ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 169 งานเลี้ยงสีเลือด (1)
ตอนที่169 งานเลี้ยงสีเลือด (1)
“วันนี้พลาด วันหน้าก็ยังมิสาย”
เหลือบสายตามองไปทีหนึ่ง เซียถงกล่าวกับหลิวซูและเดินหน้าต่อไป
“ข้ายังไม่ทันเห็นองค์หญิงเลย”
หลิวซูปั้นหน้ามุ่ย มองใส่ทางเซียถงเจือทีท่าหงุดหงิด
ทว่าเซียถงกลับมิได้สนใจอันใดและสืบเท้าเดินต่อไป
เมื่อกลับมาถึงสถานศึกษาเซิงหลิง แลเห็นว่าท้องฟ้ายังมืดอยู่ นางจึงกลับไปหลับพักผ่อนต่อเพื่อเข้าเรียนในวันถัดไปด้วยความสดชื่นแจ่มใส สองสามวันผ่านพ้นไปอย่างสงบสุข ซึ่งในทุกคืนเซียถงก็มักจะแวะไปบึงน้ำในป่าลึกเป็นประจำเพื่อออกล่าสัตว์อสูร
จนกระทั่งค่ำวันหนึ่ง
ขณะที่นางกำลังจะออกเดินทางไปที่บึงน้ำเพื่อล่าสัตว์อสูรตามปกติ ทันใดนั้นนางก็พลันได้ยินสุ้มเสียงดังผิดวิสัยมาจากชั้นล่างของหอพัก พอก้มหน้าไปมองก็พบหญิงสาวจำนวนหนึ่งที่กำลังเดินขึ้นบันไดมา ส่วนที่สะดุดตาที่สุดคงเป็นไป๋หลี่อวี๋อิงในชุดสีแดงเพลิง
ซึ่งแน่นอน ใบหน้าของไป๋หลี่อวี๋อิงยังคงมีผ้าคลุมสีแดงชั้นหนาปกปิดไว้หนาแน่น ทว่าร่องรอยบวมแดงทั่วทั้งใบหน้าของนางก็ยังเผยให้เห็นทะลุผ้าคลุมออกมา หลังจากเวลาที่โดนพิษของเซียถง อีกฝ่ายก็เกือบหายสนิทแล้ว
ไป๋หลี่อวี๋อิงเดินหน้าเชิดขึ้นบันไดมา จับจ้องเซียถงที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ส่อแววตาดูถูกสบประมาทชัดเจน ทั้งยังเอ่ยถามขึ้นคำหนึ่งอย่างภาคภูมิใจขึ้นว่า
“เซียถง ข้ามาที่นี่เพื่อแจ้งข่าวสองเรื่องให้ทราบ มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย เจ้าอยากฟังข่าวไหนก่อน?”
เซียถงปรายหางตามองไป๋หลี่อวี๋อิงเล็กน้อย และเดินผ่านหน้าอีกฝ่ายไปโดยมิได้ให้ความสนใจแม้สักนิด ทำราวกับไป๋หลี่อวี๋อิงเป็นธาตุอากาศก็มิปาน นางไม่มีเวลามายืนฟังเรื่องไร้สาระของไป๋หลี่อวี๋อิง
“เซียถง นังหญิงชราอัปลักษณ์ที่ลอบสังหารองค์รัชทยาทครั้งล่าสุด ณ เวลานี้ถูกจับตัวได้แล้วเมื่อสองวันก่อนในข้อหาลอบสังหารดังเดิม”
เมื่อเห็นว่าเซียถงมิได้สนใจฟังสิ่งที่นางต้องการจะพูดเลย ไป๋หลี่อวี๋อิงจึงรีบตะโกนออกมาเสียงดัง แต่ก็ยังแสร้งทำตัวลึกลับราวกับกำลังกุมไพ่เหนือกว่าอยู่
ได้ยินเช่นนั้นเซียถงชะงักฝีเท้าครึ่งจังหวะ ก่อนที่จะเดินหน้าออกไปต่อ
“แล้ววันนี้ฉีหมิงเยว่เองก็ถึงกับไปมอบตัวเองถึงวังหลวง หวังเพื่อแชกชีวิตช่วยเหลือนังหญิงชราอัปลักษณ์”
ไป๋หลี่อวี๋อิงตะโกนเสียงดังลั่นพลางหัวเราะเยาะชอบใจ
เซียถงเบี่ยงศีรษะเหลือบมองไป๋หลี่อวี๋อิงเล็กน้อย สีหน้าท่าทีของนางคล้ายจะเปลี่ยนไปหนึ่งส่วน และเอ่ยถามอย่างเย็นชาขึ้นว่า
“แล้วอย่างไร?”
“ฉีหมิงเยว่หาใช่สหายสนิทของเจ้าหรอกรึ? ไม่คิดจะช่วยเหลือนางจริงๆ เหรอ? จงจำไว้ โทษฐานในการลอบสังหารองค์รัชทยาทคือประหารชีวิตสถานเดียว!”
ไป๋หลี่อวี๋อิงเชิดหน้าเชิดคางขึ้นสูง กดสายตาต่ำมองเซียถงราวกับตนเองอยู่เหนือกว่าแล้วในขณะนี้
เซียถงหมุนตัวกลับมา ก้าวตรงไปหาไป๋หลี่อวี๋อิง และเอนใบหน้าเข้าไปชิดใกล้กับอีกฝ่าย เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่แยแสเท่าไหร่นักว่า
“เช่นนั้นต้องการอะไรล่ะ?”
“หากเจ้าอยากช่วยฉีหมิงเยว่นัก ก็จงมาที่ป่าสนในเช้าวันพรุ่งนี้”
ไป๋หลี่อวี๋อิงสาดสายตาเหี้ยมดุใส่ และทันทีที่พูดจบนางก็เดินชนไหล่เซียถงกระแทกเบาๆ ไปทีหนึ่ง เดินลงบันไดไปพร้อมกับบรรดาผู้ติดตามที่อยู่เบื้องหลัง
เซียถงเลิกคิ้วมองพวกไป๋หลี่อวี๋อิงที่เดินลงบันไดจากไป ภายในใจยังคงสงสัยไม่หาย หรือเป็นไปได้ไหมว่า ในคืนนั้นย่าเฟิงยังไม่เข็ดหลาบ จึงย้อนกลับไปในวังหลวงเพื่อปิดบัญชีไป๋หลี่เย่? แต่ดันพลาดท่าแล้วโดนจับกุมตัว?
ยืนอยู่ตรงนั้นพลางครุ่นคิดสักครู่หนึ่ง เซียถงรีบออกจากสถานศึกษาเซิงหลิงและไปยังจวนเสนาบดีเซี่ยโดยไว หากฉีหมิงเยว่ถูกจับตัวไป จะเกิดอะไรขึ้นกับเซี่ยหลู่เฟิงต่อจากนี้หรือไม่?
ทันทีที่มาถึงหน้าประตูทางเข้าจวนเสนาบดีเซี่ย นางก็ชนเข้าให้กับใครบางคนที่กำลังรีบวิ่งออกมาด้วยความร้อนใจ เมื่อเงยหน้ามอง ก็พบว่าเป็นเซี่ยหลู่เฟิง จะอย่างไร อีกฝ่ายไม่แม้แต่มองหน้าสบตานางด้วยซ้ำ เร่งพยุงตัวลุกขึ้นและเดินจากออกไปอย่างกังวล
“จะรีบไปไหน?”
เซียถงเอ่ยถามคำหนึ่ง ยื่นมือตรงออกไปฉุดรั้งแขนเสื้อของเซี่ยหลู่เฟิงทันที
“ไปพบองค์รัชทายาทที่หอไท่หยวน”
เซี่ยหลู่เฟิงสะบัดมือเซียถงจนหลุดออก มิได้เอ่ยปากกล่าวอธิบายอันใดอีก เร่งสับเท้าเดินตรงออกไปโดยไม่มีเหลียวหลังกลับมามาอีกเลย เสี้ยวพริบตาต่อมา ก็เห็นอีกฝ่ายเร่งฝีเท้าจากออกไปไกลแล้ว
หรือเป็นไปได้ไหมว่า ไป๋หลี่เย่อาจจะใช้ฉีหมิงเยว่เป็นตัวประกันเพื่อสร้างปัญหายากเย็นให้แก่ตัวเซี่ยหลู่เฟิง?
เมื่อคิดได้ดังนั้น เซียถงจึงรีบยกเท้าก้าวติดตามไปทันที
“เจ้าตามข้ามาทำไม? ไม่มีธุระที่ต้องทำรึ?”
เซี่ยหลู่เฟิงหยุดฝีเท้าชั่วขณะ หันมากล่าวกับเซียถง
“ข้ารู้แล้วว่า ฉีหมิงเยว่อยู่ในกำมือขององค์รัชทายาทแล้ว มันคิดจะใช้โอกาสนี้ล่อเจ้าไปที่หอไท่หยวนเพื่อสร้างปัญหาอะไรสักอย่าง!”
เซียถงกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยหลู่เฟิงก็รบายยิ้มขมขื่นสุดแสนมอบให้แก่เซียถง และกล่าวว่า
“ปรากฏว่าเจ้าเองก็รู้เช่นกัน ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทต้องการจะใช้ประโยชน์จากฉีหมิงเยว่ เพื่อจัดการเราสองพี่น้อง และคราวนี้ไม่มีปราณีแน่นอน”
เซี่ยหลู่เฟิงตระหนักทราบดีว่า ไป๋หลี่เย่ต้องการจะจัดงานเลี้ยงสีเลือดให้แก่พวกเขาสองพี่น้อง ในทีแรก เขาต้องการจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวคนเดียว และไม่อยากให้เซียถงต้องมาพัวพันติดรากแหไปด้วยอีกคน แต่ในเมื่อตอนนี้นางเองก็รู้แล้ว เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนมันไว้อีกต่อไป
“ข้าจะไปกับท่าน”
เซียถงกล่าว
เซี่ยหลู่เฟิงเป็นกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของฉีหมิงเยว่ โดยไม่ต้องพูดพร่ำไร้สาระอันใดอีก เขาพยักหน้าตอบและเร่งฝีเท้าวิ่งตรงไปต่อทันทีพร้อมกับเซียถง
สองพี่น้องวิ่งจนไปถึงหอไท่หยวน ขณะที่พวกเขาอยู่ห่างจากหอไท่หยวนประมาณสิบฉื่อ เซี่ยหลู่เฟิงก็ลดฝีเท้าความเร็วลงกะทันหันและหันมากล่าวกับเซียถงว่า
“เจ้าเพิ่งตัดแขนซ้ายขององค์รัชทายาทไป ให้ข้าเข้าไปก่อนจะดีกว่า มิฉะนั้นอีกฝ่ายอาจจะสติแตกได้”
เซียถงพยักหน้าเห็นชอบกับความคิดนี้ และเอ่ยถามกลับไปว่า
“เช่นนั้นแล้ว ไป๋หลี่เย่นัดท่านไว้ในห้องใด?”
แขนซ้ายของไป๋หลี่เย่เพิ่งโดนนางตัดทิ้งไปทั้งท่อน ยามนี้กลายมาเป็นองค์รัชทยาพิการไปโดยสมบูรณ์ และหากนางปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเซี่ยหลู่เฟิงในเวลานี้ เกรงว่าจะไม่ต่างอะไรกับการเติมเชื้อเพลิงบนลงกองไฟ ซึ่งนี่อาจจะส่งผลเสียต่อตัวประกันอย่างฉีหมิงเยว่โดยตรง
เซี่ยหลู่เฟิงยกนิ้วชี้ไปที่ห้องปีกขวาบริเวณชั้นสามของหอไท่หยวน น้ำเสียงที่เอ่ยกล่าวค่อนข้างครึมจริงจัง
“ห้องที่สามชั้นสามด้านขวามือ ข้าจะเข้าไปก่อน ส่วนเจ้าคอยแอบดูสังเกตการณ์ไป หากสถานที่แห่งนี้ไม่มีฉีหมิงเยว่อยู่ เป็นไปได้อย่าเผยโฉมเป็นดีที่สุด เพราะหากองค์รัชทยาทโกรธเกรี้ยวจัดจนคลั่งขึ้นมา เราจะไม่รู้เลยว่า อีกฝ่ายจะระบายอารมณ์หรือทำอะไรที่เป็นอันตรายกับฉีหมิงเยว่บ้างหรือไม่”
เซียถงพยักหน้าตอบ เซี่ยหลู่เฟิงย่างสามขุมตรงเข้าไปในหอไท่หยวน
ทอดสายตามองเซี่ยลหู่เฟิงที่เดินเข้าตัวหอไท่หยวนไป เซียถงลอบเร้นเคลื่อนเข้าไปใกล้ตัวหอเช่นกันจากอีกทิศหนึ่ง กวาดสายตาตรวจสอบอยู่สักพัก ในที่สุดนางก็ค้นพบสถานที่ลับสายตาและค่อนข้างเงียบสงบมาก ซึ่งก็คือบนหลังคามุมหนึ่งที่ถูกฉากป้ายบังเอาไว้ ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังทิศทางห้องที่สามขวาสุดของชั้นสาม จากนั้นก็ค่อยๆ แกะแผ่นกระเบื้องออกมาแผ่นหนึ่ง และเพ่งสายตาสอดส่องอย่างระมัดระวัง
ภายในห้องของตัวหอไท่หยวน ไป๋หลี่เย่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง แขนเสื้อคลุมข้างซ้ายของเขามีแต่ความว่างเปล่า ส่วนมือขวาที่เหลืออยู่เพียงมือเดียวก็กำลังถือมีดสั้นคมเล่มหนึ่ง และกำลังลับมีดบนโต๊ะไม้อย่างต่อเนื่อง
ในวันนั้น หลังจากที่เซียถงได้ตัดแขนข้างซ้ายของเขาต่อหน้าสาธารณชน ไป๋หลี่เย่ก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง คิดแต่จะหาหนทางแก้แค้นเซียถงอยู่ท่าเดียว รวมไปถึงทุกคนที่ใกล้ชิดกับเซียถง และรายชื่อแรกที่อยู่บนสุดเลยก็คือ เซี่ยหลู่เฟิง