ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 167 สำรวจวังหลวงยามรัตติกาล (1)
ตอนที่167 สำรวจวังหลวงยามรัตติกาล (1)
สติสัมปชัญญะของเซียถงค่อยๆ จมดิ่งลงสู่ภวังค์นินทาทีละน้อย แต่ทันใดนั้น ก็พลันมีสุ้มเสียงฝีเท้าเบาๆ กระทบแผ่นกระเบื้องบนหลังคาจากทางทิศตะวันตก เซียถงโพล่งตาตื่นขึ้นทันใดและเร่งหันตามไปยังทิศทางดังกล่าวโดยเร็ว
ท่ามกลางแสงจันทร์เจ้าสีนวลสว่างไสว นางพบเห็นเงาร่างสีดำงที่กำลังลอบเร้น มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกภายในวังหลวง โดยลัดเลาะตามหลังคาด้านทิศตะวันตกเข้าไป
นอกจากนางแล้ว ยังมีใครลอบเข้าวังอีกในคืนนี้?
หนึ่งความคิดโฉบแล่น นางลุกขึ้นและเดินสะกดรอยติดตามเงาดำไปอย่างเงียบงัน ดูเหมือนว่าเงาดำที่ว่ากำลังมองหาใครสักคนอยู่ บางครั้งก็ชะโงกศีรษะขึ้นลงเพื่อแอบดูเงาผู้คนภายในตัวเรือน แต่เมื่อไม่พบเป้าหมายที่ต้องการ เงาดำที่ว่าก็เริ่มหมดความอดทน
เมื่อเห็นสาวรับใช้กลุ่มหนึ่งเดินผ่านเข้ามาแถวนั้นพอดี เงาดำก็ลอบเร้นติดตามไป พลางหยิบหินก้อนหนึ่งโยนออกไปนอกเส้นทางเพื่อแตกฝูง จนแล้วจนรอดก็มีสาวรับใช้นางหนึ่งเอะใจสงสัยกับสุ้มเสียงหินกระทบพื้น จึงแยกจากกลุ่มออกมาดูข้างทาง เงาดำเห็นจังหวะนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปโฉบร่างของสาวรับใช้นางนั้นโดยเร็ว ลากนางไปหลบใต้แผ่นศิลาก้อนหนึ่งที่ประดับประดาอยู่แถวนั้น ปิดปากนางเงียบมิให้ส่งเสียงดังออกมา
เซียถงแอบย่องเข้าไปใกล้ ดักฟังในบริเวณใกล้เคียงศิลาแผ่นดังกล่าว ค่อยๆ ชโงกหน้าแอบมอง ก็เหนเงาดำใช้มือข้างหนึ่งจ่อคมมีดติดคอหอยของนางไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างก็คลายออกจากปากของนางเช่นกัน และเปล่งแหบแห้งเอ่ยถามขึ้นว่า
“องค์รัชทยาทแห่งจักรวรรดิตะวันตกจับอยู่ในเรือนตำหนักใด?”
แค่ฟังก็พึ่งทราบ สุ้มเสียงดังกล่าวเป็นของหญิงชรามีอายุแน่นอน เซียถงขมวดคิ้วถักแน่น แลอดครุ่นคิดกับตนเองมิได้
“องค์รัชทยาทแห่งจักรวรรดิตกวันตก…อยู่…อยู่ตำหนักจันทร์เสี้ยว ทางทิศตะวันออก”
สาวรับใช้กล่าวตอบน้ำเสียงสั่นเครือ ใบหน้าในยามนี้ซีดเซียวหนัก
“แล้วองค์รัชทายาทแห่งตงหลี่ล่ะ?”
เงาดำเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
ทว่าคราวนี้สาวรับใช้ในวังนางนั้นมิได้ตอบทมันที เพียงเหม่อมองเงาดำเจือแววสยดสยองโดยไม่พูดไม่จาใดๆ
“พูดหรือไม่พูด?”
ชั่วพริบตาขณะ เงาดำกดคมมีดจิกลึกลงไปบนคอหอยของสาวรับใช้จนเลือดไหลซิบลงมา เจตนาต้องการจะฆ่าทิ้งจริงๆ มิได้โกหก
“ตำหนัก…ตำหนักขององค์รัชทยาทอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ…”
สาวรับใช้รีบเร่งกล่าวตอบด้วยความหวาดกลัว
ทันทีที่นางพูดจบ สายเลือดสดสีแดงประดุจน้ำพุพลันสาดกระเซ็นออกจากคอของนาง นิ้วทั้งห้าตะปบเข้ากลางศีรษะและออกแรงบิดเกลียวหักทิ้งไปโดยตรง ศีรษะของสาวรับใช้เสมือนลูกหนังหลุดกระเด็นลงพื้นในพริบตา ร่างที่ไร้หัวของนางคล้ายยังตายไม่สนิท มันชักกระตุกเกร็งไม่หยุด ผ่านไปสักครู่ค่อยล้มลงกับพื้นและแน่นิ่งไป
เงาดำคนนั้นสะบัดมือไม้ปัดเคลือบเลือดที่เปรอะเปื้อนในมือทิ้งอย่างไม่ไยดี และมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกอย่างรวเร็ว
เซียถงแลสายตามองสาวรับใช้นางนั้นที่ตายสิ้น รู้สึกขยะแขยงจนมวนท้องน้อยขึ้นมาเบาๆ เกินควบคุม และนางก็ไม่มีอะไรจะพูดเช่นกัน เพียงแต่รู้สึกน่าขันเล็กน้อยที่สาวรับใช้นางนั้นดันบอกทุกอย่างที่อีกฝ่ายต้องการไปจริงๆ เพราะตราบใดที่นางหมดประโยชน์ ไม่ว่ายังไงย่อมต้องถูกฆ่าทิ้งอยู่ดี
ส่วนเงาดำที่กำลังเคลื่อนออกไปไกลเส้นสายตาผู้นั้น เซียถงยกเท้าไสววูบไล่ติดตามออกไปโดยไว ยามนี้ดวงตาทอแสงประกายขึ้นทันควัน เพราะนางรู้แล้วว่า เงาดำตรงหน้าคือใคร
ยังมีผู้ใดอีกบ้างที่แอบเสี่ยงอันตราย ลักลอบเข้าวังหลวงในยามวิกาล เพื่อเสาะหาองค์รัชทยาทแห่งจักรวรรดิตะวันตกที่เข้าเยี่ยมเยือนจักรวรรดิตงหลี่ในช่วงนี้พอดี? หากมิใช่ย่าเฟิง? ฟังว่าจักรวรรดิหรู่หรานของนางเองก็ถูกพวกจักรวรรดิตะวันตกรุกรานจนพังพินาศ? ซึ่งดูจากท่าทีของย่าเฟิงในเวลานี้ นางมาที่นี่เพื่อลอบสังหารองค์รัชทยาทแห่งจักรวรรดิตะวันตกอย่างไม่พ้นเพี้ยน แต่เรื่องของเรื่องคือ…แล้วฉีหมิงเยว่อยู่ที่ไหน? จะว่าไปแล้ว มีเหตุผลอันใดกันที่จู่ๆ องค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิตะวันตกถึงมาเยี่ยมเยือนจักรวรรดิตงหลี่กระทันหันปานนี้? เซียถงได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ไล่ติดตามย่าเฟิงไปพลาง
ในหัวของย่าเฟิงในเวลานี้มีแต่เรื่องที่ว่าจะสังหารองค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิตะวันตกอย่างไร้เท่านั้น จนไม่ได้สังเกตเลยว่ามีคนกำลังไล่ติดตามนางอยู่เบื้องหลัง ทั้งสองเคลื่อนผ่านท่ามกลางความรัตติกาลมืดมิดสู่ทางทิศตะวันออกของวังหลวง
หลังจากผ่านปราการประตูเหล็กไปหลายบาน ในที่สุดย่าเฟิงก็หยุดอยู่ตรงหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมอบแผ่นศิลาจากลึกหน้าตำหนัก
มองผ่านแสงจันทร์ที่ฉายลงมา บนแผ่นศิลาจารึกสลักไว้สามคำว่า ตำหนัก จันทร์ เสี้ยว
องค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิตะวันตกพักอาศัยอยู่ใต้ชายคาตำหนักหลังนี้
เซียถงหยุดสะกดรอยตามและกระโจนขึ้นหลังคา แต่เนื่องจากตำหนักแห่งนี้มีสองชั้น และมีเพียงหน้าต่างบานเดียวเท่านั้นจากชั้นสองที่เปิดค้างไว้อยู่ นางจึงได้ยินสุ้มเสียงภายในนั้นค่อนข้างเบามาก
หลังจากพยายามฟังอยู่นานแต่กลับไม่ได้ภาษา เซียถงจึงตัดสินใจลอบเข้าไปภายในผ่านหน้าต่างที่เปิดค้างบนชั้นสอง หามุมอับแอบซ่อนตัวอยู่ในนั้น
ในขณะเดียวกัน ทันทีที่ย่าเฟิงมาถึง สายตาคู่นั้นภายใต้ผ้าคลุมสีดำพลันระเบิดความเกลียดชังออกมาคับคลั่ง นอนแนบอยู่บนหลังคาอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะลอบเข้าไปยังด้านในผ่านหน้าต่างบานเดียวกับเซียถงก่อนหน้า ระหว่างซอกพื้นไม้ปรากฏรอยแตกเล็กน้อย ย่าเฟิงจึงแอบส่งถ้ำมองเบื้องล่างผ่านรูดังกล่าว
ด้านล่างปรากฏเป็นโต๊ะกลมหินอ่อนแกะสลักวิจิตรศิลป์ เป็นชายรูปงามท่านหนึ่งในชุดคลุมผ้าไหมสีม่วงกำลังนั่งอยู่ ประดับเข็มขัดหยกสีมรกตสุกใส พร้อมขลุ่ยจีนที่เหน็บอยู่ ข้างกายมีองครักษ์ชุดเขียวยืนอยู่
ชายรูปงามท่านนี้ก็คือเฉียนอวิ๋น องค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิตะวันตก โดยมีซือโม่องครักษ์ยอดฝีมือประจำตัวอยู่เคียงข้างไม่ห่าง
“เราเองก็พักอยู่ที่นี่ตั้งสองสามวันแล้ว ทว่ายังไม่มีโอกาสได้พบกับฝ่าบาทตงหลี่เลยสักครา กระทั่งองค์หญิงราชาโอสถนางนั้นก็ตาม จักรวรรดิตงหลี่กลับไม่มีความจริงใจต่อเราเลย”
ซือโม่ที่ยืนคุ้มกันอยู่ข้างกายเฉียนอวิ๋น กระชับจับดาบคาดเอวอยู่ตลอดเวลา พลางกล่าวตัดพ้อเจือน้ำเสียงหงุดหงิด
เฉียนอวิ๋นยังคงนั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะ ริมจิมชาไปทีหนึ่งอย่างใจเย็น สีหน้าการแสดงออกของเขาดูสงบนิ่งอย่างแท้จริง
“องค์รัชทายาท ให้หม่อมฉันเคลื่อนไหวอันใดหน่อยดีหรือไม่ในวันพรุ่งนี้? ดูจากรูปการณ์ในปัจจุบัน เกรงว่าไม่อาจจะร้องขอโอสถที่เราต้องการมาได้”
ซือโม่เอ่ยถามพลางหันหน้ามองไปที่เฉียนอวิ๋น
เฉียนอวิ๋นเอียงศีรษะเงยหน้าแช่มมอง กล่าวกับซือโม่ด้วยความใจเย็นว่า
“เรื่องของวันพรุ่งนี้ก็ค่อยเจรจากันในวันพรุ่งนี้ ไม่ว่ากรณีใด จักรวรรดิตงหลี่ย่อมต้องร่วมมือกับเรา และไม่มีทางปฏิเสธคำร้องขอโอสถของเราได้”
“แต่จนถึงตอนนี้เรายังไม่ได้พบหน้าฝ่าบาทด้วยซ้ำ เกรงว่า…”
“อย่าได้กังวลไป เราจะเดินทางไปหาไป๋หลี่อวี๋อิงในวันพรุ่งนี้ และหากนางไม่ยอมมอบให้ ค่อยเดินทางเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
เฉียนอวิ๋นโบกมือหยุดซือโม่มิให้พูดต่อ
ขณะที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่นั้นเอง ทันใดนั้น พลันก่อเกิดรัศมีจิตสังหารอันเย็นยะเยือกสุดแสนแผ่ซ่านออกมาจากเหนือศีรษะของทั้งสอง พอเงยหน้าแช่มมองก็เห็นเป็นเส้นด้ายสีดำนับคนาพวยพุ่งเข้าจู่โจมประดุจสายฟ้า พร้อมคลื่นแรงกดดันปริมาณมหาศาลถึงขั้นที่ว่าทำเอาผู้คนหายใจหายคอกันไม่ออก
อย่างไรก็ตาม เฉียนอวิ๋นกลับมิได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย เพียงนั่งจิบชาในมืออย่างสงบ ราวกับปล่อยให้เส้นด้ายสีดำทมิฬเหล่านั้นพุ่งเข้าเจาะกะโหลกไปทั้งแบบนั้น ชั่วขณะที่เส้นด้ายดำทมิฬกำลังลุเข้าถึงตัว ซือโม่ที่อยู่เคียงข้างก็ชักคมดาบสะบั้นตัดทิ้งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
คมดาบสาดแสงกะพริบส่อง ซัดคลื่นคมดาบยักษ์อัดเข้าใส่เหนือศีรษะบนหลังคาด้วยขุมพลังลมปราณมหาศาล เสียงหลังคาแตกสลายระเบิดเป็นรูโหว่ เงาร่างสีดำพลันตกกระแทกพื้นทันที
ย่าเฟิงรีบลุกขึ้น กวาดสายตจับจ้องเฉียนอวิ๋นเขม็งแน่น ปลดปล่อยแรงแค้นอาฆาตออกมาเปี่ยมล้น พ่นวาจาเย็นยะเยือกทีละคำขึ้นว่า
“ไอ้พวกตะวันตกบัดซบ! วันนี้ข้ามาเอาชีวิตพวกเจ้า!!”
พูดจบผ้าคลุมดำพลันสั่นกระพือ คมดาบใหญ่ในมือซือโม่สะบั้นฟันผ้าคลุมตรงหน้าขาดเป็นสองซีก ชั่วขณะอึดใจ ร่งาของย่าเฟิงไสววูบกลายเป็นเงาทมิฬสายหนึ่ง ยิงเส้นด้ายสีดำนับไม่ถ้วนดุจอสรพิษร้ายกระจายไปทั่วทั้งห้องตำหนัก แต่ดาบเล่มนั้นกลับสามารถฟันเส้นด้ายเหล่านั้นจนขาดสะบั้นได้ในพริบตา