ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 159 ชัยชนะ (1)
ตอนที่159 ชัยชนะ (1)
เซียถงทราบดีว่า เมื่อพวกที่แอบเฝ้าติดตามหลิวซูเห็นว่า นางกำลังหลอมกลั่นโอสถ พวกมันจะต้องรอให้นางหลอมกลั่นโอสถเสร็จก่อน ถึงค่อยลงมือช่วงชิงมาเก็บไว้กับตัว และถึงแม้โอสถเหล่านั้นจะไม่มีประโยคสำหรับคนพวกนั้น แต่หากนำไปขายก็ได้เงินกลับมาจำนวนไม่น้อยเลย
ต้องขอบใจหลิวซูที่มันแกล้งทำเป็นหลอมกลั่นโอสถได้แนบเนียน ส่งผลให้นางสามารถหลอมกลั่นโอสถได้อย่างราบรื่นโดยไม่มีบุคคลที่สามเข้ามารบกวน เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าที่เคยมืดสนิท เวลานี้เริ่มทอแสงแรกอรุณสว่างไสวขึ้นบางส่วนแล้ว เซียถงนั่งขัดสมาธิบนเก้าอีและหลับตาลง
ในขณะเดียวกัน ณ ห้องหลอมกลั่นของอาคารแขนงวิชาโอสถ เย่หลีเทียนเหม่อมองกองสมุนไพรทั่วพื้นที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วพร้อมสีหน้าเศร้าสร้อย ทั้งยังมีเงาร่างอีกคนที่ตามติดอยู่ด้านหลัง ซึ่งก็คือไป๋หลี่เย่ที่อยู่ข้างนอก ชะโงกหน้าเข้ามาแอบดูอย่างกล้าๆ กลัวๆ
สรุปสุดท้ายนี้ เซียถงสามารถหลอมกลั่นโอสถได้จริงหรือไม่? ในตอนแรกที่เขาและไป๋หลี่เย่พบเห็น ภาพฉากที่เงาร่างสีดำกำลังมุ่งสมาธิอยู่กับเตาหลอมโอสถตรงหน้า ทั้งคู่ล้วนปั้นสีหน้าตื่นตกใจยิ่งยวด และยังซ่อนตัวอยู่หน้าประตูห้องหลอมกลั่น เฝ้ามองอย่างเงียบงันอยู่สักพักใหญ่ จนกระทั่ง ผ่านไปเป็นเวลานาน ก็ยังเห็นกองสมุนไพรทมเรียงรายอยู่ข้างโต๊ะไม่เห็นจะนำลงไปใส่เตาหลอมเสียที ในเวลานั้นเย่หลีเทียนก็เริ่มชักรู้สึกแปลกใจ
เพราะภาพฉากตรงหน้าเห็นเพียงว่า นางเอาแต่ทำมือทำไม้พัลวันยุ่งยามอยู่แต่กลับสมุนไพรต้นสองต้น ไม่เห็นเริ่มกระบวนการหลอมกลั่นเสียที เห็นเฝ้าสังเกตการณ์นานเท่าไหร่ เย่หลีเทียนก็ยิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นมาเท่านั้น แผ่นหลังถึงกับเย็นสะท้านในบัดดล
หากคนที่อยู่ข้างในนั้น…ไม่ใช่เซียถงขึ้นมาล่ะ? ชั่วอึดใจต่อมา เย่หลีเทียนพลันตอบสนองในทันใด ยื่นมือออกไปผลักประตูให้เปิดออก รีบพุ่งเข้าจับตัวตลบหลังอีกฝ่ายด้วยความเร็วประดุจสายฟ้าฟาด
ทันทีที่ดึงผ้าคลุมศีรษะของอีกฝ่ายออก ก็ปรากฏผมยาวสลวยสีเงินประกายต่อหน้าต่อตาของเย่หลีเทียน คนที่อยู่เบื้องหน้าของเขาหันศีรษะย้อนกลับมามอง แลเห็นแค่เพียงดวงตาสีแดงทับทับอยู่คู่หนึ่งเท่านั้น
นี่ไม่ใช่เซียถง! หนึ่งความคิดผุดขึ้นมาในหัวของเขาทันที และเพียงอึดใจต่อมา ร่างๆ นั้นก็อันตรธานร่างหายตัวไปกลงอากาศ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนแม้กระทั่งเย่หลีเทียนยังไม่ทันตอบสนองด้วยซ้ำ และใช้เวลาครุ่นคิดอยู่สักครู่ใหญ่ ถึงเพิ่งจะทราบในภายหลังว่า ร่างๆ นี้หาใช่มนุษย์ แต่เป็นจิตวิญญาณแห่งยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์สักชิ้นหนึ่ง เมื่อนึกถึงจุดนี้ สีหน้าการแสดงออกของเขาก็มืดทมิฬลงจนน่ากลัว
“อัครมหาเสนาบดีเย่ เซีย…เซียถงอยู่ที่ไหน?”
ไป๋หลี่เย่ย่างเท้าก้าวเข้ามาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เบื้องหน้าพบเห็นเพียงห้องหลอมกลั่นที่แสนว่างเปล่า ดวงตาเบิกกว้างแถบถลนด้วยความเหลือเชื่อ ไฉนจู่ๆ คนทั้งคนถึงหายตัวไป?
“มันไม่ใช่เซียถง”
เย่หลีเทียนก่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง เงยศีรษะทอดมองแผ่นฟ้าผ่านหน้าต่างบานหนึ่งก็พึงตระหนักได้ว่า นี่ถึงเวลารุ่งสาง แสงแห่งแรกอรุณได้แย้มบานขึ้นแล้ว เฉพาะช่วงเวลานี้เท่านั้น เย่หลีเทียนรู้ได้ทันทีว่า ตนได้เสียท่าต่อเซียถงอีกครั้ง
“เซียถง!!”
สายตาคู่นั้นปิดลง ระงับโทสะและแววชั่วร้ายให้ลบหายไปจากใบหน้า วาจาสองพยางค์ดังกล่าวหลุดลอดเปล่งดังสนั่นออกจากปากของเขาโดยตรง
“อัครมหาเสนาบดีเย่ พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดี?”
ไป๋หลี่เย่เอ่ยถามขึ้น ท่าทางการแสดงออกดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด หากเซียถงสามารถนำโอสถออกมาเผยแสดงต่อหน้าสาธารณชนได้จริงๆ เกรงว่านางคงเอาเขาถึงตายแน่นอน!
“นี่ท่านคงต้องการจะถามใช่หรือไม่ว่า นางจะสามารถหยิบโอสถเหล่านั้นออกมาเผยแสดงได้หรือไม่? ถึงนางจะทำได้แล้วอย่างไร? อย่าลืมไปเสียว่าท่านคือองค์รัชทายาท”
เย่หลีเทียนเงยหน้าจับจ้องไป๋หลี่เย่ คู่ประกายตาคมกริบสาดส่อง
“เซียถงมันเป็นเพียงบุตรสาวของเสนาบดีเล็กๆ คนนึงเท่านั้น หรือเป็นไปได้ไหมว่า ท่านที่เป็นถึงราชกุมารแห่งจักรวรรดิจะกลัวเกรงเพียงแค่บุตรสาวจากจวนเสนาบดีชั้นล่าง!”
ทันทีที่กล่าวมาถึงจุดนี้ ดวงตาของเย่หลีเทียนพลันพราวสว่าง ฉายประกายเยียบเย็นพราวประหนึ่งมีดเร้นคมยากเกินจะตรวจจับ
ใช่แล้ว! ข้าเป็นถึงองค์รัชทายาทผู้สง่าผ่าเผย แล้วไยถึงต้องหวาดกลัวบุตรสาวของเสนาบดีชั้นล่างด้วย? ไม่ว่าเซียถงจะหยิ่งผยองอวดดีเพียงใด แต่นางก็เป็นได้เพียงลูกสาวของเสนาบดีเซี่ย นางหรือจะมีปัญญาต่อกรกับข้า?
นึกขึ้นได้เช่นนี้ ไป๋หลี่เย่ยืดเอวแอ่นแผ่นอกตั้งตง่านโดยทันที ก้าวย่างเดินจากห้องหลอมกลั่นโอสถออกไปด้วยความภาคภูมิ จะเหลือก็แค่ เย่หลีเทียนที่กำลังยืนมองแผ่นหลังอีกฝ่ายเดินจากประตูออกไป เรียวตาคู่เหลียวแหลมของเขามีแต่ความดูหมิ่นดูแคลนอัดแน่นสุดหัวใจ
นี่หรือองค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิตงหลี่? ผู้ที่จะขึ้นมาเป็นองค์จักรพรรดิในอนาคต?
รอยยิ้มแสนเย้ยเยาะลอบกระตุกเชิดขึ้นบนมุมปาก เย่หลีเทียนหลับตาลงอีกครา และเมื่อลืมตาขึ้นในคราวนี้ สีหน้าการแสดงออกทุกอย่างบนใบหน้าของเขาก็กลับสู่สภาวะปกติดังเดิม ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยความเย็นชาและปราศจากคลื่นอารมณ์อื่นใด ยกปลายเท้าก้าวแช่ม เดินติดตามไป๋หลี่เย่ออกไป
ยามท้องนภาสว่างสดใส เซียถงแอบย่องออกจากห้องพักของไป๋หลี่อวี๋อิง และเดินทางไปยังสถานที่นัดพบกับไป๋หลี่เย่เมื่อวานนี้ ซึ่งในปัจจุบัน ทั้งบรรดาคณะอาจารน์และลูกศิษย์ลูกหามากมายเกือบทั้งสถานศึกษาล้วนนัดรวมตัวรอกันอยู่เลย สีหน้าแต่ละคนดูเคร่งเครียดขมวดคิ้วถักเข้าหากันแน่น เฝ้ารอคอยการมาถึงของทั้งสองฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อเห็นเซียถงเดินฝ่าฝูงชนตรงเข้ามา ทุกคนต่างตระหนักทราบทันควันพร้อมหลีกทางเปิดให้โดยพร้อมเพรียง ก่อนหน้า พวกเขาล้วนคิดกันไปว่านางไม่น่าจะมาตามนัด แต่ที่ไหนได้ นางกลับมาถึงเป็นคนแรกเสียด้วยซ้ำ!
“เซียถง เจ้านำโอสถมาด้วยหรือไม่?”
บางคนที่อดใจรอดูไม่ไหว ถึงกับโพล่งตัวเอ่ยถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“เซียถง หากเจ้าหาโอสถมาไม่ได้จริงๆ เจ้าก็ลองเจรจากับองค์รัชทยาทให้ดี บางทีอีกฝ่ายอาจจะลดโทษแก่เจ้าให้เบาลง”
มีอีกคนกล่าวเสริม
“นังอัปลักษณ์นี่เตรียมถูกองค์รัชทายาทขับไล่ไสส่งออกจากสถานศึกษาได้เลย! นี่เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว!”
คนที่กล่าวประโยคนี้ก็คือคุณชายจากตระกูลร่ำรวยคนหนึ่งที่เคยถือวิสาสะต้องการจะเปิดผ้าคลุมใบหน้าของเซียถง แต่กลับถูกนางจับได้และโดยมีดปาดคอเบาๆ เป็นการสั่งสอน
“แต่ก่อนข้าก็คิดว่า ภายใต้ผ้าคลุมผืนนั้นจะเก็บซ่อนความงามถล่มเมืองเอาไว้ แต่ที่ไหนได้กลับเร้นซ่อนใบหน้าอัปลักษณ์ยิ่งกว่าผีเอาไว้! อย่าคิดแม้แต่จะเปิดผ้าคลุมนั่นขึ้นมาเด็ดขาด มิฉะนั้นข้าคงอาเจียนออกมาตรงนี้เป็นแน่! ฮ่าฮ่า!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ทันใดนั้นเองก็มีคนระเบิดหัวเราะเยาะขึ้นมา และไม่นานนัก ทั่วทั้งบริเวณก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะดังสนั่น
ชายหนุ่มผู้นั้นจับจ้องไปที่เซียถง สีหน้าแววตาเปี่ยมแววสบประมาทอย่างแรงคล้ายจะหาเรื่อง
แต่ทว่า เมื่อเผชิญหน้ากับเสียงหัวเราะเยาะเย้ยรอบตัวเหล่านี้ เซียถงกลับสงบนิ่งดั่งปกติสุขราวกับไม่เคยได้ยินสุ้มเสียงเหล่านี้เล็ดลอดผ่านเข้ามาในหูเลยสักนิด ภายใต้ทุกสายตาความสบประมาทที่จับจ้อง นางเดินไปนั่งลงเพียงลำพังอยู่ใต้ต้นบุปผา เฝ้าคอยการมาถึงของไป๋หลี่เย่อย่างเงียบงัน
อิ๋งเอ๋อร์ถูกเฆี่ยนตีใช้กำลัง และในคราวนี้นางจะต้องชดใช้คืนเป็นสองเท่าทวี และนางก็มิได้สนใจเช่นกันว่า ฝ่าบาทจะมีความเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร อย่างมากก็แค่ส่งหนังสือสัญญาที่ร่วมกันร่างและยินยอมกับไป๋หลี่เย่เมื่อวานนี้ไป ต่อให้นางจะลงมือลงไม้ถึงขั้นทำให้ไป๋หลี่เย่พิการ แต่ด้วยหนังสือสัญญาฉบับนี้ ฝ่าบาทก็ไม่สามารถล้ำเส้นรบกวนนางได้เช่นกัน และหากใช้เหตุผลไร้สาระมาเป็นข้ออ้างเมื่อใด นางเองก็พร้อมตอบโต้เช่นกัน
หลังจากรออยู่สักครู่ ไป๋หลี่เย่ก็รีบเดินทางเข้ามา ตามมาด้วยเย่หลีเทียนที่เดินติดตามอยู่เบื้องหลัง
ไป๋หลี่เย่ชำเลืองมองก็ค้นพบว่า อีกฝ่ายนั่งอยู่ใต้ต้นบุปผารออยู่แล้ว ทั้งนี้เองก็ยังนั่งลับตาสงบนิ่งปราศจากท่าทางประหม่าใดๆ ภาพฉากดังกล่าวยิ่งกระตุ้นความวิตกกังวลภายในใจของเขาเข้าไปใหญ่
“เซียถง องค์รัชทายาทผู้นี้คิดว่า เจ้าเองก็แค่สตรีนางหนึ่ง ที่ทั้งผอมแห้งแรงน้อย คงทนต่อการรับโทษทัณฑ์มิได้ ดังนั้นรีบมาขอโทษข้าแต่โดยดี แล้วข้าจะยอมลดโทษให้กึ่งหนึ่ง”
พอสังเกตเห็นว่า ทุกสายตากำลังเฝ้ามองมาทางตาอย่างใจจดใจจ่อ ไป๋หลี่เย่จึงรีบกล่าวออกไปเฉกเช่นนี้เพื่อป้องกันตัวเองไว้ก่อน เพราะถึงอย่างไร เซียถงในเวลานี้ดูมั่นใจจนผิดวิสัยเกินไปจริงๆ
“ไฉนข้าต้องขอโทษ?”
เซียถงลืมตาตื่นขึ้นทันใด เคลื่อนสายตาสบปะทะกับไป๋หลี่เย่โดยไม่มีเกรงกลัวใดๆ ทั้งยังเปล่งประกายเย็นเยียบดูน่ากลัวยิ่งยวด กำมือสีขาวผ่องประดุจหิมะถูกกางออก เผยปรากฏโอสถเม็ดกลมกว่าหลายสิบเม็ดต่อหน้าต่อตาทุกคน