ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 173 สู่ป่าทึบหนา (1)
“ฉีหมิงเยว่อยู่ไหน?”
เซี่ยหลู่เฟิงมองหน้าไป๋หลี่อวี๋อิง เอ่ยถามขึ้นคำหนึ่ง
“บังอาจ! ใครให้เจ้าใช้น้ำเสียงเช่นนี้นกล่าวกับข้า!”
ไป๋หลี่อวี๋อิงตะโกนลั่นชี้หน้าด่าสวนตอบกลับไป ทั้งยังหยิบแส้ยาวสีดำขึ้นมาเฆี่ยนใส่ทเซี่ยหลู่เฟิงโดยตรง
เซี่ยหลู่เฟิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นรับไว้อย่างง่ายดาย กระตุกแส้ยาวสีดำจนขึงตึงเกือบทำเอาไป๋หลี่อวี๋อิงเสียการทรงตัวล้มคะมำ แล้วยังกล่าวว่า
“องค์หญิง หากไม่ยอมปล่อยฉีหมิงเยว่มา ข้านี่แหละจะเฆี่ยนตีท่านด้วยแส้นี้แทน!”
อย่างไรเสีย เซียถงกลับมิได้สุภาพดั่งพี่ชาย ยกนิ้วชี้หน้าก่นเสียงเย็นชาขึ้นว่า
“หากฉีหมิงเยว่เป็นอะไรแม้แต่ปลายผม ข้าจะเชือดเจ้าทิ้งซะ”
สีหน้าท่าทีของไป๋หลี่อวี๋อิงพลันผันเปลี่ยนฉับพลัน กระชากแส้ยาวกลับชักกลับคืน เหลือบมองไปที่เซียถงแวบหนึ่ง เร่งหมุนตัววิ่งกลับและวิ่งหนีเข้าไปในป่าลึกทันที
อยากวิ่งนัก? คงไม่ง่ายเช่นนั้น ในเมื่อไป๋หลี่อวี๋อิงวอนหาเรื่อง ถึงขนาดประเคนตัวเองมาถึงปากเสือปานนี้ คงเป็นการดีกว่า หากจับนางมาเป็นตัวประกันเพื่อให้ไป๋หลี่เย่คืนตัวฉีหมิงเยว่มา พอคิดได้ดังนั้น เซียถงก็ยกเท้าขึ้นจากพื้นเตรียมวิ่งไล่ตามออกไป แต่เสี้ยวอึดใจต่อมา ฝีเท้าพลันหยุดชะงักกะทันหัน ไป๋หลี่อวี๋อิงหรือจะโง่วิ่งมาหาตนเองโดยไม่มีแผนการอะไรรองรับเลย?
คิดได้ดังนั้น เซียถงจึงหยุดวิ่งไล่ตามไปทันที แต่กลับได้ยินสุ้มเสียงหนึ่งแผดดังอยู่เคียงข้างแทนว่า
“องค์หญิง! ฉีหมิงแยว่อยู่ไหน!?”
พอหันมาอีกทีก็พบว่าเป็นเซี่ยหลู่เฟิงที่วิ่งไล่ตามอีกฝ่ายเข้าป่าไปเสียแล้ว
“อย่าตามไป! มันเป็นกับดัก!”
เซียถงตะโกนลั่นใส่เซี่ยหลู่เฟิง ในเมื่อไป๋หลี่อวี๋อิงมันทราบดีว่า ตัวเซียถงโหเหี้ยมและแข็งแกร่งเพียงใด มีหรือที่มันจะแสดงตัวออกมาเผชิญหน้าเพียงลำพัง? เรื่องนี้คงหนีไม่พ้นกับดัก
ทว่าก่อนที่เซียถงจะกล่าวจบ นางพลันได้ยินเสียง ‘ฟุบ’ ดังขึ้นจากทางป่า และทันทีทันใด ก็มีศรธนูจำนวนหนึ่งยิงเข้าหานางกับเซี่ยหลู่เฟิงจากป่าสองข้างทาง คู่เท้ากระตุกวูบ นางเร่งความเร็วเป็นทวี พุ่งเข้าไปหาเซี่ยหลู่เฟิง พร้อมใช้กระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมือโบกสะบัดปัดคมศรธนูเหล่านั้นกระเด็นกระดอนออกไป
ซึ่งเซี่ยหลู่เฟิงเองก็ช่วยอีกแรง เร่งชักกระบี่ขึ้นมาปัดป้องคันศรเหล่านั้นเช่นกัน
“ฉีหมิงเยว่อยู่บนยอดเขาป่าสน หากพวกเจ้ายังมาไม่ทันตอนเที่ยงตรง ก็มิทราบเช่นกันว่า องค์รัชทายาทจะทำอะไรบ้างกับนังนั่น”
จากระยะไกลโพ้น สุ้มเสียงของไป๋หลี่อวี๋อิงเปล่งดังขึ้น แต่เมื่อหันศีรษะไปมอง กลับพบว่านางมิได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
ศรธนูยังคงโปรยปรายทั่วน่านฟ้าดุจห่าพิรุณ ทั้งเซียถงและเซี่ยหลู้ฟิงถูกตีล้อมห้อมกรอบตรงเนินเขาโดยสมบูรณ์ แผ่นหลังของทั้งคู่ติดแนบชนกัน ร่ายรำโบกสะบัดกระบี่เล่มยาวในมือกันพัลวันไม่หยุดหย่อน เมื่อสังเกตให้ดีจะพบว่า บริเวณคมศรธนูคล้ายกับมีของเหลวสีม่วงสะท้อนแสงฉาบเคลือบเอาไว้ เห็นได้ชัดแจ้ง พวกมันล้วนถูกทายาพิษเอาไว้ทุกดอก
หลังจากต้านรับห่าศรธนูพิษหลายสิบระลอก เซียถงก็เบี่ยงสายตากวาดมองทั่วป่าทึบ พยายามเสาะหาตำแหน่งที่ศรเหล่านี้ถูกยิงออกมา และในที่สุดก็พบเห็นเงาร่างจำนวนนับหลายสิบคนที่กำลังพรางตัวอยู่ในพุ่มไม้หนาท่ามกลางมุมมืด
ชั่วพริบตาต่อมา รัศมีลมปราณสีครามเข้มข้นพลันปะทุคลั่งระเบิดออกมาจากร่างของเซียถงในทันใด เร่งเร้ากระแสลมปราณปริมาณนับไม่ถ้วน รีบอัดฉีดเข้าไปในกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในมืออย่างบ้าคลั่ง เมื่อใบกระบี่ทัณฑ์ฟ้าทอแสงสีแดงเปล่งประกายเฉิดฉายออกมาสุดขีด ก็เป็นสัญญาณว่า มันพร้อมเปิดฉากสังหารหมู่แล้ว
เสียงตะโกนโกรณเกรี้ยวลือลั่นสารทิศ รัศมีแรงกดดันอันเย็นยะเยือกสุดแสนที่ปกคลุมทั่วกายาพุ่งสูงเสียดฟ้า เงาร่างไสวประกายครามของเซียถงทะยานเข้าไปยังพุ่มไม้หนาตรงข้ามประดุจดาวหาง
บรรดานายธนูหลายสิบชีวิตที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เหล่านั้นต่างสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความสะเทือนขวัญได้ลางๆ ตรงหน้า ทว่าก่อนที่พวกเขาจะเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดเสียด้วยซ้ำ กลับเห็นเพียงธารเลือดสีแดงฉานที่สาดกระจายประดุจสายน้ำเบื้องหน้า บางคนถึงกับภาพตัดดำสนิท ส่วนพวกนายธนูที่อยู่แถวหลังล้วนเบิกตาโตแทบถลนด้วยคว่ชามตื่นตระหนัก ค่อยๆ เห็นสหายของตนล้มตายไปต่อหน้าต่อตาทีละคนโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนเงยหน้าขึ้นพบกับหญิงสาวนางหนึ่งที่เสื้อผ้าอาบย้อมเป็นสีแดงสดพร้อมกระบี่ในมือ ลูกตาดำของคนที่เหลือตีบตันหดเล็กดั่งรูเข็ม ยืนมองร่างดังกล่าวทว่ายังมิได้ทันครุ่นคิดใดๆ ทุกอย่างกลับดำมืดก่อนจะไม่รู้สึกตัวอีกเลย…
หยาดเลือดรินหยด ไหลรินออกจากปลายกระบี่ เซียถงเหลือบศีรษะมนุษย์จำนวนนับโหล่ที่ถูกสะบั้นขาดกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้น สีหน้าแววตายังคงเย็นชาและเฉยเมยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยกเท้าขึ้นแตะศีรษะหัวหนึ่งกระเด็นออกไปด้วยความเกะกะและกระโดดจากพุ่มไม้ฟากฝั่งนั้นไป เงาร่างเคลื่อนไสว กระโจนข้ามต้นไม้จากต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่งกลับมาหาเซี่ยหลู่เฟิง
เพียงเสี้ยวพริบตาเท่านั้น นางสามารถสังหารเหล่านายธนูนับหลายสิบคนทิ้งได้
ขณะที่เซียหลู่เฟิงกวัดแกว่งกระบี่สกัดศรธนูอาบพิษที่ยิงเข้าใส่ ทันทีทันใด เขาพลันรู้สึกเย็นวาบผ่านแผ่นหลังของตน ระหว่างที่หันกลับไปมองนั่นเอง ก็พบศีรษะของนายธนูคนหนึ่งกระเด็นออกมา พร้อมกับเงาร่างไสวสายหนึ่งที่พวยพุ่งออกมาติดๆ
พบเห็นว่าเป็นหญิงสาวที่คุ้นเคยกันดี ในเวลานี้เนื้อตัวอาบเลือดสดชโลมชุ่ม ทั้งยังมีกลิ่นคาวรุนแรงจากคราบเหล่านั้น เขากดสายตาจับจ้องไปยังศีรษะมนุษย์ที่ถูกสะบั้นขาด ตัดสลับกับเซียถงที่เนื้อตัวเปื้อนเลือดอย่างว่างเปล่า บางทีสาเหตุที่ห่าศรธนูอาบพิษลดจำนวนลงในพริบตา อาจเป็นเพราะเมื่อครู่ น้องสาวของเขาเพิ่งไปล้างบางเสร็จสรรพ?
เมื่อครุ่นคิดได้ดังนั้น เซี่ยหลู่เฟิงก็อดเสียวซ่านมิได้ เอ่ยถามพร้อมสีหน้าซีดเซียวขึ้นว่า
“เป็นฝีมือของเจ้า?”
“ท่านไม่เป็นอะไรกระมัง?”
เซียถงเอียงศีรษะเล็กน้อยเจือสีหน้าฉงน ยิงคำถามใส่เซี่ยหลู่เฟิงกลับไปคำหนึ่ง
“เจ้า…เจ้าฆ่าคนพวกนี้หมดเลยงั้นรึ?”
เซียถงพยักหน้าตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่เซี่ยหลู่เฟิงกลับเบิกตาโตแทบถลนด้วยความเหลือเชื่อ
ทั้งที่บนใบหน้าและเสื้อผ้าทั่วทั้งร่างอาบชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงสด แต่สีหน้าของนางกลับยังสงบนิ่งมาก สงบนิ่งจนยากเกินกว่าจะทำใจเชื่อเลยว่า นางเพิ่งสะบั้นหัวมนุษย์นับหลายสิบคนในอึดใจเดียวมาหมาดๆ หากมิใช่เพราะว่า เซี่ยหลู่เฟิงยังพอสังเกตเห็นร่องรอยคลาบเลือดที่ติดอยู่บนใบกระบี่ทัณฑ์ฟ้าอยู่บ้าง เขาคงทำใจเชื่อไม่ลงจริงๆ
“ฉีหมิงเยว่รอพวกเราอยู่ รีบไปกันเถอะ”
เซียถงหันไปกล่าวกับเซี่ยหลู่เฟิง และหมุนตัววิ่งขึ้นเขาต่อไปเคียงกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเปื้อนคราบเลือดในมือ ทุกก้าวย่างมักจะมาหยาดเลือดรินหยดตลอดเส้นทาง
เซี่ยหลู่เฟิงเดินติดตามแผ่นหลังของนางไป ทั้งยังตกอยู่ในภวังค์ตื่นตระหนกไม่หาย ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เซียถงโตขึ้นขนาดนี้แล้ว? และตั้งแต่เมื่อใดกันที่นางกลายมาเป็นคนโหดเหี้ยมปานนี้?
“พี่ใหญ่ คงกำลังคิดว่าข้าเป็นคนโหดเหี้ยมอยู่กระมัง?”
เซียถงเอ่ยถามขึ้นประโยคหนึ่งโดยไม่เหลียวมองกลับไปใดๆ ดูเหมือนนางจะคาดเดาได้ว่า เซี่ยหลู่เฟิงกำลังคิดอะไรอยู่ในขณะนี้
“ก็ถูก!”
เซี่ยหลู่เฟิงกล่าวตอบไปตามความจริง
“หากพวกมันไม่ตายสนิท กลับเป็นพวกเราเองที่ต้องตาย การมีใจเมตตาต่อศัตรูนับเป็นการฆ่าตัวตายทางอ้อม”
อันที่จริงแล้ว หากพวกนายธนูเหล่านั้นมิได้ถูกเซียถงล้างบางสังหาร ในตอนนี้ก็อาจเป็นเขากับเซียถงเสียเองที่ต้องตาย แต่จะอย่างไร ทั้งกระบวนการตัดสินใจและความเด็ดเดี่ยว รวมไปถึงความแข็งแกร่ง ดูเหมือนว่าสาวน้อยที่อยู่ต่อหน้าเขาจะค่อยๆ ตีระยะออกห่างไปแล้ว และเขาก็ทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมองเท่านั้น
เซี่ยถงเร่งสะบัดละทิ้งความคิดเหล่านั้นออกไป และรีบวิ่งติดตามเซียถงโดยไวไม่ห่าง จับจ้องแผ่นหลังของสาวน้อยที่ยืนหลักมั่นคงตรงหน้า และทันใดนั้นเอง เสมือนมีแสงแห่งความหวังอันไร้ขอบเขตบังเกิดขึ้นภายในใจของเขา ยิ่งเซียถงแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะโอกาสที่จะสามาถช่วยเหลือชีวิตฉีหมิงเยว่ก็จะมีมากขึ้นตาม…
เดินขึ้นเขาไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ หัวใจเซียถงพลันเต้นโครมครามอย่างหนักหลายครา นางสัมผัสได้ทันใดถึง พลังงานวิญญาณชั่วร้ายอันแกร่งกล้า ทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ แผ่ซ่านออกมา ฝีเท้าคู่นั้นถึงกับชะงักงันหยุดไปอย่างอดมิได้ หรี่ตาแคบจับจ้องไปยังต้นไม้สูงใหญ่ตรงหน้า มองทะลุเข้าไปอีกชั้นคล้ายจะพบบางสิ่งบางอย่างซ่อนตัวอยู่ในดงป่าสีเขียวขจี