ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 181 ไถ่ถอนตัว (1)
ตอนที่181 ไถ่ถอนตัว (1)
นังนั้นมัันมีอะไรดีนักหนา? เซี่ยหลู่เฟิงมันชอบพอฉีหมิงเยว่จริงๆ งั้นรึ? สงสัยมันคงตาบอดแล้ว
บนสีหน้าของไป๋หลี่อวี๋อิงส่อแสดงทีท่าหงุดหงิดงุ่นงาน กระทั่งสายตาก็ยังสื่อแสดงออกมา ขณะเดียวกันก็กำลังจับจ้องไปที่่เซี่ยกหลู่เฟิงที่กำลังใช้ฝ่าเท้าเปล่าเหยียบย่างลงบนถ่านหินสีแดงร้อนระอุอย่างใกล้ชิด
หากอยู่ภายในวังหลวง ไป๋หลี่อวี๋อิงมักจะชอบเสาะหาข้ออ้างต่างๆ มากมายเพื่อใช้ในการลงโทษบรรดาสาวรับใช้ทั้งหลาย อย่างไรเสีย การลงโทษอันโหดร้ายสุดแสนเช่นนี้กลับเป็นครั้งแรกที่นางหยิบใช้ สีหน้าการแสดงออกของนางทั้งรู้สึกตื่นเต้นดีใจ ทั้งยังผสมปนความรู้สึกหงุดหงิดอยู่หนึ่งส่วน
เซี่ยหลู่เฟิงลงน้ำหนักเหยียบลงบนถ่านหินสีแดงฉาน จากนั้นก็สืบเท้ายกขาซ้ายขึ้นก้าวเดินต่อเนื่องทันที
ยามเท้าซ้ายย่างเหยียบ คู่คิ้ัวหน้าสีดำของเขาพลันอดขมวดแน่นถักเข้ามากันมิได้ ทั้งยังดวงตาคู่ดำขลับนั่นอีก หดแคบตีบตันด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
ทั้งหมดทัั้งมวลนี้ล้วนเป็นบทลงโทษที่เขาต้องแบกรับ หากกล่าวตามสัตย์จริง นี่เป็นผลกรรมที่เขาสมควรได้รับแล้วจริงๆ เพราะในอดีต เขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้จักรวรรดิหรู่หรานล่มสลาย ทั้งยังทำลายความสุขทั้งชีวิตขององค์หญิงจนไม่เหลือดี และเมื่อเขายกดฝ่าเท้าขวาขึ้นอีกครั้ง ก็มีหยาดเลือดรินหยดลงมาจากฝ่าเท้าสีดำไหม้ซึ่งถูกแผดเผาไม่เหลือดี
ถ่านหินที่กลายเป็นสีแดงฉาน มันแสดงให้เห็นถึงอุณหภูมิความร้อนที่ปะทุสูงถึงจุดสุดยอด เนื้อสดที่ประทับลงบนกองเพลิงถนนสายยาว คล้ายมีเสียงดังกรอบแกรบ เหล่านายทหารโดยรอบแลเห็นประกายแสงสีเงินสว่างไสวสะท้อนออกมาตามพื้นอันร้อนละอุ
“มีใบมีดอยู่ในกองถ่านหิน”
นายทหารคนหนึ่งสายตาค่อนข้างดีเยี่ยม เมื่อเห็นประกายแสงที่ส่องสะท้อนออกมาจากคมมีดตามทาง เขาก็อดอุทานร้องลั่นขึ้นมิได้
เนื่องจากคมมีดที่ซ่อนอยู่ตามถ่านหินเหล่านี้ ถูกอุณหภูมิความร้อนที่สูงมากหล่อหลอมอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ตัวคมมีดแปรสภาพกลายเป็นสีแดงอมเทา เมื่อฝ่าเท้าของเซี่ยหลู่เฟิงประทับเหยียบลงไป ก็มีเลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาเป็นของเหลวหนืดเหนียว ตามเส้นทางยาวเปรอะเปื้อนไปด้วยธารเลือดสดเต็มไปหมด
ในบรรดานายทหารทั้งหลาย เริ่มมีหลายคนยกมือขึ้นปิดป้องบริเวณดวงตา พวกเขาเหล่านี้ไม่สามารถทนมองได้อีกต่อไปแล้ว
ไป๋หลี่เย่และไป๋หลี่อวี๋อิงต่างจับจ้องไปยังสีหน้าและดวงตาของเซี่ยหลู่เฟิงที่เผยแสดงความเจ็บปวดสุดแสนด้วยรอยยิ้มอันพึงพอใจยิ่งยวด ยิ่งได้เห็นเซี่ยหลู่เฟิงทรมานเจ็บปวดมากเท่าไร่ พวกเขาก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น และความเจ็บปวดหนักหนาที่เซียถงเคยทำไว้กับพวกเขา ในวันนี้ทั้งสองขอชดใช้คืนเป็นสองเท่า!
เสียงกรีดร้องทรมานได้ปลุกฉีหมิงเยว่ให้ตื่นจากภวังค์อ่อนเพลีย เมื่อลฃืมตาตื่นขึ้น สิ่งแรกที่นางพบเห็นก็คือ ดวงตาที่แสนเจ็บปวดอยู่คู่หนึ่ง และดวงตาคู่นั้นช่างเป็นอะไรที่คุ้นเคยเสียเหลือเกิน เพราะมันเคยปรากฏอยู่ในความฝันของนางนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ฉีหมิงเยว่จับจ้องไปยังดวงตาคู่นั้นเจือแววประหลาดใจ ก่อนจะเหลือบไปเห็นเส้นทางสีเพลิงใต้ฝ่าเท้าของเขา ทันใดนั้นน้ำตาก็รินไหลออกมาทันที
อยากจะบอกไม่ให้เขามาช่วยเหลือเกิน ทว่าต้องการจะบอกเพียงใดแต่กลับไม่สามารถเปล่งเสียงพูดออกไปได้ ดูเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างขวางกั้นอยู่ที่ลำคอ นางไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลยสักคำ มีเพียงน้ำตาที่ไหลรินลงมาแค่เท่านั้น ชั่วพริบตาถัดมา ฉีหมิงเยว่กห็ระเบิดน้ำตาร้องไห้ปล่อยโฮออกมา
เซี่ยหลู่เฟิงเงยหน้ามองฉีหมิงเยว่ที่ฟื้นสติตื่นขึ้น และพยายามส่งยิ้มแผ่วอ่อนมอบไปให้ ภายในใจดวงนี้ปรารถนาที่จะพูดกับนางเหลือเกินว่า ข้าสบายดีอย่างได้ห่วง ไม่ต้องร้องไห้ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นในอีกไมท่ช้า ทว่ายามนี้ตัวเขากลับไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะอ้าปากด้วยซ้ำ แถมยังไม่รู้กดด้วยซ้ำ เท้าเปล่าคู่นี้ที่ปราศจากสื่งใดรองรับจะทานทนได้ไหวอีกสักกี่ก้าวกัน?
ร่างสูงโปร่งของเขาแทบจะล้มทั้งยืนด้วยความเจ็บปวด ทว่าจุดหมายเบื้องหน้ายังมีหญิงสาวที่กำลังร้องห่มร้องไห้รอคอยอยู่ ดังนั้นจึงย่างเท้าก้าวเหยียบลงบนถ่านหินอันร้อนระอุต่อไป
ไป๋หลี่เย่พึงสังเกตเห็นว่า แววความเจ็บปวดภายในดวงตารของเซี่ยหลู่เฟิงลดลงหลายส่วน รอยยิ้มอันพึงพอใจบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป สุดท้ายก็อดหันศีรษะติดตามทิศทางที่เซี่ยหลู่เฟิงมองไปมิได้ ก่อนจะได้พบเห็น ฉีหมิงเยว่ที่ในเวลานี้ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาอาบแก้มทั้งสอง
หญิงสาวคู่กับน้ำตากลับชวนให้เกิดอารมณ์แปลกๆ ผุดขึ้นภายในดวงใจ ดูนั่นสิ นัยน์ตาใสบริสุทธิ์ที่สั่นไสวรวนเร ฉายแววส่องสว่างกว่ายามใด เรือนร่างบิดเกลียวด้วยใจอันทุกข์ทรมานจนเผยใหเห็นสัดส่วนของอืสตรีชัดเจน
ณ ช่วงเวลานี้ ฉีหมิงเยว่ทั้งสวยและทรงเสน่ห์บาดใจเหลือเกิน!
ไป๋หลี่เย่มองหน้าฉีหมิงเยว่ที่กำลังเศร้าโศกตาไม่กะพริบ ทันทีทันใด ความคิดอันแสนชั่วร้ายก็ผุดขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจของเขาอีกครั้ง คงน่าเสียดายแย่หากต้องฆ่าสาวงามเฉกเช่นนี้นางทิ้งไปเฉยๆ
เขาเดินตรงไปหยุดอยู่ตรงหน้าฉีหมิงเยว่ ยกเรียวนิ้วขึ้นเฉยคางสีขาวนวลเนียนของหญิงสาว และเอย่ถามขึ้นว่า
“ตอนนี้คงรู้สึกปวดใจมากกระมัง? ถึงได้ร้องห่มร้องไห้ปานนี้!”
ฉีหมิงเยว่สั่นศีรษะระรัว พยายามดิ้นหลุดออกจากเรียวนิ้วยาวของไป๋หลี่เย่ ทว่ายิ่งขัดขืนอีกฝ่ายกลับยิ่งบีบแน่นกว่าเดิม
“หากเจ้าเชื่อฟังข้าให้จงดี ข้าจะปล่อยคนรักของเจ้าให้เป็นอิสระ!”
ไป๋หลี่เย่กล่าวข้อเสนอพร้อมรอยยิ้มแสนโฉดชั่วแสยะกว้าง
“ไม่!”
ริมฝีปากสีแดงอวบอิ่มปริแยกออกจากกันเล็กน้อย จากสายตาคู่สวยที่เปื้อนน้ำตาอ่อนโยนของฉีหมิงเยว่กลายเป็นแข็งกระด้างใส่อีกฝ่ายในพริบตา ไป๋หลี่เย่ที่เห็นแบบนั้นก็ยิ่งรู้สึกโกรธจัด ใช้หลังมืออีกข้างที่ว่างตบหน้าฉีหมิงเยว่หันเสียหลักล้มลง ตะคอกน้ำเสียงเดือดจัดลั่นว่า
“นังสารเลว! ข้าองค์รัชทายาทผู้นี้ต้องการร่างกายของเจ้า! ไยถึงกล้ามองหน้าข้าเช่นนี้!! คิดขัดขืนงั้นรึ?!”
เสียงตบดังสนั่นชัดเจน บริเวณแก้มขวาของฉีหมิงเยว่บวมแดงเป่งเป็นลูกมะนาว
“ไอ้องค์รัชทายาทสุนัขจร!หากต้องการฆ่าแกงกันนักก็มาจัดการกับข้าหญิงชราคนนี้ เรื่องทั้งหมดกลับมิได้ข้องเกี่ยวใดๆ กับองค์หญิงเลย!”
เสียงแหบแห้งของย่าเฟิงดังขึ้นจากทางหน้าผา
“นังแก่อัปลักษณ์ อย่าได้กังวลไป เรื่องประหารเจ้าทิ้งย่อมเป็นสิ่งที่ลืมมิได้!”
ไป๋หลี่เย่ชะโงกหน้ากล่าวกับย่าเฟิงที่ยามนี้ห้อยต่องแต้งอยู่ปลายหน้าผา
ย่างเฟิงถูกตรึงเอาไว้โดยมีเชือกแค่เส้นเดียวที่ตอกกับตะปู ร่างห้อยไปมาค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ทันทีที่ได้ยินเสียงตบหน้าฉีหมิงเยว่ดังขึ้น หญิงชราก็รีบแหงนศีรษะเงยมองด้วยสีหน้าที่โกรธจัด
“หมูสกปรกอย่างเจ้า หากไม่มีขี้ข้าคอยช่วยเหลือก็เป็นได้แค่เศษสวะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง!ปราศจากคุณธรรม ไร้ซึ่งความสื่อสัตย์ใดๆ อาณาจักรตงหลี่ในอนาคตจะต้องถูกทำลายด้วยเงื้อมมือของเจ้าเอง!”
ย่าเฟิงคำรามเสียงสุดเสียงแหบแห้ง สาดสายตามองเปี่ยมแววอาฆาตพยาบาต
“เจ้าพล่ามว่าอันใด?”
ประโยคคำกล่าวนี้คล้ายไปจี้ใจดำของไป๋หลี่เย่โดยพลัน สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวปี๋ บิดเบี้ยวน่าเกลียดด้วยความพิโรธสุดขีด
“ข้าบอกว่า หมูสกปรกอย่างเจ้าที่ทั้งชั่วช้าและไร้น้ำยา สักวันอาณาจักรตงหลี่จะต้องล่มสลายลงโดยที่ต้นเหตุทั้งหมดจะมาจากความโง่เง่าของเจ้าทั้งสิ้น!สวะอย่างไรก็ยังคงเป็นสวะอยู่วันยังค่ำ!”
ย่าเฟิงลอบแสยะยิ้มมุมปาก พ่นวาจาคำกล่าวต่ำทรามสารพัดออกไป หวังต้องการให้หันเหความสนใจของอีกฝ่ายให้เบี่ยงมาทางตนแทน
“ไอ้แก่อัปลักษณ์นี่!พวกเจ้า!ดึงมันขึ้นมา!ดึงมันขึ้นมาเดี๋ยวนี้!ข้าจะกระทืบมันให้ตายคาแทบเท้าของข้า!ไอ้แก่บัดซบตัวนี้ มันกล้าสาปแช่งเราองค์รัชทายาท!เกรงว่าคงเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว!!”
เป็นไป๋หลี่อวี่อิงแทนที่เดินไปตะคอกใส่ที่ปลายหน้าผาด้วยความฉุนเฉียว กล้าดีอย่างไรที่หญิงชราตัวนี้กล้าพูดจาสาปส่งพี่ชายของนางถึงขนาดนี้?
ในไม่ช้า ย่าเฟิงก็ถูกนายทหารเหล่านั้นลากขึ้นมา ร่างกายยังคงถูกมัดไว้หนาแน่น โยนทิ้งเข้าไปในกรงไม้เดียวกับฉีหมิงเยว่
ฉีหมิงเยว่เหลือบสายตามองไปที่ย่าเฟิง พึงสังเกตเห็นว่าเนื้อหนังที่แห้งเหี่ยวยามนี้ขาดวิ่นหลุดลุ่ยไม่เหลือดี