ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 171 ปมในใจ (1)
หากมันกล้าหักแขนเซี่ยหลู่เฟิง นางจะหักแขนขวาที่เหลืออยู่ของมันทิ้งก่อน
คมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเข้าประหาร ฟันเข้าใส่ไหล่ขวาของไป๋หลี่เย่โดยตรงหวังตัดให้กุด แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีเงาร่างประกายสีม่วงเข้าสกัดเอาไว้ก่อน ปรมาจารย์เสวี่ยกระชากกระบี่ของตนคืนมาจากมือของไป๋หลี่เย่ และเข้าเผชิญหน้ากับเซียถงโดยตรง สองคมโลหะกระบี่ประสานงา สะเก็ดไฟสาดกระเซ็นวูบวาบ เผชิญหน้ากับปรมาจารย์เสวี่ยที่เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วง นางไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากร่นถอยออกไปก่อน และหันไปตะโกนกับเซี่ยหลู่เฟิงว่า
“ท่านพี่ หากแขนของท่านถูกตัดทิ้ง แล้วจากนี้ต่อไป ท่านจะใช้สิ่งใดปกป้องฉีหมิงเยว่?”
ทันทีที่ยินเช่นนั้น สีหน้านิ่งสงบดั่งที่ว่าปรงแล้วก็พลันหยุดชะงักคิดได้ แต่ระหว่างนั้นเอง จู่ๆ ก็มีประกายเย็นจากคมมีดสั้นในมือไป๋หลี่เย่ส่องสะท้อนเข้าตาพุ่งหา ชั่วจังหวะนั้นเอง ในที่สุดเขาก็คิดได้และรีบชักกระบี่คาดเอวขึ้นมาสกัดกั้นมีดสั้นสีเย็นเยียบที่กำลังฟันแขนขวาของตน
ร่างเงาสายหนึ่งพุ่งเข้าแทรกหยุดตรงหน้าระหว่างทั้งสอง คมกระบี่ในมือเซี่ยหลู่เฟิงถูกปัดป้องสะท้อนออกไป ส่วนไปหลี่เย่ถูกแรงกระแทกจากร่างตรงหน้าผลักกระเด็นจนเซล้มลง
“องค์รัชยาท ท่านมิทราบหรือว่า การเคลื่อนไหวเองตามใจชอบมันอาจส่งท่านไปปรโลกได้ทันทีหากไม่ระวัง?”
ปรมาจารย์เสวี่ยหันคมกระบี่ยาวเบี่ยงออกจากฝั่งเซี่ยหลู่เฟิง และหันปลายกระบี่แหลมเข้าจ่อไปที่คอหอยของไป๋หลี่เย่แทน
“ปรมาจารย์…ปรมาจารย์เสวี่ย!”
นั่งอ้าขาสั่นทึมด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ไป๋หลี่เย่เงยหน้าจับจ้องไปที่ปรมาจารย์เสวี่ย สีหน้าซีดเซียวจัดราวกับแผ่นกระดาษ
“มีเพียงสามคนเท่านั้นที่ริอาจจับกระบี่ของข้าไปใช้โดยพลการ และทั้งสามคนนั้นล้วนกลายเป็นกองกระดูกหมดแล้ว!”
ปรมาจารย์เสวี่ยกล่าวตอบ สีหน้าดูมืดมนไม่สู้ดีเลยสักนิด
ไป๋หลี่เย่ขนลุกซู่ว กระทั่งเสียวซ่านสะท้านถึงแก่นใน ริมฝีปากสีซีดสั่นพับ เร่งกล่าวขอโทษทันที
“ท่านปรมาจารย์เสวี่ย ข้าผิดไปแล้ว! ข้าผิดไปแล้ว!”
ปรมาจารย์เสวี่ยมุ่นคิ้วขมวดเล็กน้อย และชักกระบี่ยาวในมือกลับออกมา เหลือบไปศีรษะหันไปมองเซียถงที่ตั้งท่าร่างกระบวนรอไว้อยู่แล้ว จู่ๆ นางก็โผล่ออกมาท่ามกลางเงามืดมิดเข้าจู่โจมฉับพลัน
หรี่สายตาแคบจับจ้องอยู่สักพัก เบื้องลึกลงไปในแววตาของปรมาจารย์เสวี่ยเร้นแววประหลาดใจซุกซ่อนอยู่หนึ่งส่วน ในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ทั้งความเร็วและความสามารถในการจู่โจมของนางกลับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก กระทั่งกระบวนการเคลื่อนไหวยังดูเด็ดขาด หวังพิฆาตให้ตายในทุกท่วงท่า หากให้เปรียบเทียบ…คงประดุจได้กับสัตว์ป่าเถื่อน
แต่ทันใดนั้นเอง ระหว่างที่เซียถงและปรมาจารย์เสวี่ยกำลังยืนจ้องดูเชิงกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีบุคคลปริศนานาคนหนึ่งปรากฏขึ้นจากมุมมืดมิดที่ยากจะสังเกตเห็น เอกลักษณ์โดดเด่นที่สุดของเขาผู้นี่คงเป็นใบหน้าที่น่ารังเกียจ คล้อยหลังโผล่ปรากฏ เขาก็ตรงเข้าโจมตีใส่เซียถง ทั้งความเร็วและความแข็งแกร่งค่อนข้างสูงมาก พัลวันกับเซียถงอยู่สักครู่ เมื่อเห็นว่าการลอบโจมตีของตนล้มเหลว จึงกระโดดออกมาตั้งหลัก ก่อนจะปราดพุ่งเข้าปะทะใหม่อีกระลอกหนึ่ง
คล้อยหลังปะทะกันหลายกระบวน สิ่งหนึ่งที่เซียถงตระหนักทราบได้ทันทีคือ ระดับพลังลมปราณของเขาผู้นี้น่าจะใกล้เคียงกับนาง ทว่าความเร็วและกระบวนโจมตีกลับดูค่อนข้างแปลกตาเหลือเกิน และยากต่อการรับมือมิใช่น้อย กอปรกับตอนนี้ยังมีปรมาจารย์เสวี่ยอยู่อีกคนหนึ่ง ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว เซียถงเสียเปรียบเต็มประตู ดังนั้น นางจึงยื่นมือไปคว้าตัวเซี่ยหลู่เฟิงและพังหน้าต่างกระโดดหลบหนีออกไปโดยไว
“เราถอยก่อน!”
สิ้นเสียงพูดจบ ไม่ว่าเซี่ยหลู่เฟิงจะเต็มใจหรือไม่ นี่กลับไม่ใช่เรื่องที่ต้องนำมาใส่ใจแล้ว เซียถงกระชากคอเสื้อฉุดลากอีกฝ่ายจากออกไปทันที และพอกระโดดหน้าต่างหลบหนีได้สำเร็จ เซี่ยหลู่เฟิงก็ผละตัวดิ้นหลุดออกจากมือเซียถง ยืนอยู่ปลายระเบียงหน้าต่าง หันไปเอ่ยถามกับไป๋หลี่เย่คำหนึ่งว่า
“องค์รัชทายาท ที่เคยกล่าวว่า ใช้ชีวิตของข้าแลกเปลี่ยนกับชีวิตของฉีหมิงเยว่ มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
“ข้าผู้นี้ต้องการชีวิตของเซียถงเท่านั้นมาแลก! หากต้องการช่วยฉีหมิงเยว่จริงๆ พรุ่งนี้จงมานัดพบกันที่ป่าสนพร้อมกับมัน!”
ไป๋หลี่เย่จ้องหน้ากลับไม่มีกะพริบลดละ ทั้งยังก่นน้ำเสียงดุร้ายคำรามใส่ ทั้งที่เมื่อครู่เกือบจะตัดแขนของเซี่ยหลู่เฟิงได้แล้วแท้ๆ แต่ไม่เพียงทุกอย่างจะล้มเหลวเท่านั้น ทว่ายังเกือบเซียถงโดนตัดแขนขวาที่เหลือไปอีกด้วย เหตุการณ์ในวันนี้ยิ่งเป็นการสลักรอยแค้นอาฆาตภายในใจของเขาให้ลึกล้ำเหลือคนาขึ้นไปอีก!
สีหน้าการแสดงออกของเซี่ยหลู่เฟิงทวีความหมองหม่นขึ้นเป็นเท่าทวีในพริบตา หมุนตัวกลับและกระโดดจากริมระเบียงหน้าต่างไปทันที
ไป๋หลี่เย่ยืนอยู่ตรงหน้าหน้าต่างบานนั้น เฝ้ามองร่างทั้งสองสายที่ค่อยๆ ลาลับ หายจากออกไปนอกหน้าต่าง ประกายความอาฆาตล้นทะลักพุ่งพรวดออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ชายใบหน้ารังเกียจผู้นั้นโค้งศีรษะคำนับให้อย่างสุภาพ ก่อนจะยืนอยู่เคียงข้างไป๋หลี่เย่พลางทอดสายตามองออกไปเช่นกัน กล่าวน้ำเสียงลึกล้ำขึ้นว่า
“เซียถงมีความโดดเด่นในเรื่องความคล่องแคล่ว เพราะแบบนั้นแล้ว การจะจัดการนางให้สิ้นซากจึงเป็นเรื่องค่อนข้างลำบาก แต่นี่หาใช่ปัญหาไม่เลย พรุ่งนี้ข้าจะเรียกพี่น้องของข้าเข้ามาเสริมอีกแรง พรุ่งนี้นางไม่รอดแน่นอน”
“ใช่แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะวานให้แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วส่งยอดฝีมือเก่งๆ มาค่อยซุมโจมตีบนภูเขาอีกแรงเช่นกัน คราวนี้เซียงถงมันต้องตาย!”
ไป๋หลี่เย่พยักหน้า
“ท่านองค์รัชทยาท อย่าได้กังวลไป คราวนี้พวกเราสามารถสังหารนังอัปลักษณ์น่าเกลียดทิ้งได้แน่นอน”
ชายผู้มีใบหน้าน่ารังเดียจกล่าวเสริมอีกว่า
“ข้าได้หยั่งเชิงฝีมือจนทราบถึงความตื้นลึกของนางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
ปรมาจารย์เสวี่ยยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขาอีกที ยืนมองทั้งสองที่ระเบิดหัวเราะอย่างชั่วร้าย และทันใดนั้นปลายคิ้วข้างหนึ่งของเขาพลันกระตุกขึ้นอย่างลับๆ
แสงจันทร์เจ้าค้างตระหง่านทางทิศตะวันตก บรรดาจวนทั้งหลายในเมืองเฟิงหลี่เขตในยังมีหลายเรือนที่ยังไม่นอน จุดตะเกียงไฟอยู่ภายในสว่างไสว และหนึ่งในนั้นก็คือจวนของอัครมหาเสนาบดีเย่ เขากำลังยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ทว่าสายตากับจับจ้องอยู่กับบุคคลในเงามืดตรงหน้า
“เจ้าหมายความว่า องค์รัชทายาทกับแม่ทัพจางเจิ้งกั๋วจะร่วมมือกันเพื่อตั้งค่ายกลดักซุ่มโจมตีในป่าสนในวันพรุ่งนี้? ทั้งหมดก็เพื่อสังหารเซียถง?”
เย่หลีเทียนเอ่ยถามขึ้น
บุคคลที่ยืนอยู่เบื้องหน้าภายใต้เงาดำพยักหน้า
“ถูกต้องขอรับ พวกมันตั้งใจจะใช้ฉีหมิงเยว่ที่จับมาเป็นตัวประกันเพื่อล่อเซียถงมาสังหารทิ้งในป่าสน ท่านจะให้เรา…ลอบคอยช่วยเหลือนางอย่างลับๆ หรือไม่?”
“ช่วยเหลือ? ช่วยทำไม? ในวันพรุ่งนี้ ไม่ว่าองค์รัชทายาทจะเป็นฝ่ายฆ่าเซียถงได้ หรือเซียถงจะเป็นฝ่ายฆ่าพวกมันทิ้งได้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นด้านใด ข้าก็ล้วนแต่มีความสุขที่ได้เห็น”
เย่หลีเทียนระบายยิ้มอ่อน ลึกลงไปในดวงตาคู่นั้นสาดแสงแพรวพราวส่องระยิบระยับ
“แต่มิใช่ว่าท่านต้องการจะจัดการเซียถงด้วยตนเองหรอกรึ? นี่…อาจเป็นโอกาสดี…”
บุคคลที่อยู่ตรงข้ามเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“หากองค์รัชทยาทฆ่านางทิ้งไปได้ ต่อไปข้าก็ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องจัดการเซียถงให้เสียเวลาอีกต่อไป”
เย่หลีเทียนยังกล่าวต่ออีกว่า
“นอกจากนั้น ถึงแม้ข้าจะช่วยเซียถงจัดการเรื่องในวันพรุ่งนี้ให้มันดูง่ายขึ้น แต่นางก็ไม่มีทางสำนึกบุญคุณขอบคุณข้าอยู่แล้ว ในครั้งล่าสุดที่ข้าลองช่วย นางก็ไม่แม้แต่รู้สึกประทับใจใดๆ ในตัวข้า แถมยังใช้โอกาสนี้หว่านเมล็ดความร้าวฉาน หวังทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับองค์รัชทายาทแตกหัก”
“เช่นนั้นแล้ว…พรุ่งนี้จะทำอย่างไรดีขอรับ?”
ชายคนนั้นเอ่ยถาม
“ก็เพียงนั่งดูเสือสองตัวสู่กันบนภูเขา ความขุ่นเคืองระหว่างองค์รัชทยาทกับเซียถง มันไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับข้าอีกแล้ว ดังนั้นตัวข้าจะเคลื่อนไหวทำไมให้เหนื่อยเปล่า? พรุ่งนี้ข้าตั้งใจไว้ว่าจะดื่มชาพักผ่อนที่เรือนแห่งนี้ พอผลลัพธ์ออกมาเมื่อใด พวกเราค่อยเดินทางไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทอีกครั้ง”
เย่หลีเทียนสะบัดแขนเสื้อยาวรุ่มร่ามเล็กน้อย พลางหยิบถ้วยชาบนโต๊ะข้างตัวขึ้นมาริมจิบบางๆ
คล้อยหลังจิมไปได้ทีหนึ่ง จู่ๆ เย่หลีเทียนก็ปริปากถามขึ้นราวกับพึ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
“แล้วตอนนี้ท่านปู่ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“นายท่านสุภาพแข็งแรงดีขอรับ นายน้อยอย่าได้กังวลไปเลย อีกทั้งทางตระกูลยังฝากข้อความมาอีกว่า ตราบเท่าที่นายน้อยต้องการกำลังเสริมก็จงบอกกล่าว พวกเขาพร้อมช่วยเหลืออย่างเต็มที่!”
ชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกล่าวตอบด้วยความเคารพรัก
“อืม!”
เย่หลีเทียนพยักหน่า พลางยกมือข้างหนึ่ง เชิดสายตาขึ้นมองดูสร้อยข้อมือเส้นหนึ่งที่เกี่ยวห้อยอยู่บนฝ่ามือของตน สร้อยข้อมือดังกล่าวทำมาจากด้ายเงิน ประดับประดาลูกปัดกลมขนาดจิ๋วอยู่เต็มเส้น โดยรวมแล้วเป็นเครื่องประดับที่วิจิตรงดงามยิ่ง เสมือนกับของหญิงสาวสวมใส่
เหม่อมองสร้องข้อมือสีเงินเส้นนี้อยู่สักครู่ สายตาคู่นั้นของเย่หลีเทียนพลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนนุ่มในทันใด ทว่าผ่านไปชั่วครู่ ฝ่ามือข้างนั้นกลับกำสร้อมคอมือสีเงินจนแน่น ข่มตาหลับด้วยความเจ็บปวดทรมาน และเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สายตาคู่ดังกล่าวในยามนี้ก็เปี่ยมล้นไปด้วยความเกลียดชังและความชั่วร้าย