ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 166 ตามสัญญา
ตอนที่166 ตามสัญญา
“ท่านแม่! นับวันนังเซียถงก็ยิ่งจองหองมากขึ้นเรื่อยๆ เราต้องเร่งหาทางจัดการนางทิ้งได้แล้ว! มิเช่นนั้นจวนเสนาบดีแห่งนี้คงตกอยู่ในกำมือของมันเป็นแน่!”
เซี่ยเสวี่ยเหลียนหันมากล่าวกับฮูหยินรองเฉิง สีหน้าการแสดงออกมืดหม่น
“กี่ไม่กี่วัน ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าก็จะกลับมาแล้ว เช่นนั้นก็ขอให้ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าช่วยกำจัดนังเซียถงกับแม่สุนัขตัวเมียของมันอีกแรงเถอะ”
ฮูหยินรองเฉิงก่นเสียงแค้นอาฆาตเลิดลอด พลางฉีกเศษกระหล่ำปลีสีเขียวที่ติดหน้านางเป็นชิ้นๆ
“ลูกพี่ลูกน้อง? ข้ามีลูกพี่ลูกน้องตั้งแต่เมื่อใด?”
เซี่ยเสวี่ยเหลียนฉายแววฉงนงุนงง นางไปมีลูกพี่ลูกน้องตั้งแต่เมื่อใด? แล้วไฉนนางถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้จากท่านแม่มาก่อนเลย?
“เขาคนนั้นแข็งแกร่งจนผู้คนต่างทึ่ง เจ้าจะได้รู้จักเมื่อเขากลับมา!”
ฮูหยินรองเฉิงกำมือแน่นหนา ประกายตาที่ส่องสะท้อนเปี่ยมล้นแววเหี้ยมโหดข้นคลั่ก
เซี่ยเสวี่ยเหลียนได้แต่จับจ้องไปที่แววตาดวงนั้นของฮูหยินรองเฉิงพร้อมกับความสงสัย จากนั้นไม่นานคล้อยพยักหน้าตอบอย่างมีความสุข ไม่ว่าลูกพี่ลูกน้องที่ว่าจะเป็นใคร ตราบเท่าที่อีกฝ่ายช่วยนางจัดการเซียถงอีกแรง ก็นับเป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น
เซี่ยอี้เฉินเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าตัวใหม่และค่อยเดินติดตามเซียถงกลับไปยังเรือนพักของฮูหยินหลี่ ระหว่างทาง พวกเขาทั้งสองไม่ปริปากพูดจากันเลยสักคำ ฮูหยินหลี่ก็ได้แต่นั่งรออยู่บนโต๊ะพร้อมสีหน้าดูเป็นกังวล แต่พอเห็นทั้งคู่เดินกลับมาด้วยกัน นางก็ระบายยิ้มกว้างเอ่ยปากทักทายสองพ่อลูกอย่างมีความสุข
ทั้งสามนั่งลงร่วมโต๊ะอาหารเดียวกัน พอเห็นว่าบรรยากาศระหว่างเซี่ยอี้เฉินกับเซียถงดูไม่ค่อยลงรอยเท่าไหร่นัก ฮูหยินหลี่ก็พยายามขุดเรื่องวันวานขึ้นมาสนทนากัน หวังให้ทั้งคู่กลับมามีความสุขอีกครั้ง
เซียถงมิได้สนใจที่จะพูดคุยกับเซี่ยอี้เฉิงอยู่แล้ว แต่เพื่อต้องการให้ฮูหยินหลี่มีความสุขยิ้มแย้มได้อีกครั้ง นางจึงปริปากกล่าวต่อประโยคสนทนาให้เป็นระยะ หวังให้บทสนทนาดูลื่นไหลขึ้นบ้าง และคล้อยหลังไม่นาน บรรยากาศก็ค่อยๆ กลับมาดูกลมเกลียวกันตามลำดับ
“ถงถง ท่านเฒ่าประหลาดที่ว่ามอบโอสถชนิดใดแก่เจ้าบ้างรึ?”
ทันทีที่เห็นว่าบรรยากาศค่อยๆ กลับมาสมานฉันท์กลมเกลียวกันอีกครั้ง เซี่ยอี้เฉินได้จังหวะเอ่ยถามเซียถงขึ้นทันที
ก็ว่าอยู่แล้ว ไฉนจู่ๆ อีกฝ่ายก็ชวนนางกลับมาทานข้าวร่วมกันที่บ้าน ที่แท้ก็มีจุดประสงค์เช่นนี้นี่เอง?
ดวงตาคู่สวยของเซียุงมืดทมิฬลงฉับพลัน สีหน้าการแสดงออกค่อยๆ แปรเปลี่ยนดูเย็นชากว่าเดิมมาก ขณะกำลังจะเอ่ยวาจาเสียดสีประชดประชันสวนออกไป ก็พลันเหลือบไปเห็นฮูหยินหลี่ที่นั่งรับประทานอาหารอย่างมีความสุขอย่างเคียงข้าง ทันใดนั้น นางถึงกับกลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอไปโดยฉับพลัน เปลี่ยนคำถามทันทีว่า
“ต้องการโอสถแบบใด?”
ไม่ว่านางจะรังเกียจเซี่ยอี้เฉินขนาดไหน แต่ตราบใดที่อีกฝ่ายยังมีพื้นที่จับจ้องอยู่ในหัวใจของแม่นาง จนแล้วจนรอด นางก็ทำได้เพียงเก็บงำความเกลียดชังทั้งหมดไว้ในเบื้องลึกของจิตใจ
ได้ยินแบบนั้น เซี่ยอี้เฉินก็แสดงสีหน้าดีอกดีใจขึ้นมา รีบกล่าวว่า
“หากเป็นโอสถที่มีฤทธิ์ช่วยในการบำรุงร่างกายก็ดี ช่วงปีที่ผ่านมา ข้ามีอาการปวดหลังค่อนข้างบ่อย”
อืม ไม่ได้โลภมาก ก็ต้องการเพียงแค่โอสถบำรุงร่างกายทั่วไป
เซียถงพยักหน้าตอบ
“ข้าพอมีอยู่สองสามเม็ด เดี๋ยวจะวานให้อิ๋งเอ๋อร์นำส่งให้ในเช้าวันพรุ่งนี้”
โอสถที่เซี่ยอี้เฉินต้องการ นับว่าเป็นเพียงโอสถระดับชั้นธรรมดาสามัญอย่างยิ่งในสายตาของเซียถง แต่แน่นอน…โอสถเหล่านี้กลับกลายมาเป็นของล่ำค่าทันทีหากอยู่ในสายตาของคนทั่วไป
เมื่อได้ยินเซียถงกล่าวแบบนั้น เซี่ยอี้เฉินก็รีบพยักหน้าตอบทันที ยิ้มแย้มกล่าวยกย่องสรรเสริญนางไม่หยุดหย่อนขึ้นว่า
“ถงถง เจ้าเป็นลูกกตัญญูอย่างแท้จริง! มีเจ้าอยู่ทั้งคน เกรงว่าอนาคตของตระกูลเซี่ยของเราจักต้องสดใสรุ่งโรจน์!”
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ตอนที่ฝ่าบาทเตรียมคาดโทษนาง อีกฝ่ายกลับลั่นวาจาไว้ว่า ตั้งแต่บัดนี้จะขอตัดสายสัมพันธ์พ่อลูก แต่พอมาปัจจุบัน นางกลับกลายมาเป็นลูกกตัญญูของมันเสียแล้ว? เซียถงที่ได้ยินแบบนั้นก็อดหัวเราะเยาะกับตัวเองภายในใจมิได้ เซี่ยอี้เฉิน…ตัวเจ้าช่างน่ารังเกียจสิ้นดี
หลังจากมื้ออาหารผ่านไป เซี่ยอี้เฉินก็ลุกจากโต๊ะและจากออกไปทันที ส่วนเซียถงกับฮูหยินหลี่ยังคงอยู่คุยกันอีกสักครู่ใหญ่ จากนั้นค่อยเดินทางกลับไปยังสถานศึกษาเซิงหลิง
ในช่วงกลางดึก เซียถงและอาหารยังคงอยู่ในบึงป่าลึกเพื่อล่าสังหารเหล่าสัตว์อสูร ระหว่างที่ต่อสู้กับพวกมันอยู่นั้นเอง จู่ๆ เซียถงก็ค้นพบว่า กระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือของนางก็เย็นตัวลงฉับพลัน ประกายความคมถูกลดทอนเกือบครึ่งต่อครึ่ง พอลองฟาดฟันออกไปกลับสร้างความเสียหายให้แก่พวกสัตว์อสูรได้เพียงรอยแผลเล็กๆ เท่านั้น ส่วนชนิดที่ว่า สามารถตัดร่างผ่าสัตว์อสูรเป็นสองซีกยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
“นายท่าน ท่านควรพาหลิวซูเข้าวังหลวงไปดูองค์หญิงอาบน้ำตามสัญญาก่อนเถอะ มิเช่นนั้นมันได้สร้งาปัญหาหนักกว่านี้แก่ตัวท่านแน่”
เมื่อเซียถงรู้สึกแปลกใจกับประสิทธิภาพที่ลดทอนลงของตัวกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือ ทันใดนั้นก็มีสุ้มเสียงของเสี่ยวฮั่วดังออกมา
นางเพิ่งจะจำได้ว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยสัญญาอะไรกับหลิวซูเอาไว้ แต่มีหลายหลากเหตุการณ์คั่นกลางผ่านเข้ามาเสียก่อน จนทำให้เกือบลืมไปสนิท เป็นประจวบเหมาะกับที่เสี่ยวฮั่วกินพลังวิญญาณจากสัตว์อสูรจนอิ่มท้องแล้วเช่นกัน นางจึงหันไปพูดกับอาหานขึ้นว่า
“คืนนี้ข้ายังมีธุระที่ต้องไปทำ เช่นนั้นขอตัวก่อนแล้ว”
อาหานเหลือบสายตาเคลื่อนมองกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในเรียวมือขางผ่องของนางเล็กน้อย และพยักหน้าตอบว่า
“เข้าใจแล้ว!”
ทั้งเขาและนางต่างมุ่งหน้าเดินออกจากบึงทันที ซึ่งระหว่างทางเขาเองก็มิได้ปริปากถามซักไซ้ใดๆ เลยสักคำ
ออกจากบึงในป่าลึก เซียถงมุ่งหน้าไปที่วังหลวงเป็นลำดับต่อไปทันที หลังจากลักลอบเข้ามาพลางเสาะพบสถานที่เปลี่ยวไร้ผู้คนแล้ว จึงค่อยมุ่งสมาธิสื่อจิตผ่านห้วงความคิด ชั่วพริบตาต่อมา หลิวซูในเสื้อคลุมสีแดงเพลิงก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าต่อตา
“ที่นี่คือวังหลวง เจ้าเดินเตร่ได้ตามใจชอบเลย”
เซียถงเหลือบมองหลิวซูไปปราดหนึ่งแล้วกล่าวขึ้น
“แล้วเรือนองค์หญิงอยู่ไหน?”
หลิวซูโพล่งตัวเอ่ยถามด้วยความตื่นตกตื่นเต้น สายตาค่อนข้างอยู่ไม่สุขลุกลี้ลุกลน กวาดมองไปโดยรอบ
“ไม่รู้ เจ้าต้องไปหาเอาเอง”
เซียถงนั่งพักพิงบนกระเบี้องหลังคา แหงนหน้าเอนกายนอนมองจันทร์เจ้าบนแผ่นฟ้ารัตติกาล แล้วกล่าวต่ออีกว่า
“ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งชั่วยาม พอครบเวลาข้าจะเรียกเจ้ากลับมา”
“ข้ายังต้องตระเวนทั่ววังหลวงเพื่อหาห้ององค์หญิง เวลาแค่หนึ่งชั่วยามจะไปเพียงพออันใด?”
หลิวซูเอ่ยปากประท้วงขึ้นทันที
“นี่เริ่มนับแล้ว จะทำอะไรก็รีบทำ หรือจะเอาแต่นั่งเถียงข้าอยู่แบบนี้?”
เซียถงหาได้สนใจท่าทางการแสดงออกที่ไม่สบอารมณ์นักของหลิวซูไม่ ยืดเหยียดร่างกายบิดขี้เกียจไปทีหนึ่ง จากนั้นค่อยใช้สองมือเข้าประสานและช้อนไว้อยู่หลังศีรษะทำเป็นหมอน เบนสายตาคู่ใสบริสุทธิ์ เชยชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนคู่เคียงไปกับบรรยากาศเงียบสงบสุดแสน
หลิวซูจงใจพ้นลมหายใจแรงให้นางได้ยิน และร่างนั้นก็อันตรธานหายวับไปต่อหน้าต่อตาในทันที
จันทร์เจ้าพราวแสงนวลสว่างไสว สายลมยามราตรีสงบช่างเป็นสุขนักแล ทั้งยังกอปรคู่กับกลิ่นหอมจางอ่อนของบุปผาที่ล่องลอยตามอากาศ เซียถงกำลังนอนอยู่บนหลังคากระเบื้องเคลือบสีแดงเข้ม เฝ้าชมจันทร์เจ้าจรัสฉายสดใส และเหล่าดวงดาราที่รายล้อม ผ่านไปเพียงไม่นาน ความง่วงเริ่มรบเร้าเยี่ยมเยือนนาง จะว่าไปแล้ว ช่วงหลายวันที่ผ่านมา ตัวนางเองก็แทบไม่ได้พักผ่อนเลย เช่นนั้นจึงหลับตาลง