโชกรุนแรงก่อตัวเป็นพายุห้อมล้อมเสือโคร่งเหมันต์ทั้งฝูงในคราวเดียว จากนั้นก็บังคับให้โหมกระหน่ำซัดเข้าใส่พวกมันทั้งหมดโดยตรง!ลมพายุคลั่งที่บังเกิดเข้าล้อมจากทั่วทุกสารทิศ วงรัศมีค่อยๆ บีบเข้ามาใกล้ขึ้นต่อเนื่อง ฝูงเสือโคร่งเหมันต์ไม่มีปัญหาอะไรได้แม้สักนิด กระทั่งจะเลี่ยงหลบก็ตามที และในอึดใจต่อมา เงาสะท้อนจากนัยน์ตาของเซียถงก็เห็นเพียงทะเลเลือดสีแดงฉานและเศษชิ้นเนื้อที่สาดกระเซ็นปลิวกระเด็นไร้ทิศทาง ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องคร่ำครวญสุดน่าสังเวชดังต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน คล้อยหลังเกลียวคลื่นพายุอ่อนกำลังและสลายหายไปในที่สุด ภาพฉากตรงหน้ากลับกลายมาเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ พื้นดินทั่วทุกหนระแหงถูกย้อมด้วยสีสดแดงฉาน ซากชิ้นส่วนของเสือโคร่งเหมันต์ทั้งหลายถูกชำแหละเป็นเศษเนื้อ และเหลือเสือโคร่งเหมันต์จำนวนแค่สามสี่ตนเท่านั้นที่รอด พวกมันรีบหันหลังวิ่งหนีตายจากออกไปโดยไว
เซียถงทอดสายตามองศพเหล่านั้นด้วยสายตาแสนว่างเปล่า เฉพาะช่วงเวลานี้เท่านั้น ที่นางสามารถตระหนักได้ถึง ขุมพลังความแข็งแกร่งของยอดฝีมือที่แท้จริงได้อย่างแจ่มแจ้ง นางทำทุกอย่างเพื่อหนีตายฝ่าวงล้อมฝูงเสือโคร่งเหมันต์ออกมาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ในขณะที่อาหานแค่ขยับแขนเสื้อเท่านั้น ก็สามารถฆ่าล้างบางพวกมันได้ทั้งฝูง!
นี่หรือ…ความห่างชั้นระหว่างผู้แข็งแกร่งและผู้อ่อนแอ