ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 162 ตัดแขนทิ้ง
ทันทีที่ประโยคคำกล่าวนี้เปล่งดังออกจากปากไป๋หลี่เย่ ทั้งเย่หลีเทียนและไป๋หลี่หานต่างมองมาทางเขาและส่ายหัว
เสี้ยวอึดใจขณะ ก่อนที่ไป๋หลี่เย่จะกล่าวจบดี ทั่วร่างกายาของเขาก็ถูกคลื่นแสงสีครามห้อมล้อมรอบตัว เงาพิสดารสายหนึ่งเคลื่อนมาหยุดต่อหน้าเขาระยะเผาขน เซียถงยกกระบี่ทัณฑ์ฟ้าพร้อมเสียงฟันดังฉับเข้าใส่ไร้ปรานี!
ประดุจบุปผาน้ำแข็งเบ่งบาน คมแสงสีเย็นสาดประกายคลุมเคลือบใบกระบี่ระยับ กลิ่นอายความตายหนาวเหน็บ รัศมีความสะท้านขวัญแผ่ซ่าน
ไป๋หลี่เย่ถึงกับลูกตาตีบตันหดตัวกะทันหัน ถึงแม้จะหยิบใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีและอย่างดีที่สุดออกมา เพื่อเคลื่อนตัวร่นถอยออกห่าง ทว่าคลื่นคมกระบี่เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งกลับสะบั้นตัดผ่านลงมาแล้ว ฟันเข้าใส่ไหล่ข้างซ้ายของเขาอย่างแรง พร้อมเสียงตัดผ่านดังฉับ!
พริบตาต่อมา น้ำพุเลือดสีแดงฉานพลันพุ่งทะลักสาดกระฉูด แขนซ้ายทั้งข้างของเขาหลุดกระเด็นออกจากร่าง ปลิวไปตกอยู่ด้านมุมหนึ่งของฝูงชน แต่ละคนรีบเร่นถอยออกห่างด้วยความตื่นตระหนักสุดขีดเสมือนคลื่นยักษ์
ไป๋หลี่เย่จับจ้องไปยังสตรีเลือดเย็นราวกับปีศาจเบื้องหน้า สีหน้าการแสดงออกดูสยดสยองสุดขีด หัวใจดวงนี้ระส่ำระสายเต้นระรัวกลายเป็นลูกหนังที่กำลังจะดีดเด้งออกจากปาก ทั้งความเจ็บปวดที่โฉบแล่นจากไหล่ซ้ายที่หายไปทั้งท่อน ทั้งความหวาดผวาตราตรึงจนเสียขวัญ สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้เขาตัดสินใจคุกเข่าลงต่อหน้าสตรีเลือดเย็นนางนี้ แหงนศีรษะขึ้นมองอีกฝ่าย ส่ายหน้าทั้งน้ำตาด้วยความขี้ขลาด รีบกล่าวขอความเมตตาตามสัญชาตญาณนึกคิดว่า
“ขอร้องเถิด! อย่าฆ่าข้าเลย! ขอร้องอย่าฆ่าข้า! ได้โปรด! ได้โปรด!!”
เซียถงกดสายตาต่ำจับจ้องไป๋หลี่เย่ที่อยู่แทบเท้าเบื้องล่าง แต่ยังไม่ทันได้เคลื่อนไหวอันใดต่อ พลันสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายร้ายแรงจากด้านหลัง นางหันขวับมุ่งกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเสียบทะลวงอากาศออกไปโดยไม่มีลังเล ปลายกระบี่แหลมสาดแสงหรี่ริบวูบวาบ
เสาะเห็นกระบี่ยาวอีกเล่มอยู่ตรงหน้า ห่างจากหน้าอกของนางไม่ถึงสองนิ้ว ในขณะเดียวกัน บนแผ่นอกของปรมาจารย์เสวี่ยเองก็มีปลายกระบี่ทัณฑ์ฟ้าคมของเซียถงส่องประกายเย็นจ่อลุอยู่เช่นกัน นัยน์ตาสองคู่สั่นไสวสบปะทะชนกัน
เซียถงกดสายตาแช่มองคมกระบี่เล่มยาวที่จ่อแทงบนแผ่นอกของตนเล็กน้อย ค่อยเคลื่อนกลับไปจ้องหน้าปรมาจารย์เสวี่ยและเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นว่า
“ท่านยอดฝีมือ หากมั่นใจในความเร็วของตน เช่นนั้นก็เชิญแทงทะลวงอกข้าได้เลย แต่ข้ารับประกันได้เลยว่า คมกระบี่ในมือข้าแทงทะลุขั้วหัวใจของท่านก่อนแน่นอน”
ปรมาจารย์เสวี่ยเลื่อนสายตากดต่ำ มองไปที่ปลายกระบี่ทัณฑ์ฟ้าอันคมสุดแสนที่อยู่ห่างจากขั้วหัวใจของตนไม่ถึงหนึ่งส่วนสามของไม้บรรทัด ยามนี้เริ่มชักสีหน้ารวนเรไม่แน่ใจ และเมื่อเงยหน้าสบตามองเซียถงอีกครั้งพลันต้องตะลึง เพราะสีหน้าของหญิงสาวนางนี้กลับปราศจากแววความขขี้ขลาดใดๆ ในทางตรงข้าม กลับมีความมั่นใจอยู่เปี่ยมล้น!
หลังจากลังเลอยู่สักครู่หนึ่ง ในท้ายที่สุดเขาก็ชักกระบี่ยาวเก็บเข้าฝักในมือและรีบวิ่งไปหาไป๋หลี่เย่ซึ่งอยู่ในอาการวิกฤติหนักแล้ว หยิบแขนท่อนที่ขาดขึ้นมาจากพื้นดิน พร้อมตรงข้ำปประคองร่างของไป๋หลี่เย่ที่สภาพเจียนตายขึ้นมาเฝ้าดูอาการ
เซียถงกำกระบี่ทะณฑ์ฟ้าไว้ในมือแน่น ดวงตาสีดำขลับค่อยๆ กวาดมองสภาพร่างอันสยดสยองของไป๋หลี่เย่ในเวลานี้ เค้นเสียงเย็นสะกดลอดช่องฟันทีละคำว่า
“ใครกล้ายั่วยุข้าต่อให้เป็นองค์รัชทายาท มันต้องไม่ตายดี”
วาจคำขานประโยคนี้ของเซียถงมิได้ดังแต่อย่างใด ทว่ากลับติดตราตรึงใจของทุกคนไม่มีวันลืมเลือน สร้างความขวัญผวาสั่นประสาทแก่พวกเขาทั้งหมด และไม่มีใครกล้าส่งเสียงเล็ดลอดออกมาอีกเลย
พูดจบ นางก็หันหลังเดินจากไป ทิ้งทวนให้ฝูงชนเหล่านั้นขวัญผวาไม่จางหายอยู่ท้ายหลัง
ในครั้งนี้ แขนซ้ายทั้งข้างขององค์รัชทายาทถูกตัดทิ้ง ทันใดนั้นเอง หนึ่งคำถามสำคัญผุดขึ้นภายในใจของทุกคนโดยพลัน แล้วฝ่าบาทจะจัดการอย่างไรกับเซียถงต่อ?
เย่หลีเทียนทอดสายตามองเซียถงที่เดินลาจากออกไปอย่างเงียบงัน ทว่ากลับเผยสะท้อนให้เห็นแววยิ้มแย้มลึกลงไปในดวงตาสีทมิฬหม่นของเขาคู่นั้น เคลื่อนสายตาเหลือบมองไปยังร่างของไป๋หลี่เย่ที่นอนจมกองเลือดสด นอนชักอยู่ในอ้อมแขนของปรมาจารย์เสวี่ย แววยิ้มแย้มเปี่ยมสุขยิ่งทวีความสว่างชัดเจนขึ้นในดวงตา
แขนซ้ายของไป๋หลี่เย่ถูกตัดทิ้ง นับเป็นเรื่องดีแล้ว! วิเศษมาก! มันกลายเป็นไอ้ด้วนไปแล้ว!
แต่ทันใดนั้นเอง คล้ายสัมผัสได้ถึง ริ้วประกายเย็นคู่หนึ่งเคลื่อนตกลงบนร่างของเขา เย่หลีเทียนลืมตาตื่นเงยหน้าขึ้นมองต้นทาง พลางค้นพบว่าไป๋หลี่หานกำลังจับจ้องมาทางนี้อยู่ แววความยินดีที่ทอสะท้อนออกจากดวงตาพลันอันตรธานหายวับ ระบายยิ้มบางเอ่ยถามขึ้นว่า
“เมื่อครู่องค์รัชทายาทได้รับอันตรายใหญ่หลวง ไฉนท่านผู้เป็นถึงอาของเขาถึงไม่ยื่นมือช่วยเหลือ?”
“อัครมหาเสนาบดีเย่เป็นถึงผู้รับใช้คนสนิทขององค์รัชทายาท เหตุร้ายแรงบังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา มิเพียงแต่ไม่ช่วยเหลือ แต่กลับยืนยิ้มกับตัวเองตามลำพัง?”
ไป๋หลี่หานมองลึกลงไปในดวงตาคู่นั้นของเย่หลีเทียน ส่งยิ้มระบายอ่อนกลับคืนพร้อมคำถามอีกหนึ่งประโยค
“นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
เย่หลีเทียนสวนน้ำเสียงชืดชากลับไปทันที
“ความสามารถในการรับรู้และทำความเข้าใจของอัครมหาเสนาบดีเย่เกรงว่าค่อนข้างต่ำ องค์รัชทายาทถูกตัดแขนขาดกลายเป็นพิการเช่นนี้ ในฐานะขุนนางคนหนึ่ง คงไม่สามารถหนีจากภาระความรับผิดชอบได้”
“หึ! ในฐานะอาจารย์ประจำสถานศึกษาของท่านก็เช่นกัน! มีหรือจะรอดตัว หนีจากภาระความรับผิดชอบได้!”
เย่หลีเทียนพ่นลมหายใจเย็นชายิงใส่อย่างแรง สะบัดแขนเสื้อทีหนึ่งและหมุนตัวเดินจากไปโดยตรง
กลับมาถึงห้องพัก อิ๋งเอ๋อร์เพิ่งตื่นนอนพอดิบพอดี แต่ทันทีที่เห็นคุณหนูของตนเนื้อตัวเปรอะเปื้อนเลือดสดเต็มไปหมดราวกับเพิ่งพ้นผ่านเหตุฆาตกรรมฉากใหญ่มาหมาดๆ นางก็ถึงกับขวัญผวา เอ่ยถามเสียงสั่นอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า
“คุณหนู…วันนี้ท่านทำอะไรลงไป?”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ไปตัดแขนไป๋หลี่เย่มาข้างหนึ่ง”
เซียถงกล่าวตอบไปตามตรงราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมด
“ห่ะ?!?!”
อิ๋งเอ๋อร์ตกใจจนหน้าซีดเผือด เจียนจะเป็นลมหมดสติชนิดล้มทั้งยืน แต่โชคยังดีที่เซียถงวิ่งเข้ามาประคองร่างได้ทัน จากนั้นค่อยอุ้มร่างอรชรน้อยขึ้นนอนบนเตียงอย่างนุ่มนวล
“คุณหนู! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าขอร่วมรับโทษไปกับท่าน!”
อิ๋งเอ๋อร์พุ่งเข้าไปกอดเซียถงไว้แน่น กล่าววาจาแสนเด็ดเดี่ยวทั้งน้ำตา
“อิ๋งเอ๋อร์ อย่าได้วิตกไป ฝ่าบาทไม่มีทางแตะต้องตัวข้าได้แน่นอน”
เซียถงยกมือขึ้นตบหลัง กล่าวปล่อมประโลมอิ๋งเอ๋อร์ เข้าปฏิบัติต่อนางด้วยความนุ่มนวล