ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 172 ปมในใจ (2)
ตอนที่172 ปมในใจ (2)
“ปรมาจารย์เสวี่ย เจ้ากลับไปก่อน เมื่อใดที่ไป๋หยี่เย่เริ่มลงมือค่อยมาแจ้งอีกครา”
เขาเงยหน้ามองร่างภายใต้เงามืดเบื้องหน้า
“ขอรับ”
ปรมาจารย์เสวี่ยพยักหน้าก้มศีรษะตอบอย่างสุภาพ จากนั้นก็สะบัดร่างอันตราpหายวับไปในเงามืดมุมนั้น
ณ จวนเสนาบดีเซี่ย เซียถงและเซี่ยหลู่เฟิงต่างฝ่ายต่างนั้นตรงข้ามกัน คนหนึ่งกำลังทำแผลให้อีกคนอยู่ เซียถงก้มหน้าก้มตาบรรจงชโลมผงโอสถค่อยๆ ทาลงบนบาดแผลฉกรรจ์ทั่วร่างกายของอีกฝ่าย
“แล้วพรุ่งนี้ท่านจะเอาอย่างไร?”
เซียถงเอ่ยถามขึ้นประโยคหนึ่ง น้ำเสียงมิค่อยแน่ใจนัก
“พรุ่งนี้ข้าจะไปที่ป่าสน”
เซี่ยหลู่เฟิงกล่าวตอบวาจาหนักแน่นโดยไม่เงยหน้ามองใดๆ
“ฉีหมิงเยว่กับข้าเป็นสหายสนิทที่บังเอิญเจอในสถานศึกษา ข้าเดินทางไปช่วยคงไม่แปลกอันใด ทว่าท่าน…เพราะเหตุใดท่านถึงยอมสละชีวิตเพื่อนางปานนั้น?”
เซียถงเลิกคิ้วมองเซี่ยหลู่เฟิงอย่างมีนัยแอบแฝง และยิงคำถามนี้ออกมา
เซี่ยหลู่เฟิงเงยหน้าขึ้นมองทันควัน จับจ้องเซียถงปั้นหน้าลังเลใจอยู่นาน
“ถงถง เอ่อ…”
“พี่ใหญ่ ท่านต้องให้เหตุผลกับข้า มิฉะนั้นข้าจะไม่อนุญาตให้ท่านเดินทางไปช่วย”
สายตาทั้งสองคู่สบผสานไม่คลายอ่อน จากสถานการณ์ที่ผ่านมา เซียถงตระหนักได้อย่างชัดแจ้งแล้วว่า เซี่ยหลู่เฟิงคนนี้คิดอย่างไรกับฉีหมิงเยว่ และที่ยอมทุ่มเทช่วยเหลืออีกฝ่ายปานนี้ มิได้เพียงเพราะชอบนางอย่างเดียวเท่านั้น แต่คล้ายว่าจะมีเหตุผลอื่นอยู่เบื้องหลังปะปนอยู่ด้วย
เซี่ยหลู่เฟิงจ้องหน้าเซียถงเขม็งแน่นหนา สีหน้าการแสดงออกดูค่อนข้างซับซ้อนอึดอัดใจอย่างมาก กังวลนักหนาเพียงใด ดูได้จากริมฝีปากที่ฟันขบกัดจนมีเลือดไหลซิบออกมาสายบาง
บรรยากาศรอบห้องพลันเงียบสงัดลงอีกครั้ง รัศมีแห่งความหดหู่แผ่ซ่านออกมาจากร่างเซี่ยหลู่เฟิง
“หรือจะมีส่วนข้องเกี่ยวกับเหตุการณ์การล่มสลายของจักรวรรดิหรู่หราน?”
พอเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่ยอมตอบ เซียถงจึงเอ่ยถามสวนกลับไปทันที เหตุการณ์ในหอไท่หยวน นางยังจดจำคำพูดของไป๋หลี่เย่ได้แม่นยำ จนนางเก็บงำมาสงสัยภายในใจ และยิ่งได้เห็นทัศนคติของเซี่ยหลู่เฟิงที่มีต่อฉีหมิงเยว่ ที่ถึงขั้นต้องการใช้ชีวิตตนเองแลกกับชีวิตของนาง ในเวลานั้น เซียถงตระหนักได้ทันที นี่มีเหตุผลอื่นนอกเหนือจากคำว่าชอบไปแล้ว
สีหน้าการแสดงออกของเซี่ยหลู่เฟิงผันแปรอยู่หลายครั้ง แววตาเผยสะท้อนร่องรอยแห่งความเจ็บปวดออกมา เขามองหน้าเซียถงอยู่สักครู่ใหญ่ ก่อนละข่มตาหลับพร้อมกล่าวตอบสั้นๆ ว่า
“ถูกต้อง!”
เซียถงพยักหน้าให้เล็กน้อย และรอฟังสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะกล่าวต่อไป
“ในตอนนั้น ฝ่าบาทมีความประสงค์ในถั่วเซียงซีอย่างยิ่งยวด ซึ่งในเวลานั้นถั่วชนิดดังกล่าวตกอยู่ในมือของฮ่องเฮาแห่งจักรวรรดิหรู่หราน ดังนั้นเขาจึงส่งข้าไปยังจักรวรรดิหรู่หรานในนามของทูตสัมพันธไมตรีไป และข้าก็ลอบวางยาพิษใส่ในบ่อน้ำที่ในวังหลวงได้สำเร็จ แต่ขณะที่กำลังลอบเข้าตำหนักบรรทมของฮ่องเฮาในตอนกลางดึก จู่ๆ ก็มีกองกำลังจากไหนไม่ทราบบุกเข้ามาโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ทั้งวังหลวงและจักรวรรดิหรู่หรานถูกถล่มลงในชั่วข้ามคืน”
น้ำเสียงทุกพยางค์คำที่เปล่งออกมาจากปากเซี่ยหลู่เฟิง ใครได้ฟังต่างต้องรู้สึกเศร้าสลดใจยิ่ง
“ต่อมา ข้าก็เพิ่งได้รู้ว่าตนเองถูกหลอกใช้ เพื่อถั่วเซียงซีแค่เม็ดเดียว จักรวรรดิตงหลี่ของเขาแอบจับมือสร้างพันธมิตรกับจักรวรรดิตะวันตกอย่างลับๆ เพื่อลอบตลบหลังโจมตีจักรวรรดิหรู่หรานอีกทีหนึ่ง และยกความผิดบาปทั้งหมดให้แก่ข้า แต่กว่าจะทราบมันกลับสายเกินไปเสียแล้ว ดังนั้นข้าจึงทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อช่วยองค์หญิงแห่งหรู่หรานซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่เหลือรอดออกมา”
ถ้าหาก ฉีหมิงเยว่ได้ทราบว่า ผู้ที่ช่วยชีวิตนางในโศกนาฏกรรมนองเลือดในตอนนั้น เป็นคนเดียวกับที่เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ที่จักรวรรดิหรู่หรานล่มสลาย… แค่นึกถึงตรงนี้เซียถงก็ถึงกับส่ายหัวแล้ว ดวงตาคู่สวยเผยประกายความเห็นอกเห็นใจฉายสว่างออกมา
“คนที่ทำให้ฉีหมิงเยว่ต้องทนทุกข์ทรมานจวบจนวันนี้ก็คือข้าเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะต้องช่วยชีวิตนางให้ได้ แม้จะต้องใช้ชีวิตแลกชีวิตก็ตาม”
เซี่ยหลู่เฟิงลืมตาเปล่งสว่างไสว จับจ้องมองเซียถงด้วยใบหน้าที่แสนมุ่งมั่น
“แล้ว…หลังจากช่วยนางได้ล่ะ?”
เซียถงเอ่ยถามต่อทันที
เซี่ยหลู่เฟิงตะลึงงันไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า
“หลังจากช่วยนางได้แล้ว คงบอกให้นางรีบหนีออกไปจากจักรวรรดิตงหลี่โดยเร็วที่สุด”
เซียถงจ้องตาเซี่ยหลู่เฟิงอยู่สักพัก และพยักหน้าตอบว่า
“ข้าเข้าใจแล้ว”
จากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ประตูเดินจากออกไป เพื่อช่วยเหลือชีวิตของฉีหมิงเยว่ให้ผ่านพ้นจากอันตรายในวันพรุ่งนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดและมิอาจหลีกเลี่ยงได้ก็คือ ความแข็งแกร่ง นี่แหละคือกุญแจที่จะนำไปสู่ความประสบผลสำเร็จ
เซียถงเดินทางกลับไปยังเรือนพักของตน และนำคัมภีร์วรยุทธ์ออกมาฝึกปรือ ซึ่งยังคงทบทวนอยู่ที่เคล็ดวิชาระดับเหลือง แต่ในคราวนี้มันฝึกฝนได้ง่ายและราบรื่นกว่าแต่ก่อนมาก และในไม่ช้า นางก็สามารถเคลื่อนไหวตามท่าร่างที่ระบุไว้ในคัมภีร์ได้ และลองร่ายกระบวนเคลื่อนไหวตามอยู่หลายครั้ง แต่ไฉนกลับไร้ซึ่งพลานุภาพใดๆ เลย รู้สึกตัวได้ดังนั้นจึงหยิบคัมภีร์ขึ้นมาทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าก็ยังมิทราบสักทีว่า ปัญหาที่กำลังเผชิญมันคือส่วนใด
“นี่เจ้าโง่หรือปัญหานิ่มกัน? ก็เห็นอยู่ว่าหัวใจสำคัญของคัมภีร์วรยุทธ์เล่มนี้คือจังหวะ หาใช่กระบวนท่าการเคลื่อนไหวที่ต้องตรงตามตำราเป๊ะๆ”
ทันใดนั้นเอง หลิววูก็ปรากฏกายขึ้นข้างกายนาง ยืดคอยื่นหน้าอ่านเนื้อหาในคัมภีร์วรยุทธ์เล่มนั้น
“ไหน? ไม่เห็นมีเขียนในนี้เลยว่า หัวใจสคัญคือจังหวะหาใช่กระบวนการเคลื่อนไหว?”
เซียุงเหลือบมองหลิววูที่ยืนอ่านอยู่เคียงข้าง ปั้นสีหน้าฉงนสงสัย ในส่วนเคล็ดวิชาระดับเหลืองหน้านี้ มีแต่บทบันทึกเกี่ยวกับกระบวนท่าการเคลื่อนไหวทั้งนั้น ไม่เห็นคำว่าจังหวะเลยสักคำ
“ก็เจ้ามันโง่ไง!”
หลิวซูสบถใส่เซียถงไปคำหนึ่งด้วยสีหน้าน้ำเสียงสุดหยามเหยียด
“นายท่าน ลองแปลงกระบวนท่าเหล่านี้ให้เข้ากับจังหวะการไหลเวียนของพลังลมปราณในร่างกายดู”
ทันใดนั้น สุ้มเสียงของเสี่ยวฮั่วก็ดังขึ้นผ่านห้วงความคิดของเซียถง มันฟังสองคนนี้เถียงอยู่นานแล้ว
เซียถงพยักหน้ารับคำ วางคัมภีร์วรยุทธ์ลงและทดลองเปลี่ยนท่าเท้าและท่ามือ ให้สอดคล้องกับพลังลมปราณที่ไหลเวียนตามร่างกายให้เป็นธรรมชาติที่สุด ไม่นานนางก็พบว่า มีบางอย่างแตกต่างออกไปจริงๆ ในเวลานี้เริ่มมีคลื่นพลังแปลกๆ ก่อเกิดขึ้นใต้เท้าของนาง
หลิวซูเฝ้ามองอยู่เคียงข้างไม่ห่าง จับจ้องการเคลื่อนไหวของร่างกายที่ไหลลื่นในขณะนี้ของเซียถง เสมือนกับว่า นางกำลังร่ายรำด้วยท่วงท่าแสนสง่า ร่างเงาสั่นไสวประดุจภูตผี พินิจมองแล้วดูอัศจรรย์พันธลึก ทันทีทันใด หลิวซูก็อดพยักหน้ากับตัวเองไม่ได้ กึ๋นของหญิงสาวนางนี้ค่อนข้างดีเยี่ยมไม่น้อย
“นายท่าน ปรากฏว่าที่ผ่านมา ท่านยังไม่เลยสำแดงใช้เคล็ดวิชาระดับเหลืองออกมาได้เต็มประสิทธิภาพเลยสักครั้ง แต่ปัจจุบันทุกท่วงท่าของท่านกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง โชคดีจริงๆ ที่มีหลิวซูอยู่ด้วย!”
เสี่ยวฮั่วเอ่ยปากชม
“จิตวิญญาณแห่งยุทธ์ภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ช่างรอบรู้มากมายนัก”
เซี่ยถงกล่าวชมหลิววูอีกแรง
พอมีคนยกหาง หลิวซูก็รู้สึกภาคภูมิใจขึ้นทันที!
เช้าวันรุ่งขึ้น
เซียถงและเซี่ยหลู่เฟิงปรากฏตัวขึ้น ณ เชิงเขาในป่าสนโดยพร้อมเพรียง
“นี่ยังเช้าตรู่อยู่เลย สงสัยพวกเจ้าจะเป็นห่วงชีวิตของฉีหมิงเยว่มากจริงๆ”
ไป๋หลี่อวี๋อิงระเบิดหัวเราะเยาะเย้ยเสียงดังลั่น เหลือบสายตามองสองพี่น้องตระกูลเซี่ยที่กำลังเดินตรงเข้ามา นางยังคงแต่งกายในชุดแพรพรรณสีแดงเพลิง ทรงสง่าราศีดังเดิม แต่บริเวณใบหน้ายังคงมีผ้าคลุมชั้นหนาปิดบังใบหน้าที่บวมจากพิษของเซียถง