ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 184 ด้วยรักและเกลียดชัง (2)
ตอนที่184 ด้วยรักและเกลียดชัง (2)
ฉีหมิงเยว่ลืมตาตื่นสุดระทม มองดูคมกระบี่ยาวในมือของย่าเฟิงที่กำลังตวัดฟันฟาด เห็นดังนั้นนางพลันกรีดร้องเสียงสูงลั่นทันใด
“ย่าเฟิงหยุด!!”
สีหน้าไร้เลือดหล่อเลี้ยงแทบจะก้มกราบ ณ ตรงนั้น
ดวงต่ย่าเฟิงเป็นประกายเปี่ยมแรงอาฆาต กระบี่ในมือยังคงเคลื่อนเข้าหาเซี่ยหลู่เฟิงโดยไม่มีการลดทอนความเร็วใดๆ ตราบเท่าที่นางสามารถล้างแค้นให้แก่ทุกคนในจักรวรรดิหรู่หรานได้ ต่อให้ต้องโดนองค์หญิงของตนเกลียดขี้หน้าจนวันตายก็ยอม
ทว่าก่อนที่คมกระบี่ยาวเล่มนั้นจะตัดศีรษะของเซี่ยหลู่เฟิง ย่าเฟิงก็ถูกลูกแตะอันทรงพลังซัดเข้าใส่ชายโครงสุดแรงเกิดจนร่างบิดเบี้ยว หากสามารถมองทะลุเห็นภายในร่างกายคนเราได้ กระดูกซี่โครงของย่าเฟิงคงแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปแล้ว ร่างแก่ชราปลิ้วกระเด็นประดุจว่าวที่สายป่านเชือกขาดสะบั้น เซียถงพุ่งติดตามต่อเนื่องยกบาทากระทืบกลางอกย่าเฟิงเสียงดัง ‘ปัง!’ ประดุจม้ากระทืบโลง ยกกระบี่ทัณฑพ์ฟ้าในมือขึ้นเตรียมจ่อแทงทะลุขั้วหัวใจของอีกฝ่ายทันที
หญิงชราที่ไม่รู้จักบุญคุณสมควรตายเยี่ยงสุนัขจรแล้ว!
“เซียถง! โปรดไว้ชีวิตย่าเฟิงด้วย!”
ฉีหมิงเยว่ตะโกนกู่ร้องสุดเสียง สีหน้าวิตกกังวลสุดขีด
ปลายกระบี่คมลุไปได้ครึ่งทางพลันต้องชะงัก เซียถงเคลื่อนสายตามองย้อนกลับไปหาฉีหมิงเยว่ ยามนี้กำลังเห็นนางนอนโทรมอยู่ในอ้อมแขนของเซี่ยหลู่เฟิงพร้อมน้ำตาที่เปรอะเปื้อน ทั้งยังเห็นเซี่ยหลู่เฟิงที่ส่งสายตาอ้อนวอนมาหานางอีกแรง
ไม่ว่าจะเกลียดชังหญิงชราคนนี้ปานใด เซียถงก็จำใจถอนบาทาออกจากแผ่นอกของอีกฝ่ายและก่นเสียงเย็นชาขึ้นว่า
“หากกล้าแตะต้องพี่ชายของข้าอีก ครั้งหน้าข้าจะจับเจ้ามาถลกหนัง!”
ย่าเฟิงสบสายตาปะทะเซียถงอย่างดุเดือดไม่ต่าง น้ำเสียงแหบพร่ากล่าวขึ้นว่า
“รีบสังหารข้าตั้งแต่ตอนนี้เสียก่อนจะไม่มีโอกาสอีกต่อไป! ในภายภาคหน้า หากเราหญิงชราคนนี้มีโอกาสเมื่อใด ขอสัญญาว่าจะฆ่าล้างโคตรตระกูลเซี่ยของเจ้าให้สิ้นซาก! ทั้งหมดก็เพื่อล้างแค้นให้แก่ทุกคนที่ต้องตายในเหตุการณ์ณ์ล่มสลายในวันนั้น!!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ประกายสายตาของเซียถงพลันมืดทมิฬลงทันควับ รัศมีจิตสังหารขุมใหญ่เดือดปะทุผุดขึ้นในใจ นางไม่สามารถไว้ชีวิตหญิงชราคนนี้ได้จริงๆ มิเช่นนั้น ทั้งเซี่ยหลู่เฟิงและท่านแม่ของนางจะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอน แต่เสี้ยวขณะที่กำลังจะลงคมกระบี่สังหาร ก็เหลือบหางตำไปเห็นนายทหารทั้งหลายแหล่ของไป๋หลี่เย่เคลื่อนกระบวนตรงเข้ามาพร้อมอาวุธครบมือ ปราดสายตาพินิจไปรอบหนึ่ง คำนวณได้ประมาณสามสิบถึงสี่สิบนาย โดยส่วนใหญ่มีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตเสาหลักเขียวชั้นสูง และบางคนเป็นถึงขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นต้น
ชั่วจังหวะนั้นเอง เซียถงใช้ปลายเท้าเขี่ยร่างใกล้ตายของย่าเฟิงโยนทิ้งไปทางเซี่ยหลู่เฟิง และกล่าวว่า
“หญิงชราในตอนนี้ไม่เหลือพิษสงแล้ว ปล่อยให้มันนอนตายไปทั้งแบบนั้นเสีย ส่วนพพวกเจ้าสองคนก็รีบออกไปซะ ที่เหลือปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
“ตกลง!”
เซี่ยหลู่เฟิงพยักหน้าตอบรับคำทันที เพราะเขาย่อมรู้ตัวเองดีว่า ตนเองในตอนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงใด แค่จะลากสังขารตัวเองหลบหนีออกไปพร้อมกับฉีหมิงเยว่ก็เต็มกลืนแล้ว
ขณะที่เขาเอ่ยกล่าว แขนทั้งสองข้างก็กระชับกอดฉีหมิงเยว่เอาไว้แนบกายแน่นและเดินย้อนกลับไปยังเส้นทางป่าทึบที่นำไปสู่ตีนเขาด้านล่าง แต่จู่ๆ ฉีหมิงเยว่ก็ดิ้นตัวจนหลุดออกจากอ้อมกอดของเขาและวิ่งไปหาย่าเฟิงที่กำลังนอนโทรมอยู่บนพื้น คว้ามืออันเหี่ยวย่นของอีกฝ่ายขึ้นมาทั้งน้ำตา
“ย่าเฟิง รีบไปกันเถอะ!”
ย่าเฟิงเงยหน้าแช่มมองธารน้ำตาสีใสที่แอบชโลมบนใบหน้าของฉีหมิงเยว่ พลันรู้สึกผิดต่อนางอย่างยิ่ง และพยายามลุกขึ้นไปจากที่นี่ เมื่อเห็นกลุ่มทหารจำนวนหนึ่งบุกเข้ามาหาพวกนางพร้อมอาวุธในมือ ย่าเฟิงก็กัดฟันแน่นช้อนร่างของฉีหมิงเยว่อุ้มขึ้นกอดในอ้อมอก เปล่งเสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดสุดแสน เร่งเร้าพลังลมปราณที่เหลืออยู่ทั้งหมดในร่างอย่างสุดแรงเกิด และวิ่งหนีลงภูเขาไปอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ย่าเฟิงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสปางตายสักเพียงใด แต่นางก็ยังเป็นถึงผู้แกร่งกล้าแห่งขอบเขตเสาหลักฟ้าชั้นสูงผู้หนึ่ง อาศัยความเร็วระดับชั้นนี้ ไม่นานก็สามารถหนีลงภูเขาไปได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร ก่อนลาจาก หญิงชรายังเคลื่อนสายตาหันมาเหลือบมองเซี่ยหลู่เฟิงอยู่ปราดหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน เซี่ยหลู่เฟิงยังคงยืนนิ่งไม่ไปไหน เห็นฉีหมิงเยว่และย่าเฟิงหนีรอดออกไปได้ เขาเองก็รู้สึกมีความสุขอย่างมากเช่นกัน
“ไฉนท่านยังไม่ไปอีก?”
เซียถงกระชับจับกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเตรียมพร้อมสัประยุทธ์เต็มที่ แต่พอมองย้อนกลับไปดันเห็นเซี่ยหลู่เฟิงที่ยังยืนนิ่งไม่ไปไหน นางก็เลยเปล่งเสียงดัง ส่งสายตาเจือแววสงสัย
“เจ้าเป็นน้องสาวของข้าคนหนึ่ง แล้วจะให้ข้าทิ้งเจ้าให้อยู่เพียงลำพังได้อย่างไร?”
เซี่ยหลู่เฟิงส่งยิ้มสีจางมอบให้แก่เซียถงอย่างแผ่วอ่อน ปาดเช็ดคราบเลือดมุมปากพลางก้มไปหยิบกระบี่เล่มหนึ่งที่ทหารทำตกไว้ สาดสายตาเฉียบคมเข้าใส่ศัตรูทั้งหลาย ส่งคำรามประดุจลั่นกลองรบว่า
“ฆ่ามัน!”
ทันทีที่สิ้นเสียง เงาร่างของเซี่ยหลู่เฟิงก็แปรสภาพเป็นประกายแสงสีครามอ่อนสายหนึ่ง พุ่งโฉบเฉี่ยวเข้าใส่กลุ่มทหานนับหลายสิบนายโดยตรง!
เซียถงได้แต่จับจ้องมองร่างสายนั้นของเซี่ยหลู่เฟิงอยู่เคียงข้าง และรู้สึกประหลาดใจอย่างมากที่เห็นประกายแสงสีครามแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายอีกฝ่าย ซึ่งนี่เป็นสัญญาลักษณ์แห่งขอบเขาเสาหลักฟ้าเต็มขั้น แต่นอกเหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าคือ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่พี่ชายของนางเป็นคนเด็ดขาดและโหดเหี้ยมปานนี้ เพราะทุกกระบวนกระบี่ที่ฟันฟาด เซี่ยหลู่เฟิงล้วนเล็งแต่ศีรษะของศัตรู พร้อมสะบั้นทิ้งโดยไม่มีแยแสหรือสงสัยใดๆ!
นี่หาใช่การต่อสู้แล้ว แต่ควรจะเรียกว่า ‘การล่า’ โดยสมบูรณ์
เมื่อเห็นว่ามีพวกลอบกัด แคบใช้อาวุธซุ่มโจมตีพร้อมกันนับหลายสิบคนจากเบื้องหลังเซี่ยหลู่เฟิง เซียถงก็เร่งระเบิดพลังลมปราณ กระโจนตัดสะบั้นศีรษะของนายทหารเหล่านั้นด้วยคมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าในพริบตา
ต่อสู้ไปสักครู่หนึ่ง ในเวลานี้เหลือแต่พวกทหารระดับชั้นเสาหลักฟ้า ในขณะเดียวกัน เซียถงก็เริ่มสังเกตเห็นอาการสั่นเทิ่มตามเนื้อตัวของเซี่ยหลู่เฟิง จึงรีบเอื้อมมือไปประคองร่างอีกฝ่ายไว้ทันที น่าจะเป็นเพราะอาการบาดเจ็บสาหัสก่อนหน้า และตอนนี้ก็ยังฟืนต่อสู้ศึกหนัก จึงทำให้สภาพร่างกายของเซี่ยหลู่เฟิงถึงขีดจำกัดแล้ว
มือข้างหนึ่งโอบประคอง ส่วนอีกข้างร่ายคมกระบี่ทัณฑ์ฟ้าพลิ้วสะบัด วาดลวดลายสีโลหิตเข้าสังหารอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ทหารพวกนั้นก็ใช่ว่าจะหยุด แต่ละคนยังคงทยอยกันเข้ารุมล้อมโจมตีต่อเนื่อง
ในเวลานี้เอง ทุกคนต่างต้องตื่นตกใจเมื่อใต้คู่เท้าของเซียถงปรากฏประกายแสงสีเขียวสว่างไสวขึ้น เงาร่างไสววูบของนางยิ่งเร็วขึ้นเป็นเท่าทวีจนดูคล้ายกับภูตผีพิสดารวูบวาบ โผล่ขึ้นมาต่อหน้าต่อตาทหารนายหนึ่งพร้อมตัดศีรษะทิ้งในพริบตา จากนั้นนางก็หายตัวไปอีกครั้ง กว่าที่ทุกคนจะรู้สึกฟื้นตัวก็เกรงว่าได้ลงไปเฝ้ายมโลกเสียแล้ว ภาพฉากในเวลานี้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรมทะเลเลือดโดยสมบูรณ์ ไม่ว่าเงาร่างของนางจะไปโผล่ขึ้นที่ไหน ท้องนภาล้วนถูกย้อมเป็นสีเลือดที่นั่น!
เสมือนกับว่าตอนนี้มีฝนตกลงมา แต่ที่ไหนได้…มันคือศีรษะคนที่ถูกสะบั้นทิ้ง