ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 157 เข้าประจัญบาน (1)
ตอนที่157 เข้าประจัญบาน (1)
หลังจากช่วยอิ๋งเอ๋อร์เก็บข้าวเก็บของจัดห้องใหม่ เซียถงก็ขังตัวเองเก็บตัวอยู่ในห้อง
จันทร์เพ็ญสีเงินลอยเคว้งประดับน่านฟ้า สถานศึกษาเซิงหลิงถูกห้วงรัตติกาลเข้าปกคลุม บรรยากาศแสนสงบเงียบงัน เซียถงยังคงเก็บตัวอยู่ในห้อง ซึ่งในเวลานี้สงัดเงียบกว่าปกติ ปราศจากเสียงใดเล็ดลอดออกมา
เย่หลีเทียนยืนอยู่ใต้ร่มป่าไผ่ขจีเขียว โดยมีชายอีกสองร่างยืนอยู่เคียงข้าง เขาเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสีทมิฬลึกล้ำจับต้องไปบนหอพักชั้นที่สาม หน้าต่างห้องท้ายสุดปราศจากแสงสว่างไสวใดๆ สันนิษฐานได้ว่า เจ้าของที่อยู่ในห้องนั้นน่าจะหลับแล้ว
แต่…เซียถงหลับไปแล้วจริงๆ งั้นรึ? หากนอนทั้งแบบนี้แล้วนางจะเอาโอสถมาจากไหน? หรือเป็นไปได้ไหมว่า…โอสถเหล่านั้นทั้งหมดล้วนได้รับมาจากเฒ่าประหลาดที่นางเคยพูดถึงจริงๆ? ในครั้งก่อนหน้า นางทูนกับฝ่าบาทกับปากตัวเองเลยว่า เฒ่าประหลาดผู้เป็นถึงเซียนโอสถมอบโอสถจำนวนหนึ่งแก่นางก่อนจะออกเดินทางจากไป แต่หากพรุ่งนี้นางสามารถนำโอสถจำนวนกว่าหนึ่งโหลออกมาได้จริงๆ นั่นก็ใช่ว่านางจะกระทำผิดข้อหาพูดจาเท็จต่อฝ่าบาทหรอกรึ? เพราะพึงทราบ โอสถที่เซียถงมอบให้แก่ฝ่าบาทในตอนนั้นมันมีเพียงเม็ดเดียวเอง?
หรือนางจะได้รับโอสถเหล่านี้จากช่องทางอื่นกัน? อย่างเช่น การขโมยมา หรือไม่ก็…หลอมกลั่นโอสถได้ด้วยตัวเอง? เมื่อนึกถึงจุดนี้ เย่หลีเทียนดวงตาเป็นประกายขึ้นทันที ในขณะเดียวกัน ด้านหลังของเย่หลีเทียนก็ยังมีไป๋หลี่เย่ที่กำลังกระสับกระส่ายร้อนใจอยู่ไม่สุข กับปรมาจารย์เสวี่ยที่ยืนนิ่งหน้าตายราวกับไร้ซึ่งอารมณ์ใด
ในอีกมุมมืดแห่งหนึ่ง ไป๋หลี่หานกำลังเฝ้ามองไปยังทิศทางห้องพักของเซียถงอย่างเงียบงันอยู่เช่นกัน ภายใต้หน้ากากสีดำอันบอบบาง ปรากฏดวงตาเรียวยาวครู่หนึ่ง นัยน์สีดำคู่ลึกล้ำเสมือนน้ำหมึกเร้นประกายสาดไสว ปรากฏแสงจันทร์เงินส่องสะท้อนผ่านเข้ามา แลเห็นร่องรอยความเย็นยะเยือกขุมหนึ่งแอบแฝง หากใครได้สบพินิจกับดวงตาคู่นี้เกรงว่าอาจทำให้ผู้คนเหล่านั้นต้องอึ้งตะลึง ก่อเกิดความประหม่าขึ้นในใจ
นางสามารถนำโอสถจำนวนมากขนาดนั้นมาได้อย่างไร? และด้วยวิธีใดกัน?
ด้านหลังไป๋หลี่หานมีโม่ซวนยืนเฝ้ามองอยู่อีกคน ในมือถือกล่องไม้กอดแน่นราวกับอวัยวะสำคัญชิ้นหนึ่งในร่างกาย อย่างไรเสีย สีหน้าของเขาที่เร้นซ่อนอยู่ใต้แสงจันทร์ กลับแฝงแววเจ็บปวดใจมิใช่น้อย เงยหน้าจับจ้องไปยังหน้าต่างห้องนอนของเซียถงที่มืดสนิทบนชั้นสาม ในห้วงสมองของเขาเริ่มคาดเดาไปถึงความเป็นไปได้ต่างๆ มากมาย
หลังจากผ่านไประยะใหญ่ โม่ซวนหันไปมองไป๋หลี่หานที่อยู่เบื้องหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เอ่ยน้ำเสียงแผ่วขึ้นว่า
“นายท่าน หากเซียถงไม่สามารถนำโอสถจำนวนหนึ่งโหลก่อนเช้าพรุ่งนี้ได้ เราจำต้อง…นำกล่องโอสถใบนี้มอบให้แก่นางจริงๆ กระมัง?”
“นางจะต้องหลอมกลั่นโอสถเหล่านั้นเองได้แน่นอน”
ไป๋หลี่หานตอบน้ำเสียงนิ่งสงัดมั่นคง จะเห็นได้ว่าเขาค่อนข้างมั่นใจในข้อสันนิษฐานตนเองมากขนาดไหน
แต่ในเมื่อนายท่านมองนางในแง่ดีปานนั้นจริงๆ แต่ไฉนถึงต้องขอให้ข้าเดินทางไปร้านขายโอสถเพื่อซื้อโอสถกว่าโหลหนึ่งมาเตรียมพร้อมไว้ด้วย? พึงทราบ โอสถที่ถูกหลอมกลั่นโดยราชาโอสถจำนวนกว่าหนึ่งโหล นับว่าเสียทรัพย์เป็นจำนวนไม่น้อยเลย โม่ซวนครุ่นคิดได้ดังนั้นพลันรู้สึกเป็นทุกข์อยู่ในใจ
ในอีกมุมลับของอีกมุมหนึ่ง คณบดีเคราขาวก็กำลังยืนจับจ้องไปทางห้องพักของเซียถง พลางลูบสัมผัสเครายาวสีขาวของตนอย่างคล่องมือ ลึกลงไปในแววตาคู่นั้นทอประกายแววความกังวลโดยมิอาจควบคุม หรือในเหตุการณ์ครั้งนี้…สาวน้อยนางนั้นตั้งใจที่จะเปิดตัวในฐานะนักหลอมโอสถต่อสาธารณะชนให้ล่วงรู้?
หากทุกคนทั่วผืนพิภพได้รู้ซึ้งความพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่บนเส้นทางแห่งโอสถของสาวน้อยนางนี้เมื่อใด สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือ ราชวงศ์ของจักรวรรดิต่างๆ จะรุมกันแย่งตัวนางจนก่อเกิดเป็นสงครามไม่รู้จบ และเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ เกรงว่าจะบังเกิดกลายเป็นพายุนองเลือดครั้งใหญ่ดั่งที่เคยมีในกาลอดีต…
ชั้นเมฆาสีมืดทมิฬสุมทรวงล่องลอยอยู่บนท้องนภายามราตรี จันทร์เพ็ญที่เคยสว่างไสวยามนี้ถูกบดบังแสงจรัสหดหาย ชั่วพริบตาต่อมา ผืนพิภพตกสู่ความมืดมิด
ภายในห้อง หลิวซูถือชุดแพรพรรณของสตรีสีชมพูอ่อนสวย เหลือสายตามองค้อนใส่เซียถงอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
“ให้ข้าใส่ชุดแพรพรรณของผู้หญิงนี่น่ะรึ!? มีอะไรผิดพลาดกระมัง? จะให้ชายชาติบุรุษอย่างข้าสวมแพรพรรณของผู้หญิงได้อย่างไร!”
“เจ้าเป็นจิตวิญญาณกระบี่ ไม่ใช่ชายชาติบุรุษ”
เซียถงกล่าวปัดน้ำเสียงเรียบเฉย
“ไม่ ข้าไม่ใส่แน่นอน”
หลิวซูเหลือบมองนางไปทีหนึ่ง เหวี่ยงชุดแพรพรรณในมือโยนทิ้งกับพื้นด้วยความหงุดหงิด ทั้งยังกระทืบซ้ำอีกสองสามที
“ไม่ใส่ก็ไม่ใส่ ทีแรกข้าตั้งใจว่าจะพาเจ้าเข้าวังหลวงด้วยกันในวันพรุ่งนี้ บางทีข้าอาจจะบังเอิญ…ไปเห็นองค์หญิงสักองค์ภายในนั้นกำลังอาบน้ำแช่ตัวอยู่ก็เป็นได้… ซึ่งข้าเองก็มีธุระสำคัญคงไม่มีเวลาไปห้ามปราบเจ้าเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าคงเป็นแค่ฝันแล้วเท่านั้น”
เซียถงหยิบชุดแพรพรรณดังกล่าวขึ้นมา ยกมือไม้ขึ้นตบเศษดินเศษฝุ่น เอ่ยน้ำเสียงติดเศร้าสร้อยเล็กน้อย
“ที่เจ้ากล่าวเป็นความจริงรึ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หลิวซูดวงตาเป็นประกายขึ้นทันควัน ผมยาวสลวยสีเงินของมันทอแสงแพรวพราวขึ้น
เซียถงพยักหน้า
“หากเจ้าช่วยข้าสวมชุดแพรพรรณผู้หญิงเพื่อดึงดูดความสนใจของพวกที่อยู่ข้างนอก ข้าคนนี้ย่อมไม่ผิดสัญญา”
“ตกลง! ถือว่าเราสัญญากันแล้ว!”
พูดจบ หลิวซูไม่รอช้ารีบถอดเสื้อผ้าสีแดงเพลิงของตนออกจากร่างโดยไว พร้อมคว้าชุดแพรพรรณของผู้หญิงในมือของเซียถงเข้ามาใส่สวมแทนโดยไว
เซียถงลอบมองอีกฝ่ายเจือแววหน่ายใจอย่างบอกไม่ถูก เจ้านี่คงไม่มีคำว่า อัปยศ อยู่ในหัวสมองของมันจริงๆ
“แล้วชุดนี่มันสวมอย่างไร มาช่วยข้าที”
หลิวซีคล้ายติดปัญหาบางอย่างกับการสวมชุดแพรแพรรณ มันเกาศีรษะแกรกอยู่ทีสองทีก่อนปริปากเอ่ยให้เซียถงเข้ามาช่วย สีหน้าการแสดงออกดูเหลืออด
เซียถงเดินไปช่วยจัดแจงชุดแพรพรรณบนเรือนร่างของหลิวซูให้เข้าที่สวยงาม
แต่พอแต่งออกมา หลิวซูกลับสวยเกินจินตนาการเอาไว้มาก ใบหน้าที่หล่อเหลาและอ่อนเยาว์ของมันดูเข้ากับชุดแพรพรรณยิ่งยวด เผลอๆ แล้วจะดูสวยกว่าผู้หญิงจริงๆ เสียอีก โดยเฉพาะกับนัยน์ตาสีแดงสดใสดั่งมณีทับทิม กับผมยาวสลวยสีเงินเปล่งประกาย ทั้งสองสิ่งนี้ยิ่งเพิ่มพูนเสน่ห์ให้แก่มันเป็นทวีทบ
ครั้งต่อไป หากข้าต้องใช้แผนการเสน่ห์ร้อยเล่มเกวียนแห่งอิสตรี ก็ไว้ใจหลิวซูได้เลย! เซียงถงแววตาพราวประกายสดใส แอบคิดกับตัวเองภายในใจอย่างลับๆ
แต่อย่างไรก็ตม ผมยาวสลวยสีเงินของมันกลับโดดเด่นเกินไปมาก เซียถงจึงหยิบที่คลุมผมขึ้นมามันสวมใส่ หลังจากรวบผมเก็บเข้าไปจนหมด เท่านี้ก็ไม่มีสีเงินสว่างไสวมาแยงตาอีกต่อไป
ด้านนอกยามนี้ แสงจันทร์ค่อนข้าพร่ามัว
“อัครมหาเสนาบดีเย่ พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดี?”
ไป๋หลี่เย่ซึ่งืยืนอยู่ด้านหลังเย่หลีเทียนเอ่ยปากถามขึ้นมาด้วยความร้อนใจกังวล หลังจากที่เซียถงกลับถึงห้องพัก ตัวเขากับเย่หลีเทียนก็คอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่นี่โดยตลอด ทว่าไฟภายในห้องพักของอีกฝ่ายดับสนิทไม่มีวี่แววเคลื่อนไหวจวบจนตอนนี้ อีกทั้งเย่หลีเทียนเองก็ไม่มีท่าทีลงมืออะไรเลยเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงอดกังวลมิได้
“องค์รัชทายาทโปรดอย่าได้ใจร้อนไป หากนางมีโอสถอยู่ในมือจริงๆ เราก็แค่ชิงมันมาก่อนรุ่งสางเท่านั้น”
เย่หลีเทียนตบไหล่ไป๋หลี่เย่เบาๆ ส่วนสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ทิศทางห้องพักของเซียถงตาเขม็งไม่ห่างเหิน
“อัครมหาเสนาบดีเย่มีแผนการเตรียมไว้แล้วกระมัง?”
ไป๋หลี่เย่ยิ้มแย่ม เอ่ยถามอย่างมีความสุข
“ใช่แล้ว”
เย่หลีเทียนพยักหน้า
ในขณะที่สนทนากันอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเงาร่างสีดำเดินออกมาจากทิศทางของห้องพักเซียถง และวิ่งออกไปข้างนอกด้วยความเร็วที่สูงมาก ชั่วขณะอึดใจ เย่หลีเทียนหรี่ตาแคบ หันขวับเหลือบไปที่ปรามาจารย์เสวี่ยที่อยู่ด้านหลังโดยตรง อีกฝ่ายพยักหน้าเข้าใจ แปรสภาพกลยเป็นเงาสีม่วงประกายปราดพุ่งออกจากกป่าไผ่ขจีเขียว ไล่ติดตามเงาสีแดงดังกล่าวอย่างเงียบงัน
ไป๋หลี่เย่ส่งยิ้มให้เย่หลีเทียน กล่าวว่า
“อัครมหาเสนาบดีเย่ ในที่สุดนางก็เคลื่อนไหวแล้ว ท่านไล่ตามไปช่วยอีกแรงเถอะ ปรมาจารย์เสวี่ยลงมือคนเดียว ข้าไม่ค่อยสบายใจนัก”
ช่วงเวลาเดียวกับที่เขากำลังกล่าวกับเย่หลีเทียนอยู่นั้นเอง จู่ๆ ก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์สลัว ตรงเข้ามาหยุดต่อหน้าปรมาจารย์เสวี่ย