ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 19 อัครมหาเสนาบดี (1)
ตอนที่19 อัครมหาเสนาบดี (1)
ร่างของคนๆ นั้นรวดเร็วยิ่งยวด และเป้าหมายก็คือถุงเครื่องหอมที่ห้อยอยู่ที่นิ้วของนาง เซี่ยถงเองก็มีปฏิกิริยาตอบสนองว่องไวเช่นกัน เหวี่ยงถุงเครื่องหอมหมุนติ๊วสองตลบ พับเก็บเข้าในกำมือดังหมับ แม้คราวนี้นางจะสามารถเลี่ยงหลบการโจมตีไปได้ แต่บริเวณท่อนแขนยังได้รับรอยขีดขวนถางๆ เป็นแผลบาง
นางเงยหน้าขึ้นมองไปยังมือกระบี่คนนั้น ปรากฏว่าเป็นชายหนุ่มในชุดคลุมหรูหรา
“นี่เจ้าเป็นใคร?”
เซี่ยถงเหล่มองอีกฝ่ายไปทีหนึ่ง แววตามากคมเขี้ยวเฉียวแหลมประดุจวิหคเพลิงอมตะเหลือบมอง สบเข้ากับสายตาของอีกฝ่ายที่แสนเย็นชานัก จิตสังหารขุมหนึ่งพุ่งปะทะเข้าสู่หัวใจของนางโดยตรง
“ถงเอ๋อร์ อย่าหยาบคายให้มากนัก ท่านผู้นี้คืออัครมหาเสนาบดีแห่งวังหลวง เย่หลีเทียน”
เซี่ยอี้เฉินเดินไปหาเซียถงพร้อมกล่าวแนะนำอีกฝ่ายให้รู้จัก
“บุตรสาวของเสนาบดีเซี่ยนับว่าเป็นสตรีมีความสามารถ สามารถหลเลี่ยงเพลงกระบี่ข้าได้คราหนึ่ง นับว่าไม่ธรรมดา”
เย่หลีเทียนส่งยิ้มให้เซียถงอย่างเยือกเย็น
เซียถงมิได้เอ่ยกล่าวอันใดตอบ ทว่าพริบตาต่อมา คู่เท้าของนางพลันกระตุกวูบ กระโดดขึ้นจากจุดที่ยืนอยู่ ร่ายกระบวนโจมตีพุ่งเข้าใส่เย่หลีเทียนด้วยความเร็วประดุจสายฟ้าฟาด!
ทางด้านเย่หลีเทียนไม่คิดไม่ฝันเลยว่า เซียถงจะกล้าทำอะไรเฉกเช่นนี้กับตัวเขา คล้อยหลังสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของนาง เขาเองก็รีบตีฝีเท้าร่นถอยเพื่อหลบเลี่ยงด้วยความตื่นตกใจ ทว่ากลับช้าไปครึ่งจังหวะ เพียงเซียถงสะบัดข้อมือเล็กน้อยดั่งเล่นกล จากมือไม้ที่ว่างเปล่าก็พลันปรากฏคมมีดสั้นโผล่ออกมา พร้อมฟันใส่แขนขวาของอีกฝ่ายไปทีหนึ่ง ธารเลือดซิบไหลกระฉอกออกมา
“นี่สำหรับเจ้า”
เท้าทั้งสองข้างกลับมายืนตั้งมั่นบนพื้นอีกครา เซียถงจ่อมีดสั้นใส่เบื้องหน้าเย่หลีเทียนด้วยสีหน้าท่าทีสุดแสนจะจองหอง
หากทำผิดต่อใคร ย่อมต้องชดใช้
เย่หลีเทียนก้มมองดูบาดแผลบริเวณแขนของตนเอง ดวงตาไร้ประกายมืดหม่น หญิงสาวนางนี้กลับเป็นคนแรกที่กล้าประจันหน้ากับเขาผู้ซึ่งเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี
ทันทีทันใด ยอดฝีมือผู้ซึ่งทำหน้าที่อารักษ์ขาติดตามเย่หลีเทียนมา เร่งชักดาบชี้เข้าใส่หน้าของเซียถงด้วยสายตาดุร้าย ปราศจากความเป็นมิตร
“ข้าคนนี้ช่างเลวทรามต่ำช้านัก ที่ไม่ยอมสั่งสอนบุตรสาวคนนี้ให้ดี! ท่านอัครมหาเสบาดีเย่ ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย!”
เซี่ยอี้เฉินรีบคุกเข่าโขกศีรษะลงกับพื้นทันที สีหน้าในขณะนี้ซีดเซียวถึงขีดสุด การลอบสังหารอัครมหาเสนาบดี นับว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรง โทษที่ได้รับมันหนักหนาเพียงพอแล้ว สำหรับคำสั่งประหารตัดศีรษะประจานทั้งตระกูล
“เสนาบดีเซี่ยไม่จำต้องตื่นตระหนกไป เจ้ากับข้ายังคงเป็นสหายกันดี ไยต้องสนใจบาดแผลเล็กน้อยเช่นนี้ด้วย”
เย่หลีเทียนเร่งระงับความไม่พอใจเก็บลงสู่เบื้องลึก โบกมือปัดไปทางเซี่ยอี้เฉินพร้อมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้ยอดฝีมือที่ติดตามคนนั้นเก็บดาบและถอยไป ทั้งยังกล่าวกับเซียถงอีกว่า
“คุณหนูเซีย ข้ามิได้มีเจตนารน้ายอันใดต่อเจ้า เพียงข้าสนใจเกี่ยวกับถุงเครื่องหอมในมือของเจ้าเล็กน้อยเท่านั้น เกรงว่า คุณหนูเซี่ยพอใจเต็มใจมอบสิ่งนั้นให้ข้ายืมดูได้หรือไม่?”
เซียถงหาใช่คนโง่ไม่ และเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่งที่ย่อมต้องมองผ่านอ่านจุดประสงค์ของเย่หลีเทียนคนนี้ออก ที่ขอยืมดูถึงเครื่องหอม เพียงเพื่อป้องกันมิให้ตนเองติดรากแห โดนเรียกไปเข้าเฝ้าพร้อมเซี่ยอี้เฉินเท่านั้น
เหลือบหางตาพินิจมองอยู่สักครู่ เซียถงคลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะโยนถุงเครื่องหอมไปให้เย่หลีเทียน
“หากชอบ เช่นนั้นก็เอาไปเถิด”
การตัดสินใจในครั้งนี้ของเซียถงค่อนข้างเหนือความคาดหมายของทุกคน ก่อนหน้านี้ นางยังตั้งมั่นแน่วแน่อยู่เลยว่า จะนำเจ้าของสิ่งนี้ไปที่วังหลวงเพื่อทูลแก่ฝ่าบาท แต่ไฉนในตอนนี้ นางกลับโยนถุงเครื่องหอมที่เป็นหลักฐานสำคัญไปให้เย่หลีเทียนโดยง่ายปานนี้กัน? นี่หาใช่สิ่งที่ทุกคนมิอาจทำความเข้าใจได้เลย
คล้อยหลังโยนออกไปเสร็จ เซียถงทอดสายตามองออกไปท้ายแถว ด้านหลังฝูงชนทั้งหมด ปรากฏประตูบานหนึ่งที่อยู่ด้านหลังโถงใหญ่กำลังเปิดแง้มไว้เล็กน้อย เบื้องหลังประตูบานนั้น นางพบเห็นสายตาคู่หนึ่งที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาที่รินไหลและกำลังจับจ้องตนราวกับพยายามอ้อนวอนอยู่
สายตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยหลายหลากอารมณ์ที่ผสมเจือปน และสิ่งที่ดูจะชัดเจนที่สุดคือ มันเสมือนกับว่ากำลังขอร้องให้เซียถงอย่าไปที่วังหลวงเด็ดขาด แน่นอนนี่คือ…สายตาของท่านแม่ของนางเอง
เหตุผลที่เซียถงตัดสินใจโยนถุงเครื่องหอมทิ้งไปแต่โดนดี นอกเหนือจากสายตาอ้อนวอนของท่านแม่แล้ว อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญก็คือ เย่หลีเทียน
ดูจากสถานการณ์ในขณะนี้ จะเห็นได้ชัดว่า เย่หลีเทียนเป็นพวกเดียวกับเซียอี้เฉิน และเพื่อป้องกันมิให้ตัวนางเดินทางไปฟ้องเรื่องนี้แก่ฝ่าบาท มันตัดสินใจที่จะโจมตีใส่นางต่อหน้าทุกคนโดยไม่มีลังเลใดๆ พินิจวิเคราะห์จากการกระทำนี้ เซียถงมั่นใจร้อยทั้งร้อยเลยว่า หากตนเดินทางไปฟ้องฝ่าบาทได้สำเร็จ ในตอนที่ถูกเรียกตัวไปหลังจากนี้ มันจะต้องโทษทุกอย่างให้เป็นความผิดของเซี่ยอี้เฉินต่อหน้าฝ่าบาทแน่นอน ทั้งอาจรวมไปถึงเรื่องที่เซียถงหลบทำร้ายตัวมันอีกด้วย การเป็นศัตรูกับทั้งจักรวรรดิในตอนนี้ หาใช่ความคิดที่ฉลาดเท่าไหร่ สุดท้ายเซียถงจึงต้องยอมทำตามคำกล่าวของอีกฝ่ายไปเท่านั้น
อุตส่าห์มีชีวิตที่สองทั้งที ใครจะไปโง่ถูกฆ่าตายง่ายๆ ล่ะ?
เซียถงมองไปทางแม่ของนางที่ซ่อนตัวแอบมองอยู่หลังประตูบานนั้น มือทั้งสองข้างกระชับกำแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยว สักวันหนึ่ง นางจะพาท่านแม่ออกจากจวนบัดซบแห่งนี้ให้จงได้
เย่หลีเทียนหยิบถุงเครื่องหอมขึ้นมา ทว่าสายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่เซียถงชนิดตาไม่กะพริบ เบื้องลึกภายในใจเขาสังหรณ์ว่า ในอนามคตต่อไป หญิงสาวนางนี้จะต้องกลายมาเป็นศัตรูผู้น่าเกรงขามอย่างยิ่งของเขา
ต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม!
ทันทีที่คิดได้เช่นนั้น เขาก็เคลื่อนไหวต่อทันที! เพียงโบกสะบัดนิ้วชี้ออกไปเบาๆ พลันปรากฏคมเข็มเหล็กเล่มน้อยคมพวยพุ่งเข้าใส่เซียถง ทุกอากัปกิริยาของเขาเงียบสงัดราวกับเคลื่อนไหวในเงามืด กระทั่งยอดฝีมือที่ติดตามอยู่ข้างกายเขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาเลยด้วยซ้ำ และปลายคมเข็มเล่มนี้อาบชโลมยาพิษร้ายแรง ยามที่พิษเข้าสัมผัสเลือดที่ไหลเวียนในกายจนสิ้นใจในเสี้ยวพริบตา
เซียถงมัวแต่จับจ้องแม่ของนางอยู่ จึงไม่ทันสังเกตเห็นกระบวนลอบโจมตีของเย่หลีเทียน กว่าจะรู้สึกฟื้นตัวอีกที คมเข็มเล่มน้อยก็ปราดพุ่งมาถึงตรงหน้านางแล้ว และสายเกินไปที่จะเลี่ยงหลบ!
แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีชายชุดดำร่อนลงมา เข้าขัดขวางระหว่างคมเข็มกับตัวของเซียถง
“อัครมหาเสนาบดีเย่ มิยักรู้เลยว่า ท่านจะมีงานอดิเรกชอบทะเลาะกับสตรีเพศ? ถึงขั้นที่ว่าลอบโจมตีด้วยอาวุธนักฆ่า! ช่างประเสริฐโดยแท้!”
บุคคลที่จู่ๆ ก็เหาะร่อนลงมาจากฟากฟ้ากลับมิใช่ใครอื่นนอกเสียจาก ไป๋หลี่ฮาน
เห็นเพียงประกายแสงสีดำทมิฬวูบหนึ่งโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า เขาผู้นี้สวมชุดสีดำ ส่งสายตาวูบหนึ่งหันมาจับจ้องเซียถง นัยน์ตาสีเข้มของอีกฝ่ายเปล่งประกายท่อแสงระยิบระยับประดุจดวงดารา
แต่แรกเดิมที ไป๋หลี่ฮานวานให้ญาติคนสนิทของตนอย่างโม่ซวน ค่อยเฝ้าติดตามเซียถงอย่าให้ห่างอย่างลับๆ เพื่อเก็บเกี่ยวข้อมูลในด้านพัฒนาการของนางที่ก้าวกระโดดขึ้นฉับพลันภายในเวลาแค่เดือนเดียว เป็นผลให้โม่ซวนรีบแจ้นกลับไปรายงานแก่ตัวเขาโดยทันทีที่เห็น เย่หลีเทียนเข้ามาในจวนเสนาบดีแห่งนี้
เย่หลีเทียนกับไป๋หลี่ฮานเปรียบเสมือนได้กับน้ำกับไฟที่ไม่กินเส้นกันเลยแม้แต่น้อย คล้อยหลังที่ไป๋หลี่ฮานได้รับรายงานจากโม่ซวนว่า อีกฝ่ายเดินทางมาที่จวนเสบาดีเซี่ย เขาเองก็รีบเร่งติดตามมาเช่นกัน แต่พอมาถึง ใครจะไปคิดว่า เซียถงกับเย่หลีเทียนกำลังเปิดศึกสัประยุทธ์กันอยู่
พอเห็นว่า เย่หลีเทียนแอบเล่นทีเผลอลอบโจมตีเซียถงโดยนางไม่ทันรู้ตัว ไป๋หลี่ฮานจึงรีบกระโดดมาช่วยทันที
เซียถงตกตะลึงมิใช่น้อยยามพบเห็นการปรากฏตัวของชายชุดดำผู้นี้ ชั่วครู่หนึ่งที่มิทันตอบสนอง ทั้งนี้เองบรรดาฝูงชนโดยรอบต่างก็ประหลาดใจอย่างมากเช่นกัน
ไป๋หลี่ฮานหันมองมาที่นางพร้อมส่งยิ้มให้เล็กน้อย มือข้างหนึ่งโบกสะบัดขึ้นมาแสดงให้เห็น ก็พบเป็นคมเข็มเล่มน้อยที่ชโลมไปด้วยแสงสีเขียวจางอ่อน ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อหน้าเซียถง
เซียถงหรี่สายตาจ้องพินิจไปที่คมเข็มสีเขียวเล่มนั้นอยู่ปราดหนึ่ง เพลิงพิโรธความเกรี้ยวโกรธที่สุมทรวงอยู่ในอกพลันปะทุคลั่งระเบิดออกมาในทันใด
คู่เท้ากระตุกวูบ ร่างของนางพลันอันตรธานหายวับไปอีกครั้ง ทิ้งทวนเหลือเพียงภาพซ้อนเป็นเงาสีขาวสายหนึ่ง มุ่งหน้าไปทางต้นไม้ด้านหลัง คว้าเด็ดใบไม้สีเขียวขจีสองถึงสามใบ ทยอยลำเลียงใส่นิ้วทั้งสองคีบไว้และสะบัดข้อมือยิงออกไปด้วยความเร็วสุดขีด
ดาวกระจายใบไม้ทั้งหกอันแสนบางเฉียบประดุจปีกจั๊กจั่นบินเข้าหาเย่หลีเทียนโดยพร้อมเพรียง
ชั่วขณะอึดใจ เย่หลีเทียนพลันรู้สึกสับสนทำอะไรไม่ถูก ทั้งการปรากฏตัวของไป๋หลี่ฮานก็ดี ดาวกระจายใบไม้ของเซียถงก็ดี เขาถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง ถึงแม้ปฏิกิริยาร่างกายของเขาจะตอบสนองเร็วมาก สามารถเลี่ยงหลบออกไปได้ทันที ทว่ากลับมีอยู่ใบหนึ่งที่เฉี่ยวหน้า ทำให้เกิดรอดแผลเป็นขึ้นมา
สีหน้าของเขามืดทมิฬลงทันใด เขาปาดเช็ดเลือดซิบบริเวณใบหน้า เย่หลีเทียนหันขวับจับจ้องไปที่ไป๋หลี่ฮาน พลางกล่าวเยาะเย้ยขึ้นว่า
“ข้าเองก็เพิ่งรู้ว่า ราชันหมาป่าสวรรค์ผู้แสนสง่าจะเป็นพวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเช่นนี้?”