ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 156 เดิมพัน (2)
ตอนที่156 เดิมพัน (2)
“ช่างน่าขัน นังอัปลักษณ์ยาจกอย่างเจ้ารึจะมีโอสถราคาแพงระดับชั้นราชาโอสถหลอมกลั่นมาจากมือ?”
ไป๋หลี่เย่เชิดหน้าขึ้นสูง ระเบิดหัวเราะเยาะเสียงดังลั่นราวกับเพิ่งเคยได้ฟังเรื่องตลกครั้งใหญ่ สีหน้าการแสดงออกบนใบหน้าอัดแน่นไปด้วยแววความเหยียดหยาม
ผู้คนรอบข้างเองต่างก็ระเบิดหัวเราะกันยกใหญ่ ราวกับเซียถงเพิ่งพล่ามเรื่องตลกขำขันออกมาจริงๆ
“แล้วถ้าหากข้านำโอสถที่เจ้ากล่าวหาว่า สาวรับใช้ของข้าไปขโมยมาได้เพิ่มล่ะ?”
เซียถงหาได้สนใจเสียงหัวเราะเยาะรอบข้างแม้สักนิด เอ่ยถามไป๋หลี่เย่ที่กำลังหัวร่อเสียงเย็นชาสวนตอบกลับไป
ไป๋หลี่เย่หยุดหัวร่อขำขันไปชั่วขณะ หรี่เรียวตาระหงยาวแคบลงเล็กน้อย จับจ้องไปที่อีกฝ่ายเจือแววสงสัยไม่คลายอ่อน ไฉนนังอัปลักษณ์นี่ถึงได้มั่นใจนัก?
มิใช่ว่ามันสามารถหลอมกลั่นโอสถเหล่านี้ขึ้นมาเองได้?
ไม่ เป็นไปไม่ได้แน่นอน กระทั่งน้องสาวของข้า ไป๋หลี่อวี๋อิง นักหลอมโอสถผู้มีพรสวรรค์สูงที่สุดแห่งจักรวรรดิตงหลี่ ยังต้องใช้เวลาฝึกปรือกว่าหลายปีกว่าจะขึ้นกลายมาเป็นราชาโอสถได้ ดังนั้น นังอัปลักษณ์ยาจกนี่ไม่มีวันหลอมกลั่นโอสถเหล่านี้ได้แน่นอน! คงเหลืออีกความเป็นไปได้เดียวก็คือ…นางใช้เหรียญทองจำนวนมหาศาลเพื่อซื้อโอสถเหล่านั้นมา ถึงแม้นังนั่นจะมียอดฝีมือไร้นามคอยให้ความสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง แต่ก็ไม่มีทางเช่นกันที่ นางจะได้รับโอสถมากมายปานนี้! เว้นเสียแต่ว่านางจะสามารถหลอมกลั่นโอสถขึ้นมาเองได้จริงๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เสี้ยวความคิดนี้โฉบแล่นผ่านเข้ามาในห้วงสมองของไป๋หลี่เย่ มันก็ถูกปฏิเสธปัดตกไปทันที เพราะตามที่กล่าวไปเลย ไป๋หลี่อวี๋อิงเริ่มศึกษาวิถีแห่งโอสถมาตั้งแต่ยังเด็ก ผ่านมาหลายปีจวบจนวันนี้ก็ยังอยู่เพียงระดับชั้นราชาโอสถเท่านั้น แล้วเซียถงหรือจะเลื่อนระดับขึ้นกลายเป็นราชาโอสถได้เป็นเวลาอันสั้น?
ขณะครุ่นคิดอยู่นั้นเอง จู่ๆ ก็พลันได้ยินถ้อยคำที่เร้นแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นของเซียถงดังขึ้นว่า
“หากพรุ่งนี้ข้าไม่สามารถเสาะหาโอสถจำนวนหนึ่งโหลมาแสดงให้ทุกคนเห็นได้ แสดงว่าสาวรับใช้ของข้าเป็นคนขโมยมาจริงๆ และความผิดในจุดนี้ ข้าจะแสดงความรับผิดชอบเองทั้งหมด และยินดีให้องค์รัชทายาทจัดการดูแลเรื่องนี้เต็มที่”
ซึ่งคำว่าจัดการดูแลได้เต็มที่…มันมิได้หมายถึง ไป๋หลี่เย่จะเอาถึงตายเลยหรอกรึ?
ดวงตาของไป๋หลี่เย่เปล่งประกายขึ้นทันใด โพล่งกล่าวออกมาโดยไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่า
“ตกลง!”
“แล้วหากข้าเอาโอสถออกมาแสดงให้เห็นได้ในเช้าวันพรุ่งนี้ องค์รัชทายาทจะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร?”
เซียถงเลิกคิ้วเอ่ยถามไป๋หลี่เย่พร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้ม
ทันทีที่เห็นสีหน้าการแสดงออกที่สุดแสนจะมั่นใจปานนั้นของเซียถง ไป๋หลี่เย่พลันรู้สึกสงสัยวิตกจริตขึ้นอีกครั้งทันควัน หรือนางจะสามารถหลอมกลั่นโอสถพวกนั้นได้จริงๆ? ยิ่งคิดเท่าไหร่กลับเป็นเขาที่ยิ่งบังเกิดความเศร้าหมองขึ้นในใจมากขึ้นเท่านั้น ดูเหมือนว่า…เขาจะตัดสินใจรับคำท้าโดยไม่คิด ทั้งใจร้อนและเร่งรีบเกินไป
“องค์รัชทายาทเองคงทราบ เจ้าทั้งทุบตีและดุด่าสาวรับใช้ของข้าต่อหน้าสาธารณชนจนไม่เหลือหน้าใดๆ”
สายตาที่เซียถงจ้องเขม็งมองเข้ามา เสมือนเปี่ยมไปด้วยเพลิงโทสะพล่านกระดูกลุกโชน ไฉนสาวรับใช้ของข้าถึงต้องมาโดนใครก็ไม่รู้ทุบตีอย่างไร้เหตุผล? เห็นนางเป็นที่ระบายอารมณ์เล่นรึอย่างไร?
“พอเห็นว่าตัวเองไม่มีปัญญาทำอะไรกับข้า ก็เลยเลือกที่จะระบายอารมณ์กับสาวรับใช้ของข้าแทน มิทราบว่าเห็นนางเป็นคนอยู่หรือไม่? ทุบตีคนที่ไร้ซึ่งลมปราณปราศจากพลังเจียนตายปานนี้ มิทราบว่ารู้หรือไม่ว่า ตนเองกำลังทำอะไรลงไป?”
“มันก็แค่ทาสผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง หากนางตายก็ปล่อยให้มันตายนั่นแหละ ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของนางอีกด้วยที่ได้ตายลงในเงื้อมมือของข้า องค์รัชทายาทผู้นี้!”
ไป๋หลี่เย่กล่าวตอบด้วยความภาคภูมิใจ
“เช่นนั้น องค์รัชทายาทก็ยอมรับแล้วว่า ตนเองจงใจใส่ความเรื่องขโมยโอสถเพื่อใช้โอกาสนี้ทำร้ายร่างกายของนางและระบายความโกรธ?”
สีหน้าของเซียถงมืดทมิฬลงทันใด เสมือนหุบเขาน้ำแข็งพันปีได้บังเกิดขึ้นในดวงตาของนาง กระแสความเยียบเย็นที่แผ่ซานเสมือนกับสามารถเข้ากัดกินหัวใจของทุกคนในรัศมีรอบตัวได้ในพริบตา
ไป๋หลี่เย่ที่เห็นแบบนั้นพลันอดก้าวถอยหลังมิได้ ความหวาดกลัวเพิ่มพูนขยายตัวขึ้นจากก้นบึ้งจิตใจ และเมื่อเขาก้าวถอยหลังออกไปเรื่อยๆ ร่างของเขาก็ชนเข้ากับปรมาจารย์เสวี่ยที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหลัง เหลือบมองอีกฝ่ายที่กำลังยืนกอดอกอย่างสงบนิ่งอยู่ปราดหนึ่ง ทันใดนั้นความกล้าหาญภายในใจของเขาก็ฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง
สิ่งที่กำลังหวาดกลัวกลับกลายเป็นเรื่องไร้สาระทันที เพราะตราบใดที่เซียถงกล้าลงมือลงไม้ ปรมาจารย์เสวี่ยจะไม่ยอมปล่อยไว้แน่ คิดได้เช่นนั้น ไป๋หลี่เย่ก็ยืนตัวตรงยืดแผ่นอกขึ้นทันที กล่าวกับเซียถงด้วยทีท่าหยิ่งผยองขึ้นว่า
“องค์รัชทายาทผู้นี้เคยทำเรื่องสกปรกเช่นนั้นต่อสาวรับใช้ของเจ้าตั้งแต่เมื่อใด? หากพรุ่งนี้เจ้าสามารถนำโอสถเหล่านั้นออกมาแสดงให้เห็นได้ องค์รัชทายาทผู้นี้จะยอมรับในข้อหาของเจ้า และปล่อยให้เจ้าจัดการได้ตามอิสระ!”
“สัญญาปากเปล่า เกรงว่าจะมีสุนัขแถวนี้ตระบัดสัตย์ผิดสัญญาอีก เช่นนั้นแล้ว องค์รัชทายาทกล้าเขียนหนังสือสัญญากับข้าหรือไม่?”
เซียถงกล่าวสวนตอบทันที
“ได้! เราจะทำหนังสือสัญญากัน!”
ไป๋หลี่เย่กัดฟันกรอดพลางเปล่งเสียงเล็ดลอดตอบ
ใครบางคนที่อยู่แถวนั้นรีบส่งตลับหมึกและกระดาษไปให้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่เซียถงและไป๋หลี่เย่ร่างหนังสือสัญญาเสร็จสรรพ ทั้งสองก็ประทับลายนิ้วมือกดลงบนแผ่นกระดาษดังกล่าวทันที
เซียถงเหลือบมองสัญญาในมือ แสยะยิ้มเชิดมุมปากกระตุกขึ้นสูง ปรายหางตามองไปที่ไป๋หลี่เย่เล็กน้อยและเดินจากไปโดยตรง
ไป๋หลี่เย่ยืนนิ่งตัวแข็งทื่อไปทั้งแบบนั้น สายตาที่เซียงทิ้งทวนก่อนจากไปเมื่อครู่ มันยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเข้าไปใหญ่ แววตาเมื่อครู่มันราวกับกำลังจะสื่อว่า…ข้าชนะตั้งแต่ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ!
และเป็นตัวไป๋หลี่เย่เสียเองที่ตกหลุมพรางเป็นที่เรียบร้อย นั่นแหละคือสิ่งที่นางสื่อออกมาทางสายตา
ไป๋หลี่เย่ได้แต่จ้องมองแผ่นหลังของเซียถงที่เดินจากออกไปอย่างว่างเปล่า เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดแจ้ง ถึงความมั่นใจอันแรงกล้าของอีกฝ่าย
นี่นางเป็นคนมั่นใจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? หรือข้าจะโดนนางหลอกอีกแล้วงั้นรึ? ความไม่สบายใจเหล่านี้ยังแผ่ขยายกว้างขึ้นภายในใจของเขาไม่จางหาย จนสุดท้ายไป๋หลี่เย่ต้องถึงขั้นรีบเดินทางออกจากสถานศึกษากลับวังหลวงโดยเร็วที่สุด ในตอนนี้เขาแทบจะไม่เหลือความมั่นใจแล้ว และจำเป็นต้องขอร้องให้เย่หลีเทียนช่วยเหลืออีกแรง
การเดิมพันระหว่างเซียถงกับไป๋หลี่เย่ในครั้งนี้ ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งสถานศึกษาในช่วงบ่ายของวัน และสิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจยิ่งกว่าคือ ในช่วงบ่ายวันนี้ เซียถงยังคงดำเนิชีวิตอย่างปกติสุขในสถานศึกษาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ผู้คนส่วนโดยส่วนใหญ่ต่างคาดเดากันไปว่า สำหรับการเดิมพันครั้งนี้มันรู้ผลลัพธ์ตั้งแต่เริ่มอยู่แล้ว เซียถงไม่มีทางไปหาโอสถจำนวนหนึ่งโหล่มาแสดงให้เห็นในเช้าวันพรุ่งนี้ได้แน่นอน กล่าวได้ว่านางชะตาขาดแล้ว
อย่างไรก็ตาม ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าก็ยังมีฝ่ายหนึ่งที่เลือกจะนิ่งเฉยกับเหตุการณ์นี้ ตัวอย่างก็เช่น หยุนซี คณบดีเคราขาว และไป๋หลี่หาน เมื่อพบเห็นกับเซียถงที่ยังใช้กิจวัตรประจำวันตามปกติ พวกเขาทั้งสามก็มิได้แสดงความประหลาดใจใดๆ ออกมาแม้สักนิด
หลังจากเลิกเรียนช่วงบ่าย เซียถงกลับมายังที่ห้องพักของนาง ทว่าพบเพียงอิ๋งเอ๋อร์ที่ยังนอนอยู่บนเตียงปกติสุขดี ทว่าพื้นห้องทั่วทุกบริเวณกลับรกไปหมด สิ่งของต่างๆ ทั่วทั้งห้องถูกรื้อค้นจนกระจัดกระจาย
นางรีบตรงไปพลิกร่างของอิ๋งเอ๋อร์และเปิดเปลือกตาอีกฝ่ายขึ้นมาดู พบว่านัยน์ตาของอีกฝ่ายยังมีแววประกายปกติดี นี่สื่อได้ว่า ตัวอิ๋งเอ๋อร์มิได้ถูกทำร้ายร่างกายใดๆ น่าจะถูกเครื่องหอมหรืออะไรสักอย่างทำให้หลับไปเท่านั้น เซียถงจึงมิได้กังวลอะไร
กวาดสายตามองทั่วทั้งห้อง เซียถงอดหัวเราะเยาะเย้ยกับตัวเองมิได้ในใจ ก่อนเข้าเรียนในช่วงบ่าย นางคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่า ไป๋หลี่เย่จะต้องส่งคนมาที่บ้านเพื่อรื้อหาเบาะแสอะไรสักอย่าง ดังนั้นนางก็เลยขนย้ายอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการหลอมกลั่นโอสถทั้งหมดไปที่อื่นเรียบร้อยแล้ว