ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 164 คนโง่ (2)
ตอนที่164 คนโง่ (2)
“ท่านเฒ่าประหลาดออกเดินทางไปแล้ว เขามอบโอสถแก่ข้าทิ้งทวนก่อนลาจาก”
เซียถงส่งนัยน์ตาไสวส่องกะพริบอยู่ทีหนึ่ง เสแสร้งปั้นหน้าปั้นตาเศร้าสร้อย
“ออกเดินทางไปแล้ว?”
ทีท่าของฝ่าบาทคล้ายจะดูฉงนใจสงสัย คำกล่าวประโยคนี้ของเซียถงเป็นความจริงหรือเท็จกันแน่? สิ่งนี้ทำเอาเขาไขว้เขวรวนเรอยู่ครู่หนึ่ง
“เรียนฝ่าบาท สืบเนื่องมาจากว่า ท่านเฒ่าประหลาดเป็นกังวล กลัวว่าหม่อมฉันจะขาดแคลนเหรียญทองในระหว่างที่เขาออกเดินทางไกล จึงมอบโอสถแก่หม่อมฉันเป็นจำนวนหลายสิบเม็ดให้แบ่งกินแบ่งขายเอาเงินตามสมควร และช่วงสัปดาห์ให้หลัง ตัวข้าแทบไม่เหลือเงินแม้แต่จะซื้อข้าวกินแล้ว จึงตัดใจสั่งให้สาวรับใช้ของข้านำโอสถจำนวนหนึ่งไปขายแลกเปลี่ยนเป็นเงิน แต่ระหว่างทางกลับถูกองค์รัชทายาทฉกฉวยขโมยไป ทั้งยังกล่าวหาใส่ความและทำร้ายร่างกายสาวรับใช้ของหม่อมฉันต่างๆ นานา”
เซียถงนำกล่าว เล่าความย้อนหลังทั้งหมดให้แก่ฝ่าบาทฟัง หวังจะเพิ่มน้ำหนักสร้างแรงจูงใจต่อเหตุผลที่ว่า ไยนางถึงต้องตัดแขนไป๋หลี่เย่
แลเห็นว่าฝ่าบาทกำลังจับจ้องมองมาทางนี้ เสมือนกับว่ากำลังรอประโยคต่อไปจากปากของนาง เซียถงก็ลอบยิ้มกับตัวเองภายในใจอย่างลับๆ และกล่าวต่อทันทีว่า
“หลังจากนั้น หม่อมฉันจึงเดินทางไปหาองค์รัชทายาทเพื่อแจกแจงเหตุผลความเป็นมา ทว่าองค์รัชทายาทกลับไม่ฟังเหตุผลของข้าเลย และจะจับข้ามาลงโทษอยู่ท่าเดียว ดังนั้นหม่อมฉันจึงเสนอเดิมพันกับเขา ทั้งยังร่างหนังสือสัญญาร่วมกันโดยมีลายลักษณ์อักษรครบถ้วนไว้เป็นหลักฐานระหว่างเรา”
สิ้นเสียง เซียถงก็ยื่นสัญญาฉบับนั้นส่งถึงต่อหน้าฝ่าบาท เมื่อรับมาพินิจตรวจสอบโดยละเอียดถี่ถ้วน เขาก็พบว่า ข้อสัญญาบางบรรทัดเป็นลายมือของบุตรชายของตนจริงๆ ทั้งยังมีลายนิ้วประทับไว้สมบูรณ์แบบ คู่คิ้วเข้มขมวดแน่นแทบติดชน ก่อนจะเหลือบมองไปทางเซียถงอีกครั้ง
“จากนั้นหม่อมฉันจึงนำโอสถส่วนที่เหลือจากเฒ่าประหลาดมอบให้มาเผยแสดงให้เห็น ทว่าองค์รัชทายาทก็ยังไม่เชื่อ ทั้งยังบอกว่าโอสถที่หม่อมฉันนำมาเป็นของปลอม ต่อมา ท่านอัครมหาเสนาบดีเย่จึงเสนอตัวอาสาเพื่อตรวจสอบ ก่อนจะประกาศว่า โอสถเหล่านี้เป็นของจริง”
ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าท่าทางของเซียถงในเวลานี้ช่างดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน ทั้งยังอ้างชื่อเย่หลีเทียน เป็นดั่งการค้ำประกันอีกชั้นหนึ่ง
เมื่อฝ่าบาทได้ยินชื่อเย่หลีเทียน ดวงตาของเขาก็หรี่แคบลงเล็กน้อย
“แต่สุดท้ายองค์รัชทายทก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี ดังนั้นหม่อมฉันกับเขาจึงเริ่มมีปากมีเสียงทะเลาะกัน จนแล้วจนรอด กลับเป็นฝ่ายปรมาจารย์เสวี่ยที่ชักกระบี่ขึ้นจู่โจมหม่อมฉันกะทันหัน แต่ระหว่างที่กำลังเลี่ยงหลบ คมกระบี่กลับพลาดท่าไปโดนแขนขององค์รัชทายาทเสียเอง”
เซียถงลอบสายตาขึ้นมองไปทางฝ่าบาทเล็กน้อย
หลังจากได้ฟังคำอธิบายทั้งหมด ฝ่าบาทก็เอาแต่จ้องโอสถเม็ดในมือโดยไม่พูดไม่จาอันใดสักคำ คล้อยหลังไม่นาน เขาก็เงยหน้าขึ้นและเอ่ยถามเซียถงขึ้นว่า
“นี่เป็นโอสถที่ท่านเฒ่าประหลดผู้นั้นมอบให้จริงๆ รึ? ไยข้าถึงอ่านระดับชั้นโอสถไม่ได้เลย?”
ประโยคก่อนหน้านี้ที่เซียถงเอ่ยอธิบายออกมา เขาแทบไม่ได้ใส่ใจฟังเลยสักคำ เพราะเอาแต่มุ่งความสนใจอยู่เพียงโอสถเม็ดตรงหน้า หากโอสถเม็ดนี้ถูกหลอมกลั่นมาโดยเซียนโอสถจริงๆ กับแค่เรื่องบุตรชายตัวเองแขนขาดกลับไม่น่าหยิบยกขึ้นพูดถึงให้เสียเวลาเลย
“หม่อมฉันเองก็ไม่ทราบ บางทีอาจใช้ตรรกะเดียวกับพลังลมปราณ ระดับชั้นความแข็งแกร่งอยู่ห่างกันเกินไปก็ไม่สามารถตรวจจับสัมผัสได้ ซึ่งระดับชั้นโอสถเองก็เช่นกัน เพราะนี่เป็นโอสถที่ถูกหลอมกลั่นขึ้นโดยเซียนโอสถ ระดับชั้นจึงค่อนข้างสูงเกินกว่าจะมองผ่านอ่านระดับออก แต่หากฝ่าบาทไม่เชื่อ ย่อมคืนให้แก่หม่อมฉัน…”
เซียถงยังไม่ทันกล่าวาจบดี ฝ่าบาทก็รีบชักมือข้างที่ถือโอสถกลับเข้าหาตัวโดยไว ราวกับกลัวว่าจะถูกยึดคืน
“ไม่ ไม่! ข้าผู้นี้หรือจะไม่เชื่อคำพูดของเจ้า?”
ฝ่าบาทรีบกล่าวตอบทันควัน และส่งมือไปให้เซียถง ช่วยพยุงร่างหญิงสาวตรงหน้าขึ้นจากพื้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม กล่าวว่า
“ลุกขึ้นเถอะ ลุกขึ้นเถอะ! เรื่ององค์รัชทายาทก็มีแต่เพียงเท่านี้แหละ ไหนๆ โอสถเม็ดนี้ท่านเฒ่าประหลาดก็เป็นผู้มอบให้แก่เจ้าแล้ว เช่นนั้น ข้าผู้นี้จะลองโอสถให้เจ้าได้เห็นถึงประสิทธิภาพของมันเอง”
ข้อความโดยย่อจากประโยคคำพูดนี้ของฝ่าบาทค่อนข้างชัดเจนมาก มันหมายความได้ว่า ให้เจ้ายืนรออยู่ตรงนี้ก่อน และหกโอสถเม็ดนี้กินไปแล้วไม่ก่อเกิดผลลัพธ์อันใด ก็เตรียมตัวรับโทษทัณฑ์ได้เลย!
เซียถงยืนขึ้นและพยักหน้าตอบ
“เจ้าค่ะ!”
ฝ่าบาทค่อยๆ หยิบโอสถเม็ดนั้นชูขึ้นเหนือศีรษะ พินิจมองอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยปากเรียกหมอหลวงประจำตัวของเขาซึ่งเป็นถึงราชาโอสถเข้ามาช่วยตรวจสอบ หลังจากได้รับกรยืนยันโดยหมอหลวงแล้วว่า โอสถเม็ดนี้เป็นของจริง ไม่มีพิษเจือผสมอยู่ภายใน เขาก็ตบโอสถเม็ดดังกล่าวเข้าปากไปโดยตรง
คล้อยหลังกลืนโอสถลงไป ก็บังเกิดกระแสความอบอุ่นเสมือนน้ำร้อนสายใหญ่เอ่อล้นออกมาจากช่องท้อง เพียงเสี้ยวพริบตาถัดมา ทั่วทั้งร่างกายนี้ก็เปี่ยมล้นไปด้วยพละกำลังวังชา สัมผัสได้ทันทีว่า พลังลมปราณที่ไหลเวียนในกายตอนนี้ มันแข็งแกร่งกว่าปกติเป็นทวีทบ ทั้งยังปลุกกระตุ้นไขกระดูกและเส้นเอ็นให้สำแดงศักยภาพแฝงออกมาถึงขีดสุด มือไม้ของเขาเบาหวิวราวกับขนนก การเคลื่อนไหวออกกระบวนท่าคล่องแคล่วว่องไวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ของดี!”
ฝ่าบาทพยักหน้าตอบ ร้องอุทานชื่นชมไม่หยุดปาก ร่างกายของเขาในเวลานี้อัดแน่นไปด้วยกำลังวังชาดั่งวัยหนุ่มอีกครั้ง เขาหันไปกล่าวกับขันทีที่อยู่ข้างๆ ทันทีว่า
“นี่เป็นคำสั่งจากข้าโดยตรง! ประทานเงินเป็นจำนวนหนึ่งแสนเหรียญทองแก่เซียถง!”
ขันทีโค้งศีรษะคำนับตอบกลับโดยไว ทั้งยังหันไปโค้งให้เซียถงอีกทีหนึ่ง และรีบเดินไปยังพระคลังเพื่อนำเงินจำนวนหนึ่งแสนเหรียญทองเบิกออกม เซียถงที่เห็นดังนั้นได้แต่หัวเราะเยาะกับตัวเองในใจ แน่นอนว่า หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ตัวนางจะไม่ขาดทุน แต่ยังได้กำไรไปเต็มๆ!
ส่วนฝ่าบาทในเวลานี้งั้นรึ? อย่าว่าแต่ไม่สนใจแขนขององค์รัชทายาทที่หักเลย ลืมไปแล้วรึเปล่าก็ไม่รู้?
โบกมือหาส่งเซียถงออกไปโดยไว ฝ่าบาทแทบจะอดใจวิ่งกลับไปหาบรรดานางสนมในรังรักของตนไม่ไหวแล้ว เขาต้องการทดสอบความมหัศจรรย์ของโอสถเม็ดนี้กับสาวงามทั้งหลายแหล่ใจแทบขาด
เนื่องจากเงินจำนวนกว่าหนึ่งแสนเหรียญทองหาใช่ว่าจะสามารถพกพาไปไหนต่อไหนได้ง่าย ขันทีจึงมอบตั๋วเงินคลังให้แก่นางแทน ทั้งยังบอกว่า หากต้องการใช้เงินเมื่อใดก็สามารถนำตั๋วเงินใบนี้ไปขึ้นได้ตลอดเวลา เซียถงพยักหน้าตอบพร้อมเก็บตั๋วเงินใบดังกล่าวไว้ใต้อกเสื้อ และเดินทางออกจากวังหลวง
เซี่ยอี้เฉินลอบเดินติดตามเซียถงออกมาตลอดเส้นทางอย่างเงียบงัน ไม่พูดไม่จาเลยแม้สักคำ เขาต้องการพูดคุยกับนางอย่างยิ่ง ทว่าภายในใจกลับรู้สึกละอายเกินกว่าจะมีหน้าพูดออกไป เพราะแบบนั้นจึงเอาแต่หลบอยู่ข้างหลังเซียถง
หลังจากเดินออกจากวังหลวงมาได้สักพัก เซียถงก็พึงเห็นว่า เซี่ยอี้เฉินก็ยังเดินติดตามนางไม่ห่างตัว จึงเหลียวหลังหันกลับไปมองอีกฝ่ายและเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบนิ่งปราศจากอารมณ์โกรธเกลียดใดๆ แต่นั่นก็เรียบนิ่งเกินไปจนราวกับว่า พวกเขาทั้งคู่ไม่เคยมีสายสัมพันธ์ใดๆ ต่อกันมาก่อน
“เสนาบดีเซี่ย มิทราบว่ามีเรื่องอันใดผิดปกติ? เห็นเดินติดตามข้ามาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว?”
“ถงถง เจ้าเองก็มิได้กลับบ้านไปทานข้าวร่วมโต๊ะด้วยกันตั้งนานแล้ว กลับบ้านกันเถอะ กลับไปทานอาหารร่วมกับแม่ของเจ้ากัน”
เซี่ยอี้เฉินกล่าวกับเซียถงพร้อมกับรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น
“เมื่อครู่นี้ เสนาบดีเซี่ยพูดเองมิใช่รึว่า ต่อแต่นี้ไป ข้ากับท่านหาใช่พ่อลูกกันอีก แล้วไฉนข้าต้องไปทานข้าวร่วมกับท่านที่จวนด้วย? และหากมิได้เหลือบ่ากว่าแรง รบกวนเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกชื่อด้วย คำนั้นสงวนเก็บไว้ใช้กับท่านแม่ของข้าเท่านั้น”
เซียถงเปล่งเสียงเย็นชาตอบ วาจาประชดประชันกลับไป
สีหน้าการแสดงออกของเซี่ยอี้เฉินเต็มไปด้วยความละอายใจ เห่อร้อนแดงก่ำลามไปถึงใบหู ได้แต่ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบตาเซียถงอีก
คล้อยหลังเงียบไปสักครู่หนึ่ง เขาก็เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง กล่าวน้ำเสียงอ่อน สายตาเปี่ยมแววอ้อนวอน
“ถงถง เจ้าเองก็ควรนึกถึงตัวข้าด้วย หากเกิดอะไรขึ้นกับข้า จวนเสนาบดีเซี่ยของเราเองก็คงจบสิ้นเช่นกัน ยังมีผู้คนอีกมากมายภายในนั้นที่อยู่ภายใต้การดูแลของข้า หากเกิดอะไรขึ้นกับข้าไป คนพวกนั้นจะอยู่อย่างไร? ทั้งแม่เจ้าก็ดี ทั้งพี่ชายของเจ้าอีกล่ะ?”
ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงสุดแสนจะอ่อนวอนของอีกฝ่าย ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้นเซียถงกลับมิได้สนใจอีกฝ่ายเลย พลันได้ยินเขากล่าวถึงท่านแม่ นางก็นึกคิดถึงขึ้นมา จึงพยักหน้ากล่าวตอบไปว่า
“ข้าจะกลับไปทานข้าวกับท่านแม่สักรอบหนึ่ง”