ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 193 มาขอยาพิษ
ตอนที่193 มาขอยาพิษ
กลับมายังลานน้อยของเรือนพักตนเอง อิ๋งเอ๋อร์ที่เห็นเซียถงกลับมาพร้อมกับกระบี่เล่มยาวในมือ นางก็เอ่ยถามขึ้นว่า
“คุณหนู มิใช่ว่าท่านต้องการกระบี่เล่มนี้เพื่อมอบให้แก่คุณชายใหญ่หรอกรึเจ้าค่ะ? แล้วไฉนถึงติดกลับมาด้วย?”
เซียถงมองกระบี่ยาวลงบนโต๊ะหินอ่อนและกล่าวว่า
“กระบี่เล่มนี้มีคุณสมบัติธาตุเย็นที่สูงส่งมาก รอให้สภาพร่างกายของเขาฟื้นคืนเต็มที่ก่อนดีกว่า แล้วค่อยเอาไปให้ใหม่ทีหลัง”
อิ๋งเอ๋อร์พยักหน้าตอบ
จากนั้นเซียถงก็เดินทางไปเยี่ยมเยือนฮูหยินหลี่ก่อนกลับสถานศึกษา แลเห็นว่าผิวพรรณดูมีน้ำมีนวลขึ้นบ้าง นาง
เองก็คลายใจ แต่อาการไอยังคงรุนแรงต่อเนื่อง เซียถงจึงมอบโอสถล้างพิษให้ทาน และสมุนไพรต้มร้อนๆ สักชามเพื่อให้ชุ่มคอ แล้วค่อยเดินทางกลับสถานศึกษาพร้อมกับอิ๋งเอ๋อร์
กับมาถึงสถานศึกษาเซิงหลิง นางก็ปล่อยให้อิ๋งเอ๋อร์อยู่ทำความสะอาดห้องพักไป ส่วนตนเดินทางมายังเรือนพักของหยุนซีตามลำพัง
ถนนสายยาวทอดไปสู่เรือนพักของหยุนซีเต็มไปด้วยสวนสมุนไพรและบุปผานานาชนิดขนาบสองข้างทาง นับตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่แม่ทัพจางเจิ้งกัวรุกล้ำเข้าก่อกวนจนทำให้สถานที่แห่งนี้เสียหายไปหลายส่วน หยุนซีก็ทำการบูรณะและจัดระเบียบขึ้นใหม่อีกครั้ง ซึ่งคราวนี้บรรยายกาศดูเงียบสงบกว่าก่อนมาก
หยุนซีอยู่ในชุดผ้ากระสอบเนื้อซาก ถือตะกร้าไม้ไผ่ไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกครั้งกำลังเอื้อมเก็บบุปผา ปลายของผ้าไหมสีฟ้าอ่อนที่ใช้มัดผมสองสายห้อยลงมาเคว้งคว้างตามแรงลม บนหน้าผากเสมือนกับมีหยาดมณีส่องแสงวิบวับ นั่นคือหยดเหงื่อที่ผุดซึมออกมาภายใต้แสงตะวันที่ฉายลงมาใส่
เซียถงยืนอยู่เคียงข้างจับจ้องหยุนซีที่กำลังก้มเก็บบุปผา หากพินิจมองจากภาพฉากนี้ หยุนซีดูเหมือนกับสาวชาวบ้านตามชนบทที่ดูใจดีมีเมตตาคนหนึ่ง
“มองพอแล้วกระมัง?”
เรียวนิ้วทั้งสองที่คีบเกี่ยวดอกบุปผาเคลื่อนตวัดเล็กน้อย ก็โยนเข้าตะกร้าในมือลงอย่างแม่นยำโดยไม่ต้องเหลียวมองใดๆ จากนั้นก็ก้มเก็บบุปผาดอกอื่นๆ ต่อไปลางเอ่ยถามขึ้นคำหนึ่ง
“ยังไม่พอ เพราะท่านอาจารย์หยุนซีในเวลานี้ช่างงดงามประดุจภาพวาดวิจิตรศิลป์ ศิษย์คนนี้อยากมองต่อไปเรื่อยๆ”
ระบายยิ้มหวาน เซียถงเอ่ยตอบไปคำหนึ่ง
“แล้วปกติข้าไม่สวยรึอย่างไร?”
หยุนซีเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาคู่สง่าสดใสเหนือราคีสีดอกท้อเคลลื่อนเข้าจับจ้องไปที่เซียถง
“สวย ปกติท่านอาจารย์หยุนซีก็สวยอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้กลับสวยยิ่งกว่า”
เซียถงหัวใจแต้นแรงขึ้นในทันใด รีบกล่าวตอบโดยไวประดับเคียงรอยยิ้มหวานฉ่ำ
“ช่างประสบสอพลอนักนะ เอาล่ะ มาที่นี่ต้องการอะไรจากข้า?”
หยุนซีเลิกคิ้วมองผ่านอ่านความคิดของอีกฝ่ายอย่างมีนัยยะ ประกายตาสีดอกท้อสวยพราวแสงสว่างไสว
“ศิษย์คนนี้มีเรื่องจะรบกวนท่านอาจารย์หยุนซี เพียงต้องการพิษบางชนิดจากท่าน”
เซียถงเล่ากล่าวจุดประสงค์ของตนออกไปตามตรง
เมื่อได้ยินดังนั้น หยุนซีก็ยืนเปลี่ยนท่าเป็นกอดอก คู่เท้าก้าวแช่มออกมาจากสวนบุปผา ตรงไปหาเซียถง จ้องหน้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยเอ่ยถามขึ้นว่า
“จะเอาไปจัดการกับใคร? ไป๋หลลี่เย่หรือไป๋หลี่อวี๋อิง? ไม่ก็ทั้งคู่?”
ราวกับว่าหยุนซีสามารถอ่านความคิดของนางด้วยตาเปล่าได้ก็มิปาน เซียถงถึงกับใจสั่นเล็กน้อย แต่บนสีหน้าพื้นผิวยังคงเรียบนิ่งไม่แสดงทีท่าใดๆ ออกมา กล่าวแค่ว่า
“ศิษย์คนนี้จะนำไปป้องกันตัวเอง”
การวางยาพิษใส่เชื้อพระวงศ์ล้วนเป็นอาชญากรรมร้ายแรงทั้งนั้นไม่ว่าจะในกรณีใด และเซียถงคงไม่ย่อมพูดเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าหยุนซีโดยง่ายเช่นกัน
หยุนซีหัวเราะคิกคัก ชี้นิ้วไปที่แผ่นอกข้างซ้ายของเซียถง ทันใดนั้นสีหน้าของนางพลันฉาบเย็นยะเยือกโดยพลัน กล่าวน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า
“เช่นนั้นไฉนต้องใจสั่นล่ะ? เซียถง หากต้องการแค่พิษที่ใช้ป้องกันตัว อาศัยพิษที่เจ้าหลอมกลั่นขึ้นมาเองย่อมเกินพอแล้ว ไยถึงต้องถ่อมาหาข้า?”
หลังพูดจบ นางก็โบกแขนเสื้อขอตัวลา และเดินกลับเรือนพักของตนไปทันที
“ท่านอาจารย์หยุนซี ข้าจะใช้พิษจัดการกับไป๋หลี่เย่และไป๋หลี่อวี๋อิง สองคนนั้นมันทำร้ายพี่ชายของข้าจนอาการสาหัส ไม่ว่าอย่างไร ศิษย์คนนี้จะต้องชำระหนี้แค้นนี้ให้จงได้!”
เซียถงตะโกนไล่หลังหยุนซีออกไป
“เซียถง ข้าขอแนะนำว่า เจ้าอย่าไปยั่วยุสองคนนั้นให้มากนัก ถึงแม้ฝ่าบาทในเวลานี้จะปฏิบัติดีต่อเจ้า แต่ก็หาใช่เรื่องดีเช่นกันหากทำให้ฝ่าบาทพิโรธเดือดดาล เพราะหากฝ่าบาทเอาจริงขึ้นมา ตัวเจ้าในตอนนี้หาใช่คู่มือของเขาไม่เลย”
หยุนซีเดินกลับเข้าเรือนพักไม้ไผ่ของตนไป แต่ระหว่างนั้นนางก็เอื้อมมือไปผลักกำแพงลับเพื่อเปิดประตูที่ซ่อนอยู่ออกมา
เซียถงยืนอยู่ตรงนั้นย่อมไม่เห็นว่าหยุนซีกำลังทำอะไรอยู่ แต่ดูจากวาจาคำกล่าวของอีกฝ่ายแล้ว เดินทางมาคราวนี้นางน่าจะเสียเที่ยวไม่ได้พิษติดมือกลับมาแน่นอน ในเมื่อเป็นแบบนั้น นางก็ถอนหายใจเจือแววเสียดายอยู่เฮือกหนึ่ง พลางคิดไปว่า คงต้องหลอมกลั่นพิษด้วยตัวเองเสียแล้ว แต่ขณะที่กำลังจะหมุนตัวจากไป จู่ๆ เซียถงก็ได้ยินเสียงของหยุนซีไล่หลังดังขึ้นว่า
“ต้องการพิษแบบใด?”
“ไร้สีไร้กลิ่น ยากเกินกว่าที่ผู้ใดจะสามารถตรวจจับได้”
เซียถงหันกลับมากล่าวตอบ ทว่ายามนี้ ร่างของหยุนซีที่เคยยืนอยู่หน้าประตูเรือนพักกลับหายไปเสียแล้ว
“เอานี่ไป ผงยาพิษชนิดนี้ไม่มีทั้งสีและกลิ่น กระทั่งร่องรอยใดๆ ให้ตรวจจับก็ไม่มี แต่ฤทธิ์ของมันไม่ถึงขั้นฆ่าแกงกันให้ตาย แต่มันจะทำให้อวัยวะภายในทั้งหมดเกิดอาการปั่นปวนรุนแรง ใครที่โดนเข้าไปจะรู้สึกราวกับ มีฝูงมดนับแสนตัวรุมกัดภายในร่างกายทุกช่วงเวลาฟ้าสาง”
หน้าต่างบานหนึ่งบนเรือนักไม้ไผ่เปิดขึ้น จากนั้นก็มีอะไรบางสิ่งถูกโยนออกมาหาตัวเซียถง
เซียถงเอื้อมมือไปรับจับไว้ พอนำมาพพินิจมองให้ดีก็พบว่าเป็นขวดหยกขาวขนาดย่อม
“ทำไมข้าต้องปล่อยให้คนโง่เขลาเบาปัญญาอยางไป๋หลี่เย่ขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปของตงหลี่? ข้าต้องการให้เจ้าแข็งแกร่งพอเสียก่อน ค่อยสังหารอีกฝ่ายทิ้งทีหลัง ส่วนสิ่งที่เจ้าพอจะทำได้ในขณะนี้คือ การสร้างวังวนให้อีกฝ่ายทุกข์ทรมานเล่นไปก่อน”
ใบหน้าอันงดงามสุดแสนของหยุนซีที่โผล่ออกมาจากบานหน้าต่างในเวลานี้ ดูหล่อเหลาขึ้นทันตาสำหรับเซียถง ดวงตาใสสว่างสีดอกท้อเคลื่อนเข้าจับจ้องเซียถง ระบายรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แสนกลออกมา นางกล่าวอีกว่า
“แต่อย่าได้ห่วงไป ความรู้สึกที่ถูกมดนับแสนตัวรุมกัด มันทรมานเสียยิ่งกว่าความตายอีก!”
เซียถงที่ได้ยินดังนั้นถึงกับลอบกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ พลางกดสายตามองดูขวดยาพิษในมือ ทั้งยังสาบานกับตัวเองภายในใจอย่างลับๆ อีกว่า นางจะไม่ขอยั่วยุหรือล้ำเส้นใดๆ หยุนซีคนนี้อีกต่อไปในอนาคต
แสงจันทร์เจ้าใสสว่างดั่งวาริสุทธิ์ เงาร่างสองสายฉายปรากฏภายใต้ธารแสงที่สาดส่องลงมา หนึ่งเป็นเงาร่างสีดำ ส่วนอีกหนึ่งเป็นเงาร่างสีแดง ในยามนี้กำลังกระโดดข้ามระหว่างหลังคาวังหลวง
“ไฉนต้องให้ข้าลำบากออกมาด้วย? ไปทำธุระคนเดียวมิได้รึ?”
หลิวซูถือขวดยาพิษสีขาวขนาดย่อมเยาไว้ในมือ เหลือบสายตามองเซียถงอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
ทีแรกพอได้ยินว่า จะมามายังวังหลวงก็ดีใจอยู่หรอก แต่ใครจะไปรู้กันว่า ที่มาคืนนี้ก็เพราะต้องทำธุระและวางยาพิษไป๋หลี่เย่
“เอาเถอะ ครั้งนี้มันจำเป็น เจ้าช่วยนำผงยาพิษนี้ไปโรยไว้บนเตียงของไป๋หลี่เย่ที”
เซียถงเอ่ยปากวานขอให้อีกฝ่ายช่วยเหลือ
“ใครบอกว่าข้าจะไปหาไป๋หลี่เย่? ที่ยอมมาด้วยเพราะข้าจะไปเรือนนอนขององค์หญิงต่างหาก”
หลิวซูเบะปากบูดบึ้งกล่าวปฏิเสธทันควัน
“หากไม่เต็มใจจะช่วยก็ไม่เป็นไร ทีแรกก็ตั้งใจว่า หากเหลือเวลาก่อนรุ่งสางจะปล่อยให้เจ้าไปเดินเล่นในวังหลวงเสียหน่อย แต่เอาเถอะ ในเมื่อไม่ยอมช่วยกัน ข้าก็กลับไปนอนพักผ่อนดีกว่า”
เซียถงถอนหายใจด้วยท่าทีเสียอกเสียดาย ยกปลายเท้าขึ้นจากพื้นเตรียมจะทะยานกลับออกจากวังหลวง
“เดี๋ยว! เรือนนอนขององค์รัชทยาทนั่นอยู่ที่ไหน?”
หลิวซูรีบเร่งกล่าวหยุดในทันใด เพราะในวังหลวงแห่งนี้มีทั้งสาวงามและสมบัติมีค่ามากมายให้เชยชม อย่างน้อยก็น่าสนุกกว่าสถานศึกษาเซิงหลิงที่ไม่มีอะไรน่าดึงดูดเท่าไหร่นัก และตัวมันไม่อยากกลับไปโดยไม่ได้อะไรเลย
เซียถงชี้ยังไปทิศทางหนึ่งของวังหลวงและกล่าวว่า
“ไป๋หลี่เย่อยู่ทางนั้น หลังจากลอบเข้าเรือนนอนของมันไปแล้ว เจ้าต้องระมัดระวังตัวด้วย หากเกิดเหตุร้ายอะไรก็รีบสื่อจิตมาหาข้าทันที”
มีเพียงเหตุผลเดียวที่เซียถงยอมตัดสินใจส่งหลิวซูออกไปทำภารกิจ เป็นเพราะ มันเป็นจิตวิญญาณแห่งยุทธภัณฑ์ ดังนั้นตราบเท่าที่นางสื่อจิตเรียกมันกลับมา หลิวซูจะอันตรธานหายวับกลับคืนสู่ห้วงความคิดของนางโดยตรง หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นหรือถูกจับตัวได้ อย่างมากเซียถงก็แค่เรียกมันกลับเข้ามา และด้วยวิธีนี้ ค่อนข้างปลอดภัยกว่าให้นางออกโรงเองมากโข