ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 188 หญ้าเพลิงเมฆา
ตอนที่188 หญ้าเพลิงเมฆา
“แปลกแหะ ไฉนไม่มีใครเลย?”
อิ๋งเอ๋อร์เกาศีรษะเล็กน้อยเจือใบหน้างุนงง เมื่อเห็นเซียถงเดินคลุมผ้าเช็ดตัวออกมา นางจึงเอ่ยถามขึ้นทันทีด้วยความสงสัยว่า
“คุณหนู เมื่อครู่ได้ยินเสียงคนกรีดร้องหรือไม่?”
“อ่อ ข้าเองก็ได้ยิน แต่ก็แค่เสียงสุนัขเห่าหอนน่ะ”
เซียถงกล่าวตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ภายในห้วงความคิดของนาง ตัวกระบี่ทัณฑ์ฟ้าก็เกิดอาการสั่นสะท้านเล็กน้อย คล้ายว่ากำลังรู้สึกไม่พอใจมาก
เสี่ยวฮั่วระเบิดหัวเราะลั่นอย่างสุขอกสุขใจอยู่เคียงข้าง
“ฮ่าฮ่า! ยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ กระบี่ทัณฑ์ฟ้าในตำนาน ทว่ายามนี้กลายมาเป็นสุนัขตัวหนึ่งเสียแล้ว!”
“เจ้านั่นแหละสุนัข!”
สุ้มเสียงหลิวซูตวาดดังลั่นออกมาจากตัวกระบี่ทัณฑ์ฟ้าดูท่าทางแล้วกำลังโกรธจัด
“ข้าไม่เคยแอบดูนายท่านแช่น้ำมาก่อน และใครก็ตามที่แอบดูนายท่านแช่น้ำ มันผู้นั้นแหละคือสุนัข!”
เสี่ยวฮั่วโต้สวนกลับไป
“ระวังตัวให้ดีเถอะ! ดวงวิญญาณของเจ้าจะถูกกระบี่เล่มนี้ทิ่มแทง!”
หลิวซูพูดจาข่มขู่
“หากกล้าแทงข้า นายท่านจะโกนหัวให้เจ้าจนโล้น!”
เสี่ยวฮั่วพ่นลมหายใจเย็นใส่อีกฝ่ายไปทีหนึ่ง
เมื่อได้ยินหนึ่งจิตวิญญาณกระบี่และหนึ่งจิตวิญญาณเทพอสูรทะเลาะวิวาทกันอยู่ในห้วงความคิดของนาง มุมปากของเซียถงพลันกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย บางครั้งบางทีบรรยากาศเช่นนี้ก็ชวนให้รู้สึกอบอุ่นใจเช่นกัน…แต่ยังไม่ทันได้คิดจบดี เซียถงก็ถึงกับชะงักค้างหยุดนิ่งไปชั่วขณะด้วยความตะลึง เมื่อได้ยินประโยคคำกล่าวต่อจากนี้ที่หลุดออกมาจากปากหลิวซู
“เสี่ยวฮั่ว อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ทุกครั้งที่นายท่านของเจ้าแช่น้ำ เจ้าก็มักจะใช้จิตสัมผัสมุ่งสมาธิเพื่อแอบดูเหมือนกัน!”
หลิววูแสยะยิ้มชั่วร้ายออกมาในทันใด
“ขะ-ข้า…ข้าไม่เคย! มีแต่เจ้านั่นแหละที่แอบดู!!”
ลูกไฟดวงวิญญาณสีม่วงของเสี่ยวฮั่วหดตัวตีบแคบคล้ายลูกหนังก้อนจิ๋วไปชั่วขณะหนึ่ง ฟังจากน้ำเสียงที่ดูติดขัดและร้อนใจนั่นแล้ว จะทราบได้เลยว่า มันกำลังประหม่าอย่างมาก
ทันใดนั้นเอง บรรยากาศโดยรอบห้วงความคิดของเซียถงพลันเย็นยะเยือกลงทันที ทั้งหลิวซูและเสี่ยวฮั่วต่างเนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุด ปั้นสีหน้าสยองขวัญราวกับเจอผีโดยพร้อมเพรียง จากนั้นก็ไม่มีใครกล้าปริปากพูดอะไรอีกเลยสักคำ
ข้าคิดเคยคิดเสมอว่า หลังจากประสบพบเจอกับปัญหามากมาย เสี่ยวฮั่วก็คือเด็กดีคนหนึ่งที่คอยช่วยเหลือ แต่ไม่คิดเลยว่า…มันจะแอบทำเรื่องเช่นนี้กับเขาด้วย!
เซียถงคิดได้ดังนั้นพลันถอดถอนหายใจเฮือกใหญ่กับตนเอง และหันไปพูดกับอิ๋งเอ๋อร์ว่า
“ไปเอาตั๋วเงินมา เราออกไปเดินตลาดสักเที่ยวเถอะ”
อิ๋งเอ๋อร์แอบสะท้านขวัญสั่นประสาทเล็กน้อยเช่นกันที่ได้เห็นสีหน้าเย็นชาของเซียถงในเวลานี้ เสมือนกับว่าคุณหนูเพิ่งจะได้ยินเรื่องอะไรไม่ดีมาถึงมีสีหน้าเช่นนี้? อย่างไรเสียเรื่องนี้มิน่าจะข้องเกี่ยวกับนาง เช่นนั้นจึงพยักหน้าตอบและเดินไปหยิบตั๋วเงินมา หลังจากออกเดินทางไป ไม่นานเซียถงก็พาอิ๋งเอ๋อร์เข้ามายังร้านขายสมุนไพรแห่งหนึ่งที่อยู่ในตลาด อาการบาดเจ็บของเซี่ยหลู่เฟิงค่อนข้างรุนแรง แม้ว่าเบื้องต้นผิวเผินจะดูค่อนข้างดีขึ้นมากแล้ว แต่อวัยวะภายในและเลือดลมกลับยังคงอยู่ในสภาพย่ำแย่มาก ดังนั้นแล้ว การมาในคราวนี้นางก็หวังอยู่ลึกๆ ว่า จะหยิบจ่ายใช้สอยสมุนไพรดีๆ จำนวนหนึ่งเพื่อหลอมกลั่นโอสถรักษาอาการเหล่านั้นให้แก่เซี่ยหลู่เฟิง โดยเฉพาะฝ่าเท้าที่โดนไฟผลาญจนไหม้เกรียม
หอโอสถยุทธ์เฟิงหลี่ สถานที่แห่งนี้เป็นร้านขายสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเฟิงหลี่แห่งนี้แล้ว กล่าวกันว่ามีสมุนไพรล้ำค่าเกือบทุกชนิดที่จินตนาการถึงอยู่ภายในนี้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนกระจายอยู่ในตู้กระจกเก่าๆ เต็มร้าน เป็นสถานที่เปิดโล่งให้ทุกคนสามารถเข้ามาแวะเวียนเยี่ยมชมได้อย่างอิสระ แค่เลือกชิ้นที่อยากได้และนำไปจ่ายเงินที่หน้าร้านเท่านั้น
เซียถงก้มหน้าก้มตามองหาสมุนไพรตามตู่กระจกต่างๆ ทันใดนั้นก็มีหญ้าสีแดงเพลิงใบหนึ่งปรากฏขึ้นสู่สายตาของนาง เห็นเป็นเช่นนั้น ประกายตาพลันว่างไสวขึ้นทันใด นางรีบเอื้อมมือเพื่อไปหยิบมันขึ้นมาทันที เพราะนี่ก็คือ หญ้าเพลิงเมฆา ถือได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมในการรักษาแผลไฟไหม้ ทั้งยังหายากอย่างยิ่งในจักรวรรดิตงหลี่แห่งนี้
แต่ทันทีทันใดก็มีมือของใครไม่ทราบพุ่งเข้ามาแย่งจากทิศทางตรงข้าม ทั้งสองมือยื่นออกมาโดยพร้อมเพรียงแทบประสานงาชนกัน เซียถงยังคงไม่เงยหน้ามอง แต่ได้ยินสุ้มเสียงบ่นขึ้นดังว่า
“เจ้าหนู อย่าเอามือสกปรกมาแตะต้องของๆ นายท่าน!”
ได้ยินดังนั้นเซียถงขมวดคิ้วถักขึ้นเล็กน้อย ไม่เพียงแค่ไม่ชักมือไม้กลับเพื่อหลบให้ แต่ยังเร่งความเร็วเป็นเท่าทวี ฉกหญ้าเพลิงเมฆาต่อหน้าต่อตาฝ่ายตรงข้ามด้วยความเร็วประดุจสายฟ้า ทว่าอีกฝ่ายเองก็หาได้ยอมไม่ พุ่งออกไปจับด้วยความเร็วสูงสุดเช่นกัน ส่งผลให้มือทั้งสองแบ่งกันจับต้นหญ้าเพลิงเมฆาหัวท้าย
“เอามือของท่านออกไปเถอะ”
เซียถงเงยหน้ามองบุคคลที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเย็นชา แต่พอได้เห็นว่าเป็นใคร นางก็อดขมวดคิ้วเจือแววสงสัยมิได้ อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงชั้ยเยี่ยม ใบหน้าหล่อเหลาหาใครจะเทียบเคียง ปรากฏว่ามิใช่ใครอื่นนอกเสียจาก องค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิตะวันตก เฉียนอวิ๋ง!
เฉียนอวิ๋งเงยหน้าแช่มมองไปที่เซียถงเล็กน้อย เมื่อได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าของตน ก็อดขมวดคิ้วมิได้จากนั้นก็ปล่อยมือออกจากต้นหญ้าเพลิงเมฆาอย่างเบามือ โค้งศีรษะให้เล็กน้อยเป็นพิธีและกล่าวว่า
“คุณหนู มิทราบว่าเราผู้นี้ขอสมุนไพรต้นดังกล่าวได้หรือไม่?”
“แต่ข้าเห็นสมุนไพรต้นนี้ก่อนท่าน”
เนื่องด้วย ทัศนคติของเซียถงที่มีต่อเฉียนอวิ๋งมิได้เลวร้ายอันใด ดังนั้นนางจึงตอบโต้กลับไปด้วยอากัปกิริยาที่ค่อนข้างนุ่มนวลกว่าคนอื่นๆ ที่ชอบมาหาเรื่อง
กล่าวอีกนัยคือ ใครมีมารยาทมา นางเองย่อมมีมารยาทกลับไป
“นายท่านของข้าต่างหากที่เห็นสมุนไพรต้นนี้เป็นคนแรก! นังอัปลักษณ์ นี่เจ้ากำลังพล่ามอันใดไร้สาระ?”
ยังไม่ทันที่เฉียนอวิ๋งจะได้ปริปากพูดด้วยซ้ำ ก็เป็นซือโม่องครักษ์ข้างกายที่ตวาดเสียงดังลั่นด้วยความหงุดหงิด
เซียถงเคลื่อนสายตามองไปทางซือโม่อยู่ปราดหนึ่ง ไอเย็นยะเยือกเล็ดลอดแผ่ซ่านออกมาจากดวงตาคู่นั้นทันที
“คุณหนูของข้ามิใช่นังอัปลักษณ์! นางนี่แหละคือสตรีรูปงามอันดับหนึ่งแห่งผืนพิภพ! ไม่มีใครงดงามไปกว่านางได้อีกแล้ว!”
เมื่อได้ยินคำดูหมิ่นของอีกฝ่ายที่มีต่อคุณหนู อิ๋งเอ๋อร์ก็ไม่ยอม ก้าวย่างออกไปเผชิญหน้าพร้อมตะโกนเสียงดังลั่นด้วยโกรธจัด
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น ซือโม่ก็เหลือบหางตาปรายมองเซียถงเล็กน้อยและระเบิดหัวเราะเยาะลั่นออกมา กระทั่งผู้คนโดยรอบเองก็อดหัวเราะขำขันออกมามิได้เช่นกัน
น่าเกลียดขนาดนี้ ยังกล้าดีมาบอกว่า เป็นสตรีรูปงาม? และยังหน้าด้านไปกว่านั้นโดยการบอกว่า ไม่มีใครบนผืนพิภพงดงามไปกว่านี้อีกแล้ว? นี่มันกำลังพล่ามไร้สาระอันใด? ประสาท!
ซือโม่ระเบิดหัวเราะลั่นจนน้ำตาเล็ด ส่วนมุมปากของเฉียนอวิ๋งพลันเชิดขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังพยายามทำตัวสำรวมอยู่ เห็นได้ชัดว่า คำพูดของอิ๋งเอ๋อร์ช่างน่าขันสิ้นดี
“ใครบ้างที่ไม่รู้ว่า เซียถงคือหญิงอัปลักษณ์อันดับหนึ่งแห่งตงหลี่? การที่สาวรับใช้ของนางมาบอกว่า เจ้านายตัวเองสวย เกรงว่าจะตาบอดแล้วกระมัง? ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ใครบางคนท่ามกลางฝูงชนกล่าวออกไป ถึงแม้สุ้มเสียงนี้จะแผ่วอ่อนเพียงใด แต่ดูเหมือนว่าทุกคนรอบข้างจะได้ยินกันชัดเจน
นี่ยิ่งทำให้ฝูงชนโดยรอบระเบิดหัวเราะเยาะดังขึ้นไปอีก
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ปรากฏว่าเป็นหญิงอัปลักษณ์อันดับหนึ่งแห่งตงหลี่นี่เอง! แต่ก็ยังมีหน้าเรียกตัวเองว่า สตรีรูปงาม? ฮ่าฮ่าฮ่า…ข้าขำไม่ไหวแล้ว! หัวเราะจนจะขาดอากาศตายอยู่แล้ว!! ตั้งแต่เกิดมาข้ายังไม่เคยได้ยินเรื่องตลกขนาดนี้มาก่อนเลย!!”
ซือโม่ปาดน้ำตาไปทีหนึ่ง หันมากล่าวกับเฉียนอวิ๋งอย่างตลกขบขัน
อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นเองกลับมีรอยยิ้มสีจางปรากฏขึ้นบนมุมปากของเฉียนอวิ๋ง และดวงตาคู่นั้นของเขายังคงเฝ้ามองเซียถงอยู่ตรงหน้า สำหรับสตรีเพศแล้ว พวกนางมักจะให้ค่ากับเรื่องความสวยความงามกว่าสิ่งใด และในเวลานี้ ผู้คนทั้งหมดรอบตัวก็กำลังหัวเราะเยาะในความอัปลักษณ์ของนางอยู่ ทว่า…อากัปกิริยาของนางคนนี้ช่างสงบนิ่งนัก ไม่มีแม้แต่ร่องรอยความโกรธหรือโศกเศร้าเผยแสดงผ่านใบหน้าออกมาเลยสักนิดเดียว ซึ่งนี่ทำให้เฉียนอวิ๋นรู้สึกประทับใจต่อหญิงสาวนางนี้เล็กน้อย