ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 158 เข้าประจัญบาน (2)
ตอนที่158 เข้าประจัญบาน (2)
“ปรมาจารย์เสวี่ย ทำตัวลับๆ ล่อๆ อะไรในยามกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้? หรือคิดจะแอบลักลอบเข้าหอพักของศิษย์สาวกหญิง คงมีจุดประสงค์มิดีมิร้ายกระมัง?”
หยุนซีถกแขนเสื้อขึ้นทันที พลางเหล่สายตาชำเลืองอีกฝ่ายที่อยู่ต่อหน้าพร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้ม
ปรมาจารย์เสวี่ยชะงักหยุดในทันใด ทอดสายตามองร่างอรชรเพรียวบางเบื้องหน้าที่ขวางทางอยู่เล็กน้อย และทันใดนั้น เขาก็กระชากตัวพุ่งผ่านหน้าหยุนซีไปด้วยความเร็วสูงสุด ผันแปรกลายเป็นเงาพิสดารประกายม่วงสายหนึ่ง แล่นโฉบออกไปอย่างว่องไวจัดจ้าน
หยุนซีเลิกคิ้วมองเงาพิสดารประกายม่วงสายนั้นเคลื่อนผ่านอยู่แวบหนึ่ง เสี้ยวอึดใจต่อมา คู่เท้าของนางพลันกระตุกวูบติดตาม พุ่งกลายเป็นเงาพิสดารประกายแดงเพลิง ไล่ล่าอีกฝ่ายชนิดเผาขน
ปรมาจารย์เสวี่ยหันขวับมองกลับหลัง ชักกระบี่ยาวขึ้นติดมือ พลางเห็นหมอกควันสีแดงจางๆ พุ่งใกล้ชิดอยู่ติดหลังแล้ว ชั่วขณะ หนึ่งประกายคมสีเย็นยะเยือกฟันฉับ เสมือนเส้นด้ายที่มองไม่เห็นถูกฟันขาดสะบั้น หมอกควันสีแดงจางสลายหายไปทันใด กลายเป็นไอสีขาวฟุ้งกระจายทั่วอากาศ เมื่อตกลงสู่พื้นดิน ต้นไม้ใบหญ้าทั่วบริเวณนั่นพลันเหี่ยวเฉาในทันพริบตา
“หยุนซี วันนี้เจ้าก็คิดที่จะต่อกรกับข้า?”
ปรมาจารย์เสวี่ยปรายสายตามองต้นไม้ใบหญ้าที่เหี่ยวเฉาเหล่านั้นอยู่ทีหนึ่ง ก่อนจะหันมาเอ่ยถามน้ำเสียงหมองหม่น
“ปรมาจารย์เสวี่ย พวกเราเองก็มิได้เจอกันตั้งนานแล้ว คิดจะลาจากสหายเก่าไปทั้งที่ไม่พูดคุยกันเช่นนี้ คงเป็นไปไม่ได้กระมัง?”
หยุนซีส่งยิ้มให้อีกฝ่าย สืบเท้าก้าวย่างเข้าหาอย่างแช่มช้า
ปรมาจารย์เสวี่ยช่วงชิงจังหวะโหมโรงเปิดฉากก่อน ร่ายกระบี่ยาวในมือกระหน่ำจ้วงแทงเข้าใส่หยุนซีชนิดไม่มียั้ง ส่วนทางด้านหยุนซีพ่นลมหายใจเย็นเฮือกใหญ่ สะบัดเรียวมือหยก และทันทีทันใดก็มีกระบี่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของนาง
สองคมกระบี่ตัดเซียน เสียดปะทะชนดังสนั่น ชั่วอึดใจขณะ ฟ้าดินแปรสภาพเปลี่ยนสี เกลียวคลื่นลมแรงก่อตัวเป็นพายุโหมกระหน่ำโดยมีจุดศูนย์กลางเป็นร่างทั้งสองแผ่ไพศาลขยายวงกว้างออกไป ต้นไม้บุปผาโดยรอบถูกซัดโค่น ประกายแสงสีม่วงและสีแดงเพลิงโฉบเฉียวตัดทะแยงสวนกันไปมาอย่างดุเดือด
เย่หลีเทียนมองทั้งสองคนที่กำลังขับสู้สัประยุทธ์กันอย่างเดือดดุ ลุกขึ้นจากที่ซ่อนตัว รีบไล่ตามเงาดำที่กำลังลาลับไปจากเส้นสายตาโดยไว ส่วนไป๋หลี่เย่เองก็เร่งฝีเท้าตามไปติดๆ
“นายท่าน พวกเราควรตามไปหรือไม่?”
ไป๋หลี่หานเหล่มองเงาดำที่เคลื่อนออกไปไกลลับสายตา ผุดรอยยิ้มแฝงนัยสำคัญปรากฏขึ้นบนมุมปาก คำตอบของคำถามจากโม่ซวนให้ไว้เพียงส่ายหัว และเคลื่อนสายตากลับไปที่ห้องพักของเซียถงอีกครั้งหนึ่ง
ท่ามกลางคืนราตรีอันเงียบสงบ หน้าต่างห้องพักที่ถูกปิดสนิทแน่นหนา จู่ๆ พลันถูกผลักเปิดออกมา และทันใดนั้น ก็มีเงาร่างหนึ่งกระโดดข้ามหน้าต่างออกมาอย่างเงียบงัน คล้อยหลังร่อนลงพื้นโดยสวัสดิภาพ เงาร่างดังกล่าวเหลือบสายตามองไปยังทิศทางที่หยุนซีและปรมาจารย์เสวี่ยต่อสู้กันอยู่ และอันตรธานหายตัววับจากไปโดยไว ทิศทางที่หนีไปคือป่าสนเคียงข้างท่ามกลางเงาจันทร์
“นั่นมันเซียถงมิใช่รึ! แล้วเงาดำก่อนหน้านี้คือใครกัน?”
โม่ซวนโพล่งตาเบิกกว้าง ปฏิกิริยาท่าทางดูประหลาดใจยิ่งยวด หากเงาร่างเมื่อครู่คือเซียถง แล้วใครกันที่วิ่งออกจากตัวอาคารหอพักไปก่อนหน้านี้?
“คนก่อนหน้าน่าจะเป็นคนใกล้ชิดของนาง เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะตามนางไปเอง”
ไป๋หลี่หานหันมากล่าวทิ้งทวนกับโม่ซวนอยู่ประโยคหนึ่ง สิ้นเสียงกล่าวจบ ร่างของเขาก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาโม่ซวนในทันใด
เงาอรชรเพรียวบางคนก่อนหน้านี้เป็นคนใกล้ชิดของเซียถงเองหรอกรึ? แต่จะว่าไปแล้ว…หุ่นของอีกฝ่ายก็สวยใช้ได้เลย หากมีโอกาส เขาเองคงต้องหาเวลาไปทำความรู้จักเสียหน่อยแล้วสักครา โม่ซวนได้แต่คิดแล้วก็สงสัยอยู่ตรงนั้น
เซียถงแอบกระโดดเข้าห้องพักของไป๋หลี่อวี๋อิง เพราะห้องนี้ไม่มีใครอยู่อีกเลยตั้งแต่ที่ไป๋หลี่อวี๋อิงโดนนางวางยาพิษใส่ และหลังจากที่เซียถงประกาศเดิมพันกับไป๋หลี่เย่ในช่วงเที่ยง นางก็เคลื่อนย้ายเครื่องใช้และวัสดุทั้งหมดสำหรับการหลอมกลั่นโอสถมาไว้ที่นี่
สถานที่ปลอดภัยที่สุดก็คือสถานที่อันตรายที่สุด ไม่มีใครคิดได้แน่นอนว่า ตัวนางจะหยิบยืมห้องพักของศัตรูอาฆาตมาใช้ในเวลาแบบนี้แน่นอน หลังจากจัดแจงสิ่งของและตัวสมุนไพรวางเรียงเป็นแถว เซียถงก็เริ่มกระบวนการหลอมกลั่นโอสถทันที
ในขณะที่เซียถงกำลังจดจ่ออยู่กับการหลอมกลั่นโอสถอยู่ภายในห้องพักของไป๋หลี่อวี๋อิงอย่างเงียบๆ ไป๋หลี่หานเองก็กำลังแอบมองผ่านหน้าต่างอีกบานอยู่ และได้เห็นทุกกระบวนการหลอมกลั่นโอสถที่สุดแสนจะช่ำชองของเซียถงอย่างชัดเจนเต็มสองตา สีหน้าการแสดงออกของเขาในเวลานี้ ใครเห็นก็บอกได้ทันทีว่า เขาผู้นี้กำลังตื่นตะลึงมากเพียงใด
ปรากฏว่านางเป็นนักหลอมโอสถอยู่แล้วจริงๆ? และดูจากลักษณ์แล้ว นางยังมีฝีมือสูงถึงระดับชั้นราชาโอสถ ซึ่งนี่อาจเป็นเป้าหมายสูงสุดในชั่วชีวิตของใครหลายๆ คน ในขณะที่นางสามารถทำสำเร็จได้ภายในเวลาแค่เดือนกว่าๆ เท่านั้น
นี่มันน่าเหลือเชื่อมาก!
เซียถงมุ่งจิตสมาธิทั้งหมดอยู่กับการควบคุมความร้อนของเปลวไฟด้วยความระมัดระวัง โดยยังไม่รู้ตัวว่ามีคนแอบมองอยู่ ดังนั้นทุกการเคลื่อนไหวของนางล้วนถูกบันทึกเก็บไว้ในสายตาของไป๋หลี่หาน
เมื่อโอสถทั้งหมดถูกหลอมกลั่นจนเสร็จสิ้นทุกกระบวนการ เซียถงก็บรรจุโอสถเห็บลงในใต้อกเสื้อ แล้วจึงค่อยสื่อจิตเรียกหลิวซูกลับมาผ่านห้วงความคิด หลังจากนั้นไม่นานนัก หลิวซูก็ปรากฏกายขึ้นมาต่อหน้าต่อตาพร้อมกับสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก
เซียถงเห็นอีกฝ่ายไม่พอใจเช่นนั้น จึงเอ่ยถามขึ้นว่า
“เกิดอะไรขึ้น?”
“น่าเบื่อเกินไป ข้าต้องเล่นกับสมุนไพรในห้องหลอมกลั่นอยู่ตั้งนาน”
หลัวซีถอดผ้าคลุมบนศีรษะออกพร้อมถอดชุดแพรพรรณอย่างยากลำบาก พลางจับจ้องใบหน้าของเซียถง แสดงความไม่พอใจชัดเจน
“แล้วพวกที่แอบตามเข้ามาล่ะ? พวกนั้นคิดว่า เจ้าสามารถหลอมกลั่นโอสถได้จริงๆ หรือไม่?”
เซียถงเอ่ยถาม
“ทีแรกพวกมันก็แอบส่องอยู่นอกประตู แต่เหมือนกับว่าเพิ่งจะมารู้สึกตัวทีหลัง จึงรีบบุกเข้าห้องหลอมกลั่นมา แต่นั่นเป็นช่วงเวลเดียวกับที่เจ้าเรียกข้ากลับมาพอดิบพอดี”
หลิวซูยืดเส้นยืดสายพลางบิดขี้เกียจ ขยี้ตาไปหลายทีและกล่าวขึ้นว่า
“ทำเอาข้าอดนอนหลับพักผ่อนตลอดทั้งคืนเลย ขอตัวก่อนก็แล้วกัน แล้วอย่าลืมที่สัญญากันไว้ด้วย!”
สิ้นเสียง มันก็อันตรธนหายตัวจากไปโดยตรง แต่หลิวซูเองก็มิได้ไปไหน เพียงกลับเข้ามาหลับในห้วงความคิดของนางก็เท่านั้น
ก่อนหน้าที่เซียถงจะส่งหลิวซูออกจากหอพักไป นางกำชับให้เขาแอบวิ่งไปเข้าห้องหลอมกลั่นในตัวอาคารวิชาแขนงโอสถของสถานศึกษา และแสร้งทำเป็นหลอมกลั่นโอสถอย่างขะมักเขม้น เพื่อถ่วงเวลาพวกที่แอบติดตามมันมา
ซึ่งในความเป้นจริง ในทีแรกเซียถงตั้งใจจะล่ออีกฝ่ายให้ไปไกลกว่านี้อย่างเช่น ในส่วนลึกของป่าสนบนภูเขา แต่เนื่องจากกระบี่ทัณฑ์ฟ้าถูกทำสัญญากับเจ้าของไปแล้ว หลิวซูจึงไม่สมารถอยู่ห่างจากตัวนางได้เกินกว่ารัศมีที่กำหนด สรุปสุดท้าย เซียถงจึงเปลี่ยนแผน บอกให้มันหลอกล่ออีกฝ่ายไปที่ห้องหลอมกลั่นแทนและแสร้งทำเป็นหลอมกลั่นโอสถจริงๆ