ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 168 สำรวจวังหลวงยามรัตติกาล (2)
ตอนที่168 สำรวจวังหลวงยามรัตติกาล (2)
ย่าเฟิงเหลือบสายตาไปมองชายผิวสีน้ำผึ้งที่สำแดงใช้กระบวนดาบใหญ่กระหน่ำตัดเส้นด้ายทมิฬของตน สีหน้าท่าทีของนางดูแปรเปลี่ยนไปมาก
“อาศัยเพียงเศษเสี้ยวคาวมสามารถแค่นี้ ยังมีหน้ามาลอบสังหารองค์รัชทายาทอีกงั้นรึ?”
ซือโม่หัวเราะเย้ยหยันสนุปากยิ่งแล้ว สะบัดข้อมือไปทีหนึ่ง คลื่นดาบคลุ้มคลั่งพิฆาตใส่ย่าเฟิงในพริบตา
คลื่นดาบระลอกนี้รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ปรากฏประกายแสงสีครามจัดจ้านระเบิดออกมาจากร่างกายของซือโม่ เหวี่ยงดาบโหมเข้าโจมตีย่าเฟิงประดับเคียงรัศมีแรงกดดันอันน่าสะพรึงสุดแสน
ชั่วขณะอึดใจนั้น ย่าเฟิงพึงทราบ จนไม่สามารถหลบเลี่ยงกระบวนโจมตีตรงหน้าได้ เช่นนั้นจึงส่งแรงทั้งหมดลงไปที่ขาและกระทืบเท้าสุดแรงเกิด ส่งร่างดีดตัวเองพุ่งเข้าหาเฉียนอวิ๋งโดยหาได้คำนึงถึงคลื่นดาบอันตรายตรงหน้า ขอเพียงสังหารองค์รัชทยาทแห่งจักรวรรดิตกทิ้งได้ ต่อให้ต้องตาย…ชีวิตนี้ย่าเฟิงก็พร้อมสละ!
“ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าหลุดมือไปแน่! ต่อให้ตายโหงเป็นผีห่า ข้าก็จะตามรำครวญเจ้าชั่วนิรันดร์! ขอสังเวยชีวิตนี้เพื่อจักรวรรดิหรู่หราน! ล้างแค้นให้ฮองเฮา! ล้างเลือดให้ฝ่าบาท!!”
ซือโม่เคลื่อนไหวทันที ตรงเข้าไปหยุดตรงหน้าเฉียนอวิ๋ง เร่งยกดาวใหญ่ในมือเข้าป้องกัน
“ซือโม่ หยุด!”
เฉียนอวิ๋งคำรามใส่องค์รักษ์เบื้องหน้าสั่งการไม่ทันไร ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างอรชรสายหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านบน คมแสงกระบี่เย็นยะเยือกสาดส่อง เข้าผสานการโจมตีร่วมกับย่าเฟิงเพื่อทยายปราการป้องกันดาบใหญ่ของซือโม่
เฉียนอวิ๋นเหลือบสายตาแลเหลียวเงาร่างอรชรสายหนึ่ง ทว่าเพียงชั่วขณะที่แลเหลียว หัวใจของเขาราวกับถูกสะกดในทันใด ปรากฏว่าคนที่โผล่ออกมาลอบโจมตีเป็นสตรีงามถล่มเมือง นางมาในชุดรัดรูปสีดำ เนื้อผ้าที่โอบรัดค่อนข้างแน่นจนเห็นทรวดทรงโฉมสะครวญชัดเจน ความงดงามบนใบหน้าประดับเคียงคู่กับชั้นน้ำแข็งบางปราศจากอารมณ์ปกคลุม ยิ่งเพิ่มเสริมให้นางดูทรงเสน่ห์เกินหักห้ามใจ
คล้อยหลังที่เซียถงช่วยเหลือย่าเฟิงเข้าประสานการโจมตี ปราการดาบใหญ่ของซือโม่ก็ดีดกระเด็นร่นถอยออกไปหลายสิบก้าวถึงจะกลับมาทรงตัวได้ดังเดิม
ซือโม่ยกดาบใหญ่ออกเหลือบสายตามองเซียถงที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นจากไหนมิทราบ ฉงนใจงุนงงอยู่สักครู่ แต่ในเมื่อนางช่วยเหลือย่าเฟิง แสดงว่าเป็นศัตรูแน่นอน! คิดได้ดังนั้นจึงบุกทะลวงเข้าโจมตีใส่เซียถงด้วยดาบใหญ่ในมือต่อเนื่องทันที
“ซือโม่ หยุด! อย่าทำร้ายนาง!”
เฉียนอวิ๋งเพิ่งได้สติฟื้นตัวกลับมาจากภวังค์ รีบปริปาปากขานหยุดซือโม่โดยฉับไว เพราะเขากลัวเหลือเกินว่า ซือโม่จะพลั้งมือฆ่าสตรีงามนางนั้นจนตายในดาบเดียว
ทันทีที่ได้รับคำสั่งจากปากเฉียนอวิ๋น ซือโม่ก็รีบชักดาบใหญ่เก็บกลับอย่างรวดเร็ว ทว่าหญิงสาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับไม่หยุดเพียงเท่านั้น ยกกระบี่เล่มยาวสีแดงประดุจอัญมณีขึ้นมา จ้องตาเขม็งไม่มีคลายอ่อนลงเลย
บนสีหน้าความงดงามนี้ พึงปรากฏร่องรอยความเหี้ยมเกรียมน่าสะพรึงหลายส่วน ทั้งยังมีรัศมีแรงกดดันที่หนักอึ้งจนน่าตกใจ ราวกับว่านางพร้อมที่จะสู้ให้ตายกันไปข้างกับซือโม่ เสี้ยวพริบตาต่อมา เซียถงเริ่มเคลื่อนไหวต่อเนื่องทันที ร่ายกระบวนกระบี่พัลวันในมือ โบกสะบัดสาดคลื่นกระบี่คมเขี้ยวเข้าใส่ทางซือโม่กระหน่ำไม่ยั้งมือ
เห็นศัตรูเดินรุกโจมตีไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ ซือโม่รีบยกดาบใหญ่ในมือขึ้นสกัดกั้น แต่เพิ่งรับได้เพียงไม่กี่กระบวน แผ่นใบดาบขนาดใหญ่ของเขาก็ถูกฤทธิ์กระบี่ทัณฑ์ฟ้าสะบั้นผ่าทิ้งเป็นสองท่อนคามือ หนึ่งกระบวนทิ่มแทงปราดพุ่งเข้าใส่ประดุจหอกสวรรค์ แทงคมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเสียบทะลุเข้าไหล่ขวาของอีกฝ่าย ภายใต้สภาวะตกใจสุดขีด ซือโม่ถึงกับรีบเร่งฝีเท้าปราดถอยกรูออกมาในทันที
ไม่นานนัก เริ่มมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอกประตู ยอดฝีมือองครักษ์ระดับชั้นขอบเขตเสาหลักฟ้าทั้งสองนายรีบตรงเข้ามาในห้อง ชักกระบี่ออกมาโดยไวเพื่อเข้าคุ้มกันเฉียนอวิ๋ง
ยามนี้แผนลอบสังหารล้มเหลว แถมเป้าหมายก็รู้ตัวหมดแล้ว การล่าถอยออกไปก่อนคงเป็นแผนสำรองที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้!
คิดได้ดังนั้น เซียถงรีบฉุดร่างของย่าเฟิง กระโดดหน้าต่างหลบหนีออกไปโดยเร็วที่สุด แต่ชั่วขณะที่กำลังโดดหน้าต่างหนีออกไปนั้น นางเหลือบได้ยินเฉียนอวิ๋นตะโกนถามขึ้นว่า
“เจ้าคือองค์หญิงแห่งหรู่หราน? จักรวรรดิที่เคยถูกพิชิตไปกระมัง?”
ขณะเดียวกัน ซือโม่และยอดฝีมือองครักษ์อีกสองนายกำลังวิ่งไปทางบานหน้าต่าง หวังจะไล่ล่าติดตามออกไป แต่เฉียนอวิ๋นกลับตะโกนหยุดเอาไว้เสียก่อน
“อย่าไล่! ปล่อยพวกนางไป!”
ซือโม่หันขวับมองไปทางเฉียนอวิ๋นเจือแววไม่เต็มใจนัด
“แต่องค์รัชทายาท พวกมันต้องการจะฆ่าท่าน!”
“ปล่อยพวกนางไป!”
เฉียนอวิ๋นยังคงยืนยันคำตอบเดิม ทอดสายตามองผ่านหน้าต่างบานนั้น สุดเส้นสายตาปรากฏจุดสีดำสองร่างเคลื่อนห่างออกไปภายใต้แสงจันทร์ยามราตรี ดวงตาคู่ใสพิสุทธิ์ของเขาสั่นไสวพร้อมคลื่นอารมณ์แปลกประหลาดขุมหนึ่ง
ตีระยะหนีไปไกลได้ประมาณหนึ่ง เซียถงค่อยวางร่างของย่าเฟิงบนกระเบื้องหลังคาสักหลังในวังหลวง คล้อยหลังกวาดสายตาจับสังเกตการณ์จนเห็นว่าไม่มีใครติดตามมาแล้ว นางจึงค่อยหยิบถั่วเซียงซีขึ้นมาและโยนให้ย่าเฟิง
“ฝ่าบาทแห่งตงหลี่ตั้งค่าหัวพวกเจ้าสองคนแล้ว ควรรีบหนีออกจากตงหลี่ไปได้แล้ว”
เมื่อครู่ขณะที่เคลื่อนไหวลงมือลงไม้ ผ้าคลุมสีดำที่ปิดคลุมใบหน้าเหมือนจะมีบางจังหวะกระพือเปิดเผยออกมา มิทราบเหมือนกับว่าชั่วจังหวะนั้นมีใครสังเกตเห็นหรือไม่ คราวหน้าคราวหน้า ต่อให้ลอบออกมา เกรงว่านางคงต้องแต่งแต้มร่องรอยจุดด่างดำบ้างแล้วตามสถานการณ์ ในเวลานี้ เกรงว่ายังไม่ถึงเวลาที่ควรเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา
ย่าเฟิงยื่นมือไปรับถั่วเซียงซีเม็ดนั้น เบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ เหลือบมองไปยังหญิงสาวในชุดรัดรูปสีดำตรงหน้า คู่คิ้วขมวดคิ้วถักหากัน กล่าวถามเจือน้ำเสียงโกรธเคือง
“ไฉนถั่วเซียงซีขององค์หญิงถึงอยู่ในมือของเจ้าได้? เจ้าทำอะไรกับองค์หญิงกันแน่?!”
เหลือบสายตามองย้อนกลับไป ก็เห็นว่าย่าเฟิงกำลังพุ่งเข้าโจมตีนาง ด้วยความหงุดหงิด เซียถงจึงหันขวับโบกสะบัดคมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือสวนตตอบโดยตรง เสี้ยวอึดใจที่คลื่นคมกระบี่สีเย็นเยียบถูกปลดปล่อยออกมา บรรดาเส้นด้ายสีดำทมิฬทั้งหลายของย่าเฟิงก็ถูดสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในพริบตาเดียว
ก่อนที่ย่างเฟิงจะตอบสนองขยับตัวด้วยซ้ำ ก็พลันปรากฏคมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเล่มยาวพาดอยู่บนคออันเหี่ยวแห้งของนางเสียแล้ว รัศมีเฉียบเย็นที่ฉาบอยู่บนใบกระบี่ ได้สร้างความรู้สึกเสะเทือนขวัญแก่หญิงชรามิใช่น้อย คลื่นแรงกดดันบนร่างกายเสมือนน้ำลงหดหายไปในพริบตาเนื่องด้วยความครั่นคร้ามสะพรึง
เซียถงก่นน้ำเสียงเย็นชากล่าวว่า
“พาองค์หญิงของเข้าออกไปจากจักรวรรดิตงหลี่ซะ!”
ก่อนที่ย่าเฟิงจะมีโอกาสได้พูดตอบโต้ ใบกระบี่ฉาบเย็นเยียบก็อันตรธานหายไปจากบนคอของย่าเฟิง ลูกตาตีบแคบหดเท่ารูเข็มด้วยความเหลือเชื่อสุดหัวใจ เพราะเส้นด้ายทมิฬเหล่านี้ล้วนทำมาจากเส้นไหมเหมันต์ร้อยปีที่มีความทนทานและความแข็งแกร่งที่สูงมาก ทว่า…กลับถูกกระบี่ยาวในมือของหญิงสาวนางนั้นฟันขาดเป็นเสี่ยงๆ ในพริบตา? นั่นเป็นยุทธภัณฑ์ระดับชั้นใดกัน? แกร่งกล้าปานนั้นเลย?
ยืนอึ้งอยู่บนหลังคาวังหลวงเป็นเวลานานแสนนาน จนในที่สุดย่าเฟิงก็ค่อยได้สติกลับมาอีกครั้งและหาที่ซ่อนตัวใหม่ในวังส่วนลึกอีกครา และครั้งนี้เป้าหมายของนางก็คือ ตำหนักขององค์รัชทายาทแห่งตงหลี่!
หลังจากที่เซียถงกระโดดจากหลังคาวังหลวงออกมา จิตสังหารฉาบเย็นบนดวงตาของนางก็ค่อยๆ จางหายไป หากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าฉีหมิงเยว่ ปานนี้ย่าเฟิงคงถูกนางฆ่าทิ้งไปตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
หญิงชรานางนั้น มิเพียงแต่จะไม่เอ่ยปากขอบคุณนางที่ช่วยเหลือ แต่ยังลอบโจมตีกันจากด้านหลังอีก! ดังนั้นแล้ว อีกฝ่ายสมควรที่ได้รับการสั่งสอนแล้ว!
“นี่ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยามเลย!”
ทันใดนั้นเอง หลิวซูก็ปรากฏกายขึ้นมาต่อหน้าต่อตาเซียถงและกล่าวทวงสัญญาอย่างไม่พอใจนัก หากย้อนกลับไปในตอนนั้น มันอุตส่าห์เดินไปเจอสาวรับใช้ในวังประมาณสองสามนางกำลังอาบน้พแช่ตัวกันอยู่พอดี แต่ขณะที่เขากำลังถ้ำมองอย่างมีความสุข จู่ๆ ก็ถูกเรียกกลับมาเข้ามือของเซียถงเพื่อต่อสู้ ซึ่งนี่มันทำให้หลิวซูไม่พอใจเป็นอย่างมาก