ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 17 ขู่ให้หลาบจำ (1)
ตอนที่17 ขู่ให้หลาบจำ (1)
เซียถงค่อยๆ คลายมือข้างที่ศีรษะฮูหยินรองเฉิงไว้ออก จากมือที่ว่างเปล่าเพียงโบกสะบัดเล็กน้อยก็ปรากฏคมมีดสั้นออกมา ก่อนจะจี้ไปที่คอหอยของอีกฝ่าย
มีดสั้นคมกริบกรีดผ่านผิวหนังชั้นสีขาวเนียนประดุจหิมะบางๆ และในไม่ช้าเลือดสีแดงสดก็รินไหลออกมาเล็กน้อย
ฮูหยินรองเฉิงหวาดผวาสุดขีแทบจะหมดสติทรุดตัวอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งทั้งแบบนั้น พอพยายาหันเงยขึ้นมามองก็เห็นเพียง สายตาอันสุดแสนอำมหิตของเซียถง เฉพาะช่วงเวลานี้เอง นางเพิ่งตระหนักได้ว่า เซียถงคนนี้มีเจตนาสังหายนางทิ้งจริงๆ และพอคิดแบบนั้นทั่วทั้งร่างกายก็สั่นเทาอย่างหนักโดยไม่รู้ตัว
“ตอนนีเจ้ายังคิดว่า ข้าไม่กล้าสังเชือดเจ้าทิ้งอยู่หรือไม่?”
เซียถงกดสายตามองอีกฝ่ายที่อยู่ต่ำกว่าพลางเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบนิ่ง ก่อนจะจ่อคมมีดสั้นในมือไปทางอีกฝ่ายอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้มิใช่บริเวณคอหอย แต่เป็นที่ดวงตาของฮูหยินรองเฉิง!
“ถงถง เมตตาแม่ข้าด้วย!”
เซี่ยหลู่เฟิงรีบตรงเข้ามาโดยไว ทีแรกหวังแค่จะมาทักทายเยี่ยมเยือนท่านแม่ของเขาที่มิได้พบกันเสียนาน แต่ใครจะไปคิด พอตรงเข้ามาภายในเรือนจะพบเห็น ภาพฉากที่เซียถงกำลังใช้มีดสั้นคว้าลูกตาแม่ตัวเองออกมา!
สีหน้าการแสดงออกของเซี่ยหลู่เฟิงแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก!
หญิงสาวท่าทางเย็นชาและเหี้ยมโหดราวกับหลุดออกมาจากขุมนรกปานนี้ นั่นใช่…เซียถงที่เขารู้จักจริงๆ รึ?
เซียถงที่ได้ยินใครสักคนเรียกชื่อของตนออกมาก็ หันมองไปทางต้นเสียงก่อนจะพบเข้ากับเซี่ยหลู่เฟิง นางเองก็ตกตะลึงใจเช่นกัน
“ถงถง วางมีดลงก่อนเถอะ แม้สิ่งที่ท่านแม่ของข้ากระทำนับพันครั้งจะเป็นเรื่องผิด แต่มันก็ไม่ควรต้องทำกันถึงปานนี้!”
คล้อยหลังตั้งสติขึ้นมาได้ เซี่ยหลู่เฟิงก็ร้องโอดครวญขึ้นมา เจือสีหน้าวิตกสุดขีด
“หากเช่นนั้นแล้วท่านแม่ของข้าล่ะ? แม่ข้าสมควรถูกรังแกจนตายเลยหรือไม่? ท่านแม่ของข้าทั้งอ่อนโยนและมีคุณธรรม ยอมอดทนอดกลั้นต่อทุกสิ่ง แต่นังนี่ก็ยังสรรหาทุกวิถีทางเพื่อสังหารแม่ข้าให้ตาย อำมหิตถึงขนาดที่ว่าแอบใส่พิษเก้าราตรีลงในเครื่องหอมและแขวนไว้ในห้องของแม่ข้า”
เซียถงหันศีรษะกลับมา จ้องไปที่ฮูหยินรองเฉินที่ตัวสั่นเทาด้วยความอาฆาต
ไม่ว่าเซี่ยหลู่เฟิงจะปฏิบัติต่อนางดีเพียงใด แต่สุดท้ายเซียถงก็ต้องออกหน้าเพื่อปกป้องแม่ของตนเช่นกัน
พอเซี่ยหลู่เฟิงได้ยินแบบนั้น สีหน้าการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไปทันที และเหลือบไปมองที่ฮูหยินรองเฉินซึ่งก็คือแม่ของเขา
“ไม่จริง! หลู่เฟิง อย่าไปฟังไอ้เด็กคนนี้มันพล่ามไร้สาระ! รีบลากมันออกไปจากข้า!”
เมื่อเห็นเซี่ยหลู่เฟิงปรากฏตัวเฉกเช่นนี้ ก็ได้ทำให้ความกลัวในจิตใจของฮูหยินรองเฉิงลดลงเป็นอย่างมาก ฉวยจังหวะนี้นางรีบร้องขอให้ลูกชายช่วยโดยทันที
“ไปเรียกนายท่านเจ้ามา! ไปเรียกนายท่านของเจ้ามาจัดการกับสุนัขตัวนี้โดยเร็ว!!”
ฮูหยินรองเฉิงยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น ยังเร่งเร้าตะโกนบอกเสี่ยวฉุยซึ่งเป็นพ่อบ้านประจำเรือนปแห่งนี้ที่ยืนอยู่ข้างเซี่ยหลู่เฟิงไปอีกครา
คมมีดสั้นเคลื่อนจ่อเข้าใกล้บริเวณดวงตาเล็กน้อย ทำเอาฮูหยินรองเฉิงหุบปากไปในทันที
“แกลองเห่าออกมาอีกสักคำดูได้!”
เซียถงกรนเสียงเย็นใส่ พร้อมโน้มตัวเข้ากระซิบข้างหูอีกฝ่าย
ขณะที่เสี่ยวฉุยกำลังจะหมุนตัววิ่งออกไปนั้นเอง เพื่อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแก่นายท่านของเขา แต่กลับถูกเซี่ยหลู่เฟิงคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน ทั้งยังส่งสายตาดุร้ายเข้าจับจ้องใส่อีก
เสี่ยวฉุยชะงักหยุดลงในทันใด ได้แต่หันไปมองฮูหยินรองเฉิง ท่าทางราวกับจะร้องไห้ออกมาแล้ว เขาไม่สามารถรุกรานต่อต้านคำสั่งของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เลย
ลูกชายคนนี้เปรียบเสมือนสิ่งมีค่าสำหรับฮูหยินรองเฉิง ทว่ากลับถูกอีตัวเซียถงยั่วยวนปอกลอกตลอดหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ลูกชายคนนี้ของนางใจอ่อน! ซึ่งการกระทำตลอดมาของอีกฝ่ายทำให้ผู้เป็นแม่คนนี้ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
“ถงถง เจ้าปล่อยท่านแม่ของข้าเถอะ ข้ารู้ว่าท่านแม่ของข้าทำเรื่องสกปรกเช่นนี้มาก็หลายปีแล้ว และข้าเองก็พยายามหลายสิ่งอย่างให้ดีที่สุดเพื่อชดเชยความผิดพลาดของพวกนาง ครานี้เองก็ได้โปรดปล่อยท่านแม่ของข้าไปเถิด เพื่อข้าคนนี้สักครั้งได้หรือไม่?”
เซี่ยหลู่เฟิง ร้องขอวิงวอนต่อเซียถงด้วยความจริงใจ
เมื่อเห็นเซี่ยหลู่เฟิงหยุดตนเอาไว้เช่นนี้ เสี่ยวฉุยเองก็พึงทราบทันทีว่า อีกฝ่ายอยู่ข้างใคร ก็ถึงกับยอมจำนนแล้วเช่นกัน
เซียถงเหลือบสายตามองเซี่ยหลู่เฟิงเล็กน้อย และเก็บมีดสั้นกลับเข้ามาดังเดิม ไม่ลืมที่กดสายตามองฮูหยินรองเฉิงทั้งยังกล่าวทิ้งท้ายว่า
“คราวนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป ถือซะว่าเห็นแก่หน้าพี่หลู่เฟิง แต่คราวหน้าคราวหลัง หากกล้าทำอะไรกับท่านแม่ข้าอีก เจ้าไม่ตายดีแน่”
คล้อยหลังกล่าวจบ เซียถงก็คลายมือซ้ายที่กลัดกลุมแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่าย ทั้งยังถีบส่งจนร่างของฮูหยินรองเฉินกระเด็นออกไปล้มทับเก้าอี้ไม้ด้านข้างจนแตกเป็นเสี่ยงเล็กเสี่ยงน้อยทันที
แค่แรงถีบของสาวน้อยนางหนึ่งถึงขั้นที่ทำให้เก้าอี้ไม้พังเป็นเสี่ยงๆ เชียวรึ?
ฮูหยินรองเฉิงพยายามทรงตัวขึ้นมาอย่างทุลักทุเล จับจ้องไปยังเศษซากเก้าอี้ด้วยความหวาดผวาไปชั่วขณะ สักครู่หนึ่งต่อมาจึงรีบวิ่งหน้าตั้งออกไปทันทีด้วยความตื่นตระหนก
เซี่ยหลู่เฟิงจับจ้องไปยังเศษซากเก้าอี้ดังกล้าวเช่นกัน สีหน้าทั้งดูงุนงงและส่อแววเหลือเชื่อ
สาวน้อยนางนี้มีพละกำลังที่มหาศาลมาก ทั้งที่ปราศจากลมปราณ!
เซียถงหยิบซองเครื่องหอมบนโต๊ะเครื่องแป้งเก็บกลับไป และเดินออกจากเรือนโดยตรง ส่วนทางด้านเซี่ยหลู้ฟิงยังคงยืนงงฉงนใจอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน
เซียถงเดินทางไปยังโถงรับรองหลักประจำจวนเสนาบดี พลางนั่งเล่นบนเก้าอี้ตัวยักษ์อันทรงเกียรติอย่างสงบ ริมจิบชาร้อนชื่นชมทิวทัศน์ผ่านหน้าต่าง
นางกำลังรอให้เซี่ยอี้เฉินกับฮูหยินรองเฉิงที่โดนกรีดคอหวนกลับมาเอาเรื่อง เพราะสันดานอย่างคนพวกนั้นไม่มีทางปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแน่นอน
และหลังจากนั้นไม่นาน เซี่ยอี้เฉินก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้านางจริงๆ เบื้องหลังยังมีทหารยามอยู่หลายคน และชายหนุ่มคนหนึ่งที่แต่งตัวดูเลิศหรูและโดดเด่นกว่าใครดูท่าน่าจะเป็นคนมีฐานะสักคนหนึ่งที่เป็นแขกของจวนเสนาบดีแห่งนี้
ชายหนุ่มคนนั้นรูปโฉมหล่อเหลา ดวงตาเฉียบคมประดุจนกอินทรี ซึ่งจับจ้องไปทางผู้ใดผู้นั้นย่อมต้องหวาดหวั่น
ดูยังไงก็น่าจะเป็นแขกผู้มีเกียรติที่มาเยี่ยมเยือนเซี่ยอี้เฉินในวันนี้
เซี่ยอี้เฉิงตระหนักได้เช่นกัน ท่าทางการแสดงออกของเซี่ยถงในเวลานี้ช่างหยิ่งผยองสิ้นดี ทั้งที่เพิ่งกระทำผิดมายังกล้านั่งดื่มชาอย่างสบายอารมณ์อยู่ต่อหน้าเขาได้ ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เขาโมโหเกรี้ยวโกรธมากขึ้นไปอีก
เซี่ยอี้เฉิงชี้หน้าเร้นเสียงด่าด้วยความโกรธแค้นทันทีว่า
“นังสัตว์เดรัจฉาน! ยังกล้านั่งจิบชาอยู่ตรงนี้อีกรึ!? รีบไปขอโทษฮูหยินรองของเจ้าบัดเดี๋ยวนี้!!”
เมื่อไม่นานที่ผ่านมา ฮูหยินเฉิงวิ่งแจ้นมาฟ้องเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นแก่ตัวเซี่ยอี้เฉิงหมดแล้ว แต่เพียงเพราะเวลานี้ มีท่านอัครมหาเสนาบดีมาเยี่ยมเยือนถึงในจวนของเขา จึงจำต้องรีบเร่งระงับโทสะลงโดยเร็วที่สุด ตั้งใจว่า คล้อยหลังนำส่งท่านอัครมหาเสนาบดีเสร็จสิ้น ค่อยกลับมาคิดบัญชีทีหลัง
แต่ใครจะไปคิดว่า นางจะมานั่งเล่นอยู่ในโถงรับรองหลักเช่นนี้! ทั้งยังกล้านั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้ของเขาอย่างสบายใจเฉิบ!
หยิ่งยโสเกินไปแล้ว! ถึงอยู่ต่อหน้าท่านอัครมหาเสนาบดี เซี่ยอี้เฉิงก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน!!
“โอ๋? มิใช่ข้าที่ต้องขอโทษ”
เซียถงกล่าวจบก็โยนถุงเครื่องหอมในมือลงบนพื้นตรงหน้า
จากนั้นก็จับจ้องเซี่ยอี้เฉิงด้วยสายตาอันแสนตายด้าน กรนเสียงเย็นยะเยือกเอ่ยถามว่า
“เจ้าสิ่งนี้มันถูกแขวนอยู่ในห้องของท่านแม่ข้า พอทราบมิว่าสุนัขตัวใดมันเอาเข้ามา?”
เมื่อเห็นถงเครื่องหอมดังกล่าว ชายหนุ่มในชุดหรูหราก็ก้าวเข้ามาในเรือนรับรองทันที สายตาหดแคบจับจ้องไปที่มัน
ก่อนจะเงยขึ้นสบกับใบหน้าของเซียถง พอได้เห็นรูปลักษณ์หน้าตาของนางตรงหน้า เขาถึงกับขมวดคิ้วทันใด ทั้งยังก้าวถอยหลังกลับไปที่เดิม ร่องรอยความรังเกียจเผยชัดแจ้งปรากฏอยู่ในดวงตาคู่นั้นของเขา
ช่างเป็นหญิงสาวที่อัปลักษณ์สิ้นดี!
เซี่ยอี้เฉินหยิบถุงเครื่องหอมบนพื้นขึ้นมาดมเล็กน้อย และทันใดนั้นเอง สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปโดยกะทันหัน เหลียวหลังขวับจับจ้องฮูหยินรองเฉิงตาเขม็งขึงขัง
“ท่านพี่! ท่านเข้าใจผิดแล้ว! ถุงเครื่องหอมนี้มิใช่ของข้า!”
ในเวลานี้ทั่วบริเวณลำคอของฮูหยินรองเฉิงถูกพันด้วยผ้าสีขาว เมื่อเห็นเซี่ยอี้เฉินมองมาทางตนด้วยสายตาที่แปรเปลี่ยนไป นางก็รีบโบกผ้าเช็ดหน้าและร้องไห้ขอความเห็นใจในทันที
นางยังกล่าวทั้งน้ำตาอีกว่า
“นังสารเลวตัวน้อยนี่ บุกเข้ามาในเรือนของข้า ไม่เพียงแค่ทำลายข้าวของในห้องจนพังพินาศ แต่ยังใช้มีดพยายามจะแทงข้าให้ตาย! โชคยังดีที่หลู่เฟิงมาห้ามไว้ได้ทัน ส่งผลให้นังสารเลวฆ่าไม่สำเร็จ ดังนั้นก็เลยพยายามใส่ร้ายป้ายสีข้าคนนี้ ท่านพี่เองก็ทราบ แม่ของนางป่วยหนักเพียงใด แล้วข้าหรือจะใจจืดใจดำกล้าทำเรื่องสกปรกใส่นางอีก?”